ตอนที่ 204 เฉินจินหมิง
“ใครบอกว่าไม่มีความสามารถพอล่ะ พวกอาจารย์ในโรงเรียนทุกคนล้วนได้รับการศึกษาถึงจะเป็นอาจารย์ได้ คนที่อ่านไม่ออกแม้แต่คำเดียวจะเป็นอาจารย์ได้ไง” เฉินจินเฟิ่งตอบโต้ด้วยความไม่พอใจ
จางซุ่ยฮวาหัวเราะเยาะ “เป็นอาจารย์น่ะเหรอ? แกก็ต้องมีความสามารถนั้นไง แล้วแกมีไหมล่ะ?”
ใบหน้าเย่อหยิ่งของเฉินจินเฟิ่งแข็งทื่อทันที พูดตามตรงคือหล่อนไร้ความสามารถ เนื่องจากการสอบเข้ามหาวิทยาลัยถูกยกเลิก หลังจากที่พวกยุวปัญญาชนเริ่มออกสู่ชนบท หล่อนก็รู้สึกว่าการศึกษาไม่มีประโยชน์และหล่อนไม่เคยตั้งใจเรียน คะแนนสอบเกือบจะไม่มีเลยด้วยซ้ำ
“ฉัน…ตอนนี้ฉันไม่มีก็จริง แต่ในอนาคตจะทำได้แน่ แต่ฉันจะบอกแม่ว่า ฉันไม่อยากทำงาน อยากไปโรงเรียนเท่านั้น”
ไปโรงเรียนดีแค่ไหนแล้ว เพราะไม่ต้องหาเงินหรือทำงาน เมื่อไปถึงโรงเรียนก็แค่เล่นสนุกทั้งวัน หล่อนไม่โง่พอที่จะไปทำงานหรอก
ในยุคนี้พวกอาจารย์มักจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ได้ง่ายมากๆ จนไม่กล้าควบคุมเด็กๆ จึงทำแค่ปล่อยให้เด็กๆ ได้พัฒนาทักษะแบบอิสระ หากมีเด็กเห็นแก่ตัวแบบเฉินจินเฟิ่งมาทำให้ขุ่นเคือง อาจารย์ยังไม่สามารถแนะนำสั่งสอนได้ด้วยซ้ำ
เฉินจินเฟิ่งเป็นลูกสาวของจางซุ่ยฮวา หล่อนจึงสามารถมองทะลุแผนการในใจของอีกฝ่ายได้ภายในแวบเดียว “เฮอะ แกไม่ตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงาซะบ้าง สมองของแกจะมีความสามารถนั้นเหรอ”
“ฉันเป็นแม่แท้ๆ ของแก เพราะงั้นไม่ต้องพูดพล่ามมากหรอก ไปโรงเรียนก็ไม่มีประโยชน์อะไร แกรีบออกไปทำงานเร็วๆ ดีกว่า แกดูหลานเฉ่าในหมู่บ้านเราสิ หล่อนไม่เคยไปโรงเรียน และช่วยกันทำงานกับแม่ มีใครในหมู่บ้านของเราจะไม่ยกย่องหล่อนบ้างล่ะ”
“ฉันได้ยินมาว่าตอนนี้แม่หล่อนจัดดูตัวให้แล้วด้วย ไม่มีใครไม่ชอบหล่อน และได้แต่งงานหลังจากนั้นไม่นานด้วย”
เมื่อเฉินจินเฟิ่งได้ยินแบบนี้แล้วก็ตอบด้วยความเหยียดหยาม “ฉันจะเป็นเหมือนหล่อนได้ยังไง พ่อของหล่อนเป็นแค่ลูกน้อง แต่พ่อของฉันเป็นหัวหน้าหทาร ในอนาคตทำไมฉันจะหาคนที่คู่ควรไม่ได้ล่ะ”
“เฮอะ แกประเมินพ่อตัวเองสูงส่งไปหน่อยนะ เอาล่ะ แกไม่จำเป็นพูดกับฉันมากนัก รอให้พ่อแกกลับมาแล้วฉันจะขอให้เขาหางานให้แกทำ เด็กผู้หญิงอายุเท่าแกยังจะเรียนหนังสือต่อได้ยังไง”
หลังจากได้ยินแล้วเฉินจินเฟิ่งก็โยนไม้ฟืนในมือลงกับพื้นแล้วตอบด้วยความโกรธ “แม่ก็แค่ชอบลูกชายมากกว่าลูกสาว ฉันจะยื่นรายงานความผิดของแม่”
จางซุ่ยฮวาตอบแบบหมดความอดทน “ถ้าแกทำได้ก็เชิญไปฟ้องได้เลย”
เฉินจินเฟิ่งจ้องหน้าจางซุ่ยฮวาด้วยความโกรธเคือง เมื่อเห็นว่าจางซุ่ยฮวาโดนจ้องอยู่นานก็ไม่ตอบสนอง หล่อนจึงหันหลังเพื่อเดินออกไป แต่ในจังหวะที่หล่อนกำลังจะไปถึงประตู ก็ได้ยินจางซุ่ยฮวาพูดเสียงเย็นชาว่า “ตราบใดที่แกกล้าเดินออกจากห้องนี้ ก็ไม่ต้องกินอาหารจานนี้”
เฉินจินเฟิ่งชะงักฝีเท้าทันที หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงหันกลับมา แม้ว่าอาหารของแม่จะไม่อร่อยนัก แต่มันเป็นอาหารปกติที่หล่อนไม่ค่อยได้กินด้วยซ้ำ ในสถานการณ์แบบนี้หล่อนจะไม่ยอมเสียเปรียบเด็ดขาด
จางซุ่ยฮวาเฝ้ามองเฉินจินเฟิ่งถอยกลับไป ทันใดนั้นหล่อนก็กระตุกยิ้มมุมปากด้วยความพอใจ แต่เฉินจินเฟิ่งอารมณ์ไม่ดีจนไม่อยากมองจางซุ่ยฮวาด้วยซ้ำ สาวน้อยจึงมองออกไปข้างนอกและเห็นพี่ชายคนรองเดินเข้ามาพร้อมไม้กวาดขนาดใหญ่ ทันใดนั้นแววตาเจ้าเล่ห์ก็เริ่มทำงาน
“แม่ ในเมื่อข้างบ้านก็ทำของทอดเหมือนกัน พวกเราลองชิมหน่อยดีไหม”
จางซุ่ยฮวากลอกตาใส่ลูกสาวทันที “นังสารเลวข้างบ้านนั่นแสดงละครเก่งเหมือนลิง แกจะทำได้ไหมล่ะ”
“ฉันทำไม่ได้ แต่พี่รองทำได้แน่”
เมื่อได้ยินเช่นนี้แล้วจางซุ่ยฮวาก็ดวงตาเป็นประกาย สำหรับลูกชายคนนี้รู้จักแต่ทำงานและไม่ค่อยพูด จนบางครั้งหล่อนก็สงสัยว่าเขาเป็นลูกแท้ๆ ของหล่อนไหม หล่อนยังเคยถามแม่เฒ่าด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายก็โดนด่ากลับมาแทน
การที่หล่อนสงสัยไม่ใช่เรื่องแปลกเลย เพราะเด็กคนนี้ดูไม่เหมือนคนในบ้านจริงๆ ทั้งหน้าตาและอุปนิสัย ยิ่งไปกว่านั้นคือเขาเป็นคนเดียวที่คลอดในโรงพยาบาล ลูกคนอื่นๆ คลอดที่บ้านกันหมด ตอนนั้นหล่อนคลอดเขาแล้วก็เป็นลมหมดสติไป จึงมีเพียงแม่เฒ่าเฉินคอยดูแลเขาเท่านั้น
ที่สำคัญคือแม่เฒ่าเฉินก็รักลูกคนอื่นๆ ของหล่อนมาก แต่กลับเมินเฉยต่อหลานชายคนนี้ ซึ่งแม้ว่าจางซุ่ยฮวาจะไร้การศึกษา แต่ก็ไม่ได้โง่ หล่อนสามารถสัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่คลุมเครือ แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไร และทำได้แค่ปฏิบัติต่อลูกชายคนนี้ด้วยน้ำเสียงที่เป็นกลางเท่านั้น
“ไปเรียกพี่รองของแกมาสิ” หล่อนก็ไม่รู้ว่าทำไม ทั้งๆ ที่ครอบครัวของพวกหล่อนปฏิบัติต่อเด็กคนนี้ไม่ดี แต่คนนอกกลับรู้สึกสงสารเขา หากคนอื่นในครอบครัวทำงานใดไม่ได้ ถ้าส่งเขาไปย่อมจะประสบผลสำเร็จ
“ได้ค่ะ” เฉินจินเฟิ่งลุกขึ้นจากเก้าอี้ทันที แล้ววิ่งออกไปด้วยความตื่นเต้น
ไม่นานหลังจากนั้น เฉินจินหมิงที่อยู่ข้างนอกก็ถูกตะโกนเรียก “พี่รอง แม่เรียกพี่น่ะ”
เมื่อเฉินจินหมิงได้ยินเสียงเรียก เขาก็วางไม้กวาดลงแล้วเดินเข้ามาพร้อมสีหน้าเย็นชา จางซุ่ยฮวามองใบหน้าของลูกชายซึ่งนับวันก็ยิ่งเย็นชาลงเรื่อยๆ ก็รู้สึกจุกจนพูดไม่ออก
“แกเอาสิ่งนี้ไปส่งที่บ้านข้างๆ ให้พวกนั้นลองกิน”
เฉินจินหมิงมองมะเขือยาวชุปแป้งทอดสีเข้มในชามแล้วถามด้วยใบหน้าเย็นชา “ส่งไปเฉยๆ ใช่ไหม?”
เฉินจินเฟิ่งตอบว่า “ไม่ใช่แน่นอน พวกเราให้ของกินแก่หล่อนแล้ว เราก็ต้องได้ของกินจากพวกเขาแทนมาด้วยสิ พี่รองเป็นคนที่มีความสามารถเพียงคนเดียวในบ้านเรา พี่ก็ลองดูเถอะนะ”
เมื่อเฉินจินหมิงได้ยินแล้วก็หยิบชามขึ้นมา เขาหันหลังแล้วเดินออกไปพลางพูดว่า “ฉันจะลองดู แต่ไม่รับประกันว่าจะได้ผล”
เฉินจินเฟิ่งตอบด้วยความตื่นเต้น “ถ้าพี่ไปทำก็จะสำเร็จแน่นอน”
ไม่นานหลังจากนั้นก็มีเสียงคนมาเคาะประตูบ้าน ทำให้มือของสวี่ม่ายซุ่ยที่จับแผ่นมันฝรั่งต้องหยุดชะงัก “เป็นอาเล็กของลูกกลับมาเหรอ?”
หลินฟานที่กำลังนั่งอยู่ข้างๆ ก็เงยหน้าขึ้นมอง เมื่อได้ยินเช่นนี้แล้วเขาก็วิ่งออกไปทันทีและพูดว่า “ผมจะไปรับอาเล็กครับ”
แต่เมื่อเขาเปิดประตูและเห็นเฉินจินหมิงยืนอยู่ข้างนอก เขาก็ตกตะลึงไปชั่วขณะ “นายมาที่นี่ทำไม?”
เฉินจินหมิงมองเด็กที่อยู่ในวัยไล่เลี่ยกับตัวเอง และน้ำเสียงของเขาก็อ่อนลงด้วย “ฉันเอาผักทอดกรอบมาให้พวกนาย”
สีหน้าของหลินฟานตึงเครียดขึ้นมาและเขาตอบเสียงจริงจังว่า “ที่บ้านเรามีแล้ว”
หลังจากได้ยินคำตอบนี้แล้วก็ปรากฏร่องรอยของความผิดหวังขึ้นในดวงตาของเฉินจินหมิง “ตกลง” เมื่อพูดจบแล้วเขาก็เดินจากไป
หลินฟานมองไปที่หน้าประตูซึ่งหิมะถูกกวาดออกแล้ว เขาจึงหันไปมองอีกฝ่ายแล้วพูดว่า “เดี๋ยวก่อน”
เฉินจินหมิงชะงักเท้าแล้วหันมา จากนั้นได้ยินคำถามว่า “นายกวาดหิมะตรงนี้เหรอ?”
ตั้งแต่ตื่นนอนตอนเช้าพวกเขาก็ยุ่งมาก จึงไม่ได้คิดที่จะกวาดหิมะออกจากประตูด้วยซ้ำ
“ใช่”
หลินฟานพูดว่า “นายเข้ามาได้” เขาเปิดประตูแล้วก้าวออกไปด้านข้าง หลังจากที่เฉินจินหมิงเข้ามาแล้ว เขาก็ปิดประตูทันที
สำหรับคนข้างบ้านเพียงคนเดียวที่สร้างความประทับใจให้กับเขาได้ก็คือเฉินจินหมิง ซึ่งเขาไม่ต้อนรับใครอีก ดังนั้นควรปิดประตูไว้จะดีกว่า
สวี่ม่ายซุ่ยได้ยินเสียงฝีเท้าของหลินฟานเดินกลับมาจึงตะโกนถามเสียงดัง “ใครเหรอฟานฟาน?”
ถ้าเป็นหลินเจี้ยนจวินหรือหลินเจี้ยนเยี่ย หลินฟานจะไม่ใช้เวลานานขนาดนี้ เพราะเขาจะวิ่งกลับมาด้วยความตื่นเต้นทันที จึงกล่าวได้ว่าคนที่ทำให้เขาล่าช้านานแบบนี้คือคนที่เขาไม่คุ้นเคย
ทันทีที่เธอพูดจบ หลินฟานก็วิ่งเข้ามาแล้วพูดว่า “เฉินจินหมิงที่อยู่ข้างบ้านน่ะครับ”
หลินเซียวมองย้อนกลับไปและเห็นเฉินจินหมิงเดินตามมาจริงๆ ทำให้ใบหน้าของเขามึนตึงและพูดด้วยความโกรธ “นายปล่อยให้เขาเข้ามาทำไม”
หลินฟาน “เขาบอกว่าเอาของกินมาให้น่ะสิ”
สวี่ม่ายซุ่ยรู้สึกประทับใจในเฉินจินหมิงอยู่แล้ว เพราะในบ้านของเหล่าเฉินมีเด็กคนนี้ที่ดูจิตใจบริสุทธิ์เพียงคนเดียว “เข้ามาสิ”
เมื่อเฉินจินหมิงได้ยินสวี่ม่ายซุ่ยเรียกเขาแล้ว จึงเดินเข้ามาด้านใน และเมื่อมองสามแม่ลูกซึ่งมีความสุขแล้ว นัยน์ตาของเขาก็มีความอิจฉาแวบขึ้นมา
“อาสะใภ้ แม่บอกให้ผมเอาของนี่มาส่ง บอกว่าอยากให้พวกคุณลองชิม”
สวี่ม่ายซุ่ยมองไปยังชามที่เฉินจินหมิงวางไว้ข้างเตา ทันใดนั้นดวงตาของเธอก็ฉายความรู้สึกที่ยากจะบรรยายออกมา
แต่เมื่อเปรียบเทียบกับชั้นเชิงในการพูดของสวี่ม่ายซุ่ยแล้ว หลินเซียวกลับพูดโผงผางมากกว่า “ทำไมมันดำขนาดนี้ล่ะ มันกินได้จริงเหรอ? แม่นายใส่ยาพิษลงไปเพื่อหวังจะฆ่าพวกเราใช่ไหม?”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
จินหมิงนี่ลูกคนอื่นสลับตัวมาหรือเปล่าเนี่ย ถ้าเป็นงั้นจริงขอให้ได้เจอพ่อแม่แท้ๆ นะ อย่าอยู่กับครอบครัวนรกนี่เลย
ชิวเฟิง
MANGA DISCUSSION