ตอนที่ 199 หลินเจี้ยนจวินออกทำงานนอกสถานที่
จ้าวเป่ากั๋วรับกล่องนั้นมาพร้อมสีหน้าสงสัยแล้วถามว่า “มันคืออะไรเหรอ?”
“คุณเปิดดูก็จะรู้เองแหละ” หลี่ต้านีเชิดหน้าตอบด้วยท่าทางภาคภูมิ
จ้าวเป่ากั๋วจึงเปิดกล่องด้วยความอยากรู้อยากเห็นอย่างมาก
“หา นี่คุณซื้อมาเหรอ?” จ้าวเป่ากั๋วถามด้วยความตื่นตกใจ
หลี่ต้านีปรายตามองเขาด้วยความรังเกียจ “ถ้าไม่ใช่ฉันแล้วจะเป็นใครอีกล่ะ”
จ้าวเป่ากั๋วกลืนน้ำลายลงคอด้วยความประหม่า “แล้วมันราคาเท่าไหร่? ใช้เงินฝากของเราหมดเลยเหรอ?”
“ไม่ได้แตะเงินฝากเลย”
“แล้วคุณซื้อมันโดยไม่ใช้เงินฝากได้ไง?”
“ก็ใช้เงินค่าแรงที่ม่ายซุ่ยให้ฉันน่ะสิ ฉันเอาไปซื้อนาฬิกาให้คุณหมดเลย”
“เงินจากการถักผ้าพันคอและถุงมือของพวกคุณน่ะเหรอ?”
หลี่ต้านีตอบ “ใช่”
“คุณทำงานได้เยอะขนาดนี้เลยเหรอ?”
เมื่อหลี่ต้านีได้เห็นแววตาไม่ไว้วางใจของเขา หล่อนก็โกรธมาก “คุณคิดอะไรอยู่ ถ้าฉันไม่มีเงินแล้วจะซื้อนาฬิกาให้คุณได้เหรอ แค่ซื้อนาฬิกาของคุณเงินก็หมดแล้ว”
จ้าวเป่ากั๋วถาม “งั้นคุณบอกผมมาว่าคุณได้เงินจากงานนี้เท่าไหร่?”
หลี่ต้านีเสมองออกไปข้างนอกและเห็นว่าไม่มีใครเดินเข้ามา หล่อนจึงกระซิบว่า “หักต้นทุนแล้วเหลือเงินตั้งสามร้อยเชียวล่ะ”
จ้าวเป่ากั๋วพูดว่า “พวกคุณได้รับเงินสามร้อย แล้วสวี่ม่ายซุ่ยกล้าให้คุณมากขนาดนั้นเลยเหรอ? คุณยังไม่ได้บอกว่านาฬิกาเรือนนี้ราคาเท่าไหร่เลยนะ?”
หลี่ต้านีตอบว่า “นาฬิกาเรือนนี้ราคาแปดสิบหยวน ตอนแรกม่ายซุ่ยจะหารส่วนแบ่งกับฉันคนละครึ่ง แต่ฉันปฏิเสธ เพราะหล่อนเป็นคนออกความคิด และยังจ่ายเงินลงทุนมากกว่าครึ่งหนึ่งของกำไรด้วยซ้ำ ฉันไม่กล้าที่จะขอครึ่งหนึ่งหรอก ฉันจึงขอหล่อนแปดสิบหยวนนั่นแหละ”
ขณะที่หล่อนพูด จ้าวเป่ากั๋วก็รอไม่ไหวแล้วจึงหยิบนาฬิกาออกมาสวมบนข้อมือของตน จากนั้นเขาก็ชื่นชมมันพลางเอ่ย “คุณทำสิ่งที่ถูกต้องแล้วล่ะ อีกฝ่ายถือเป็นนายจ้าง และในฐานะลูกจ้างชั่วคราว คุณจะขอรับเงินมากขนาดนั้นไม่ได้แน่นอน”
“แต่หล่อนดีกับคุณจริงๆ นะ ครั้งล่าสุดที่หล่อนขายแอปเปิลก็เรียกคุณไปด้วย”
ในตอนแรกหลี่ต้านีปกปิดเขาไว้ ทว่าต่อมาหล่อนก็อดเล่าให้จ้าวเป่ากั๋วฟังไม่ไหว
หลี่ต้านีมองไปท่าทางหลงตัวเองของจ้าวเป่ากั๋วและตอบด้วยอารมณ์อ่อนไหว “ม่ายซุ่ยดีต่อฉันจริงๆ ถ้ามีเรื่องดีๆ หล่อนก็มักจะคิดถึงฉันเสมอ ไม่อย่างนั้นเราคงใช้ชีวิตลำบากกว่านี้มาก”
จ้าวเป่ากั๋วพูดว่า “หล่อนควรจะดีกับคุณจริงๆ นั่นแหละ เพราะตอนที่หล่อนไม่ทำงานทำการ คุณคือคนที่ช่วยเหลือหล่อน ถ้าไม่ใช่เพราะคุณ เด็กสองคนนั้นก็คงจะอดตายไปนานแล้ว
แต่เหตุผลนี้ยังไม่เพียงพอให้เรายอมรับน้ำใจของอีกฝ่ายแบบไม่คำนึงถึงความเหมาะสมได้ หากหล่อนอยากทำอะไร คุณก็ช่วยเหลือหล่อนให้มากขึ้นแล้วกัน”
หลี่ต้านีกลอกตาใส่จ้าวเป่ากั๋วด้วยความหงุดหงิด “คุณไม่จำเป็นต้องบอกฉันเรื่องนี้หรอก ในเมื่อหล่อนนึกถึงฉันเสมอ ฉันก็จะปฏิบัติต่อหล่อนเหมือนน้องสาวแท้ๆ”
ขณะที่ทั้งคู่กำลังคุยกันอยู่นั้น จ้าวเหม่ยฟางก็วิ่งพรวดพราดมาจากข้างนอก และทันทีที่หลี่ต้านีเห็นถุงมือในมือของลูกสาว หล่อนก็ตาเบิกกว้างแล้วถามว่า “อาสะใภ้ให้แกมาเหรอ?”
จ้าวเหม่ยฟางพยักหน้าพลางเอ่ย “อาสะใภ้บอกว่านี่เป็นของขวัญสำหรับฉันค่ะ” จากนั้นหล่อนก็หยิบเงินยี่สิบหยวนออกจากกระเป๋าแล้วพูดว่า “แม่ นี่คือค่าแรงที่อาสะใภ้ให้ฉันมา”
เมื่อหลี่ต้านีเห็นเงินยี่สิบหยวนที่จ้าวเหม่ยฟางหยิบออกมา หล่อนก็ระเบิดอารมณ์ทันที “ลูกสาวคนนี้ แม่ไม่ได้บอกเหรอว่าอาสะใภ้ให้เงินพวกเราแล้ว? ทำไมแกยังรับมาอีก?”
จ้าวเหม่ยฟางมองท่าทางโกรธเคืองของหลี่ต้านีแล้วตอบด้วยความกลัว “ฉันบอกอาสะใภ้แล้วว่าไม่รับ แต่หล่อนบอกว่าเงินที่ให้แม่ก็เป็นค่าแรงของแม่ แต่นี่คือเงินค่าแรงของฉัน หล่อนยังขู่ไม่ให้ฉันปฏิเสธด้วย เพราะถ้ามัวชักช้าแล้วมีคนมาเห็นเข้าก็จะแย่”
หลี่ต้านีได้ฟังเหตุผลแล้วก็สูดหายใจเข้าลึก “ทำไมแกถึงเป็นเด็กที่ซื่อขนาดนี้นะ”
ทันทีที่หล่อนพูดจบ จ้าวเป่ากั๋วก็ดึงจ้าวเหม่ยฟางออกมา “เขาให้ก็รับไว้สิ ทำไมคุณต้องใจร้ายกับลูกด้วยล่ะ
คงเพราะคุณใช้เงินทั้งหมดเพื่อซื้อนาฬิกาให้ผมแล้ว ม่ายซุ่ยจึงกลัวว่าคุณจะไม่มีเงิน หล่อนจึงหาข้ออ้างที่จะเพิ่มเงินแก่คุณนั่นแหละ ถ้าหล่อนให้ คุณก็เก็บไว้เถอะ แล้วรอผ่านไปสักสองสามวัน คุณค่อยเชิญครอบครัวของพวกหล่อนมากินข้าวที่บ้านเราก็ได้”
หลี่ต้านีเม้มปากแล้วพูดว่า “ก็คงจะทำได้แค่นี้แหละนะ”
เมื่อหลินเจี้ยนเยี่ยกลับบ้าน สวี่ม่ายซุ่ยยังไม่ได้ทำอาหารเลย ส่วนหลินเจี้ยนจวินกับเด็กทั้งสองคนไม่อยู่ เขาจึงล้างมือแล้วไปช่วยเธอในครัว
“ทำอะไรบ้างเหรอ?”
สวี่ม่ายซุ่ยสาธยาย “หมูผัดพริก ผัดสามเซียน ไข่คน ถั่วปากอ้าคั่วแล้วก็หมั่นโถว”
หลินเจี้ยนเยี่ย “ดีเลย มีทั้งเนื้อสัตว์และผัก”
ทั้งคู่เพิ่งทำอาหารจานผักเสร็จก็เป็นจังหวะที่สามอาหลานกลับมาพร้อมกัน สวี่ม่ายซุ่ยจึงถามพวกเขาด้วยความประหลาดใจ “ทำไมทั้งสามคนกลับมาพร้อมกันล่ะ?”
หลินเซียวโยนกระเป๋านักเรียนทิ้ง เมื่อล้มตัวนั่งที่เก้าอี้แล้วเขาก็ตอบด้วยความเหนื่อยล้า
“บังเอิญเจอกันกลางทางน่ะครับ” เขาพูดพลางยื่นมือออกไปหยิบเนื้อกิน
สวี่ม่ายซุ่ยเห็นดังนั้น เธอก็รีบตีมือเขาทันที “ล้างมือแล้วเหรอ?”
หลินเซียวตอบว่า “ล้างแล้วครับ ผมล้างที่ห้องอาจารย์เพื่อจะได้ประหยัดเวลา”
สวี่ม่ายซุ่ยได้ยินคำตอบแล้วก็ไม่ได้ตำหนิเขาอีก แต่หยิบหมั่นโถวส่งให้เขาแทน “แม่ไม่ได้ทำอาหารเผื่อตอนเที่ยงไว้ให้ทุกคน แล้วลูกได้กินข้าวไหม?”
หลินเซียวตอบว่า “กินแล้วครับ แต่ตอนนี้หิวอีกแล้ว”
สวี่ม่ายซุ่ยรู้ดีว่าเด็กผู้ชายวัยเดียวกับเขาต้องใช้พลังงานเยอะมาก เมื่อเห็นว่าเขาหิวมากจริงๆ เธอจึงหยุดชวนคุย
เมื่อหลินเจี้ยนจวินล้างมือแล้วเดินกลับมา เขาก็นั่งลงและเริ่มกินข้าว สวี่ม่ายซุ่ยมองกลุ่มคนที่ตั้งหน้าตั้งตากินข้าว จึงพึมพำด้วยความแปลกใจ “วันนี้มีเรื่องอะไรหรือเปล่า? แต่ละคนดูเหมือนไม่ได้กินข้าวเลยนะ”
หลังจากอยู่ด้วยกันมานานก็มีความคุ้นเคยกันมากขึ้น หลินเจี้ยนจวินจึงตอบพลางกัดหมั่นโถวไปด้วย “วันนี้ทีมขับรถมีภารกิจ จึงไม่มีเวลากินข้าวเลยครับ”
สวี่ม่ายซุ่ยมองหลินเจี้ยนจวินที่กำลังจะสำลัก เธอรีบส่งถั่วปากอ้าให้เขาแล้วพูดว่า “ค่อยๆ กิน ไม่มีใครแย่งนายกินหรอก”
หลินเจี้ยนจวินกินถั่วปากอ้าไปหนึ่งถ้วย จากนั้นหยุดเคี้ยวและพูดว่า “พี่สะใภ้ เดี๋ยวกินข้าวเสร็จแล้วผมต้องออกไปอีก ใกล้จะปีใหม่แล้ว ต้องเร่งเติมสินค้าในคลังกันหน่อย”
หลินเจี้ยนเยี่ยถามว่า “ไปที่ไหน?”
หลินเจี้ยนจวินตอบว่า “มองโกเลียใน”
สวี่ม่ายซุ่ยรู้สึกกังวลทันทีที่ได้ยินว่าเขากำลังจะไปมองโกเลียใน “มันไกลมากเลยนะ นายเพิ่งจะเริ่มขับ แล้วจะไหวเหรอ?”
หลินเจี้ยนจวินยิ้มให้สวี่ม่ายซุ่ยและพูดว่า “ไหวสิครับ ทุกวันนี้ผมก็ค่อนข้างจะคล่องแคล่วแล้วนะ”
แต่สวี่ม่ายซุ่ยไม่ได้มองโลกในแง่ดีนัก “หัวหน้าของนายก็แย่เหลือเกินนะ เพิ่งจะเริ่มทำงานก็ส่งให้ขับรถไปไกลขนาดนี้เลย”
หลินเจี้ยนเยี่ยไม่ได้หนักใจมากนัก “เขาแค่เริ่มทำงานนี้ ไม่ได้แค่เริ่มขับรถ เขามีทักษะในการขับรถดีมากนะ คุณไม่ต้องกังวลหรอก”
สวี่ม่ายซุ่ยได้ยินคำพูดของเขาแล้วกลอกตาใส่ด้วยความโมโห “คุณนี่ช่างไม่ใส่ใจซะจริง”
“แล้วเดินทางไกลครั้งนี้นายอยากเอาอะไรติดตัวไปด้วยไหม?” สวี่ม่ายซุ่ยไม่เคยมีประสบการณ์เช่นนี้ จึงทำได้เพียงถามหลินเจี้ยนจวินเท่านั้น
หลินเจี้ยนจวินตอบด้วยรอยยิ้มเกรงใจ “อาจต้องนำเสบียงไปเองครับ”
เมื่อสวี่ม่ายซุ่ยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องเสบียง เธอก็ไม่สนใจจะกินข้าวอีกและยืนขึ้นทันที “ฉันจะทำให้ตอนนี้แหละ”
วันที่อากาศหนาวเหน็บรวมเข้ากับการเดินทางไกลอาจสามารถแวะกินข้างทางได้หนึ่งหรือสองมื้อ แต่ถ้าให้กินตลอดคงไม่ได้ สวี่ม่ายซุ่ยคิดอยู่พักหนึ่ง และรู้สึกว่าทำผัดเนื้อกับผักดองจะสะดวกที่สุด เธอหยิบก้อนผักดองออกจากตู้แล้วหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ จากนั้นนำเนื้อชิ้นใหญ่มาหั่นเป็นชิ้นบางๆ ขณะที่ทำการผัดก็ใส่พริกลงไปเยอะมาก ทำให้ผ่านไปสักพักก็มีกลิ่นเผ็ดร้อนหอมฟุ้งลอยออกมาจากห้องครัว
หลังจากที่หลินเซียวและหลินฟานได้กลิ่น พวกเขาก็รีบวิ่งเข้าไปพร้อมหมั่นโถวในมือ สวี่ม่ายซุ่ยก็ไม่ได้ตระหนี่ เธอจึงมอบตะเกียบขนาดใหญ่สองคู่ให้กับลูกชายทั้งสอง
ไม่นานหลังจากนั้น หลินเจี้ยนเยี่ยก็เดินเข้ามาพร้อมหมั่นโถว เมื่อมองดูเนื้อที่มีปริมาณมากพอๆ กับผักดอง เขาก็เดาะลิ้นใส่สองที “คุณตามใจเขาเกินไปแล้ว”
สวี่ม่ายซุ่ยพูดว่า “ถ้าฉันงดอาหารเขาสักสามวัน คุณคงจะมีความสุขสินะ”
หลินเจี้ยนเยี่ย “…”
“ที่บ้านเราไม่ได้ทำเจียนปิ่ง งั้นคุณดูแลบ้านหน่อยนะ เดี๋ยวฉันจะไปขอที่บ้านหมาจื่อสักหน่อย” สวี่ม่ายซุ่ยพูดพลางถอดผ้ากันเปื้อนออก
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ทำงานวันแรกก็โดนส่งไปไกลเลยเจี้ยนจวิน ขอให้เดินทางปลอดภัยนะ
ชิวเฟิง
MANGA DISCUSSION