ตอนที่ 195 แม่เฒ่าเฉินทำตัวร้ายกาจอีกครั้ง
แม่เฒ่าเฉินนั่งแทะเมล็ดแตงโมพลางเหลือบตามองเขาแวบหนึ่ง จากนั้นตอบด้วยความโมโห “ทำไมแกจะไปเจอใครไม่ได้ ก็ในเมื่อแกออกไปเจอผู้คนทุกวันไม่ใช่เหรอ?”
ใบหน้าของเฉินเยวี่ยพลันเขียวคล้ำเพราะโมโหกับการแสดงออกของแม่เฒ่าเฉิน “แม่ไม่ได้ออกไปข้างนอกก็เลยไม่รู้ไง ตอนนี้ทุกคนในลานบ้านพักกำลังซ่อมแซมกำแพงบ้าน แล้วแม่จะให้ผมทำยังไงล่ะ?”
“ในเมื่อพวกเขาซ่อมกำแพงบ้านตัวเอง แกก็แกล้งมองไม่เห็นซะสิ”
เฉินเยวี่ย “…”
“ผมจะทำเป็นหูหนวกตาบอดไม่ได้หรอกนะ ในเมื่อเห็นอยู่ชัดๆ ว่าทุกคนกำลังต่อต้านเราอยู่ ต่อให้ผมไม่อยากเห็นก็ต้องเห็น เพราะผมเป็นหัวหน้า ต้องออกไปทุกวันน่ะ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ แม่เฒ่าเฉินก็ถ่มน้ำลายปนเปลือกเมล็ดแตงโมลงพื้น “ถุย ฉันคิดว่าพวกเขาก็แค่เสแสร้งไปงั้นแหละ”
เฉินเยวี่ยเห็นว่าแม่เฒ่าเฉินดื้อรั้นเกินแกงแล้ว จึงตะโกนไปทางจางซุ่ยฮวาที่กำลังทำอาหารอยู่ข้างนอก “ซุ่ยฮวา คุณไปเก็บข้าวของของแม่ แล้วส่งแม่กลับไปพรุ่งนี้เลย”
ทันทีที่แม่เฒ่าเฉินได้ยิน นางก็หยุดแทะเมล็ดแตงโมแล้วลงไปร้องไห้ดีดดิ้นกับพื้น “ไอ้ลูกอกตัญญู ถ้าแกยังกล้าไล่ฉันไปอีก ฉันจะตายให้แกดูเดี๋ยวนี้แหละ”
เฉินเยวี่ยมองแม่เฒ่าเฉินที่กำลังร้องไห้ด้วยสีหน้าเย็นชา พูดเหน็บแนมว่า “ถ้าอยากตายผมก็จะไม่ห้าม”
พูดจบแล้วเขาก็เดินออกไปทันที
แม่เฒ่าเฉินตกตะลึงเมื่อเห็นเฉินเยวี่ยไม่ใส่ใจ ขณะจางซุ่ยฮวาเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า “แม่เชื่อฟังเฉินเยวี่ยเถอะ กลับไปอยู่ไม่กี่วัน มันไม่ตายหรอกนะคะ”
“ถ้าพายุนี้สงบลง ยังไงก็จะไปรับแม่กลับมาแน่นอน”
แม่เฒ่าเฉินจ้องหน้าจางซุ่ยฮวาที่กำลังมีความสุขบนความทุกข์ของตน ทันใดนั้นนางก็ก่นด่าออกมา “นังสารเลว ถ้าเธอไม่คอยเป่าลมข้างหมอนทุกวัน เจ้ารองจะทำแบบนี้กับฉันเหรอ? งั้นก็มารอดูกันว่าถึงเวลานั้นฉันจะจัดการกับเธอยังไง?”
จางซุ่ยฮวาเคยกลัวแม่เฒ่าเฉินก็จริง แต่ตอนนี้แม่เฒ่าเฉินกำลังจะจากไป หล่อนย่อมไม่กลัวแน่นอน มิหนำซ้ำยังพูดลอยหน้าลอยตาว่า “แล้วฉันจะรอนะคะ”
แม่เฒ่าเฉินกลอกตาใส่แล้วพูดด้วยความโกรธ “เธอรอได้เลย”
เวลา 24.00 น. ท่ามกลางค่ำคืนอันเงียบสงบ ทันใดนั้นก็ปรากฏเสียงกรีดร้องดังสนั่นขึ้นมา “แย่แล้ว ย่าแขวนคอตัวเองเหรอ?”
เมื่ออยู่ๆ ลานบ้านพักอันเงียบสงบถูกรบกวน สวี่ม่ายซุ่ยจึงขมวดคิ้วมุ่น และเมื่อเห็นว่าหลินเจี้ยนเยี่ยกำลังจะลุกจากเตียง เธอก็พึมพำถามว่า “เกิดอะไรขึ้นเหรอ?”
หลินเจี้ยนเยี่ยเอื้อมมือออกไปดึงผ้าห่มคลุมให้เธอ “ไม่มีอะไรหรอก เดี๋ยวผมจะไปดู ส่วนคุณก็นอนต่อเถอะ”
เนื่องจากพรุ่งนี้เธอต้องส่งสินค้าให้เสี่ยวเกา สวี่ม่ายซุ่ยจึงไม่ลุกขึ้นจากที่นอน แต่ยังคงได้ยินเสียงกรีดร้องและเสียงความโกลาหลดังมาจากข้างบ้าน ซึ่งในไม่ช้าหลินเจี้ยนเยี่ยก็กลับมาพร้อมกับแผ่ไอเย็นไปทั่วร่าง
เมื่อตระหนักว่าคนที่นอนอยู่ข้างๆ ล้มตัวลงนอนตามเดิมแล้ว สวี่ม่ายซุ่ยจึงถามว่า “แม่เฒ่าเฉินก่อเรื่องอะไรอีกล่ะ?”
หลินเจี้ยนเยี่ยตอบสั้นๆ “แขวนคอตายน่ะ”
สวี่ม่ายซุ่ยแค่นเสียงเย้ยหยัน “คราวนี้ทำเพราะไม่อยากกลับไปใช่ไหม?”
“อืม”
สวี่ม่ายซุ่ยได้ยินแล้วก็อ้าปากหาวหวอด เธอไม่พูดอะไรอีกและนอนหลับสนิทแทบจะในทันที
ณ บ้านหลังถัดไป จางซุ่ยฮวารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังตกสู่หุบเหวลึก ร่างกายของหล่อนสั่นเทาไม่หยุด ขณะที่แม่เฒ่าเฉินนอนอยู่บนเตียงพลางมองหล่อนด้วยรอยยิ้มเหน็บแนม “เจ้ารอง ฉันหิวน้ำ”
ไม่ว่าเฉินเยวี่ยจะโหดร้ายขนาดไหน ทว่าเมื่อต้องเผชิญหน้ากับมารดาผู้อ่อนแอเช่นนี้ เขาก็ทนใจแข็งไม่ได้อีก เขาจึงทำได้เพียงพูดกับจางซุ่ยฮวาว่า “รีบไปเอาน้ำมาสิ”
เมื่อจางซุ่ยฮวารู้สึกตัว หล่อนก็จ้องมองไปทางแม่เฒ่าเฉิน และเห็นว่าแม่เฒ่าเฉินกำลังมองหล่อนด้วยใบหน้าที่ซีดเซียวแต่มีนัยน์ตาน่ากลัวเหมือนผีร้ายจากนรก ทำให้คืนนั้นจางซุ่ยฮวาก็จับไข้เพราะความตกใจกลัว
การที่อยู่ๆ สตรีซึ่งเป็นเสาหลักของบ้านตระกูลเฉินก็ล้มป่วย ชีวิตของสมาชิกที่เหลือจึงวุ่นวายสุดๆ ทว่านั่นไม่สำคัญสำหรับสวี่ม่ายซุ่ยเลย เพราะเธอกำลังยุ่งกับการหาเงิน
ในตอนเช้า สวี่ม่ายซุ่ยส่งลูกชายทั้งสองไปหาข่งอวิ๋นป๋อ และเมื่อมาถึง ข่งอวิ๋นป๋อก็กำลังอ่านหนังสืออยู่ เขาสะดุ้งเมื่อเห็นเด็กทั้งสองคน แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ อีก
สวี่ม่ายซุ่ยพูดว่า “อาจารย์ข่งลืมไปแล้วเหรอ?”
ข่งอวิ๋นป๋อเงยหน้าขึ้นและยิ้มเอ่ย “ผมจะลืมเรื่องนี้ได้ไงล่ะ”
เมื่อพูดจบแล้วเขาก็กวักมือเรียกเด็กทั้งสอง “มานี่สิ”
หลินเซียวกับหลินฟานไม่เขินอาย พวกเขารีบวิ่งไปทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น
สวี่ม่ายซุ่ยมองไปที่สองพี่น้องแล้วพูดว่า “ลูกทั้งสองต้องเชื่อฟังอาจารย์ข่ง ตอนนี้ฉันต้องกลับไปก่อนนะ”
ข่งอวิ๋นป๋อ “ครับ”
เมื่อสวี่ม่ายซุ่ยส่งเด็กๆ และกลับถึงบ้านแล้ว หลี่ต้านีก็รออยู่ที่ประตูบ้านแล้วเช่นกัน “เธอมัวไปทำอะไรอยู่?”
สวี่ม่ายซุ่ยตอบว่า “ไปส่งเด็กๆ น่ะ”
หลี่ต้านีตกตะลึง “เธอเอาลูกไปฝากไว้ไหน?”
สวี่ม่ายซุ่ยตอบขณะเปิดประตู “ฉันหาอาจารย์ให้พวกเขาแล้ว จึงส่งพวกเขาไปเรียนน่ะ”
หลี่ต้านีตอบด้วยท่าทางไม่ค่อยเห็นด้วย “ทำไมเธอต้องกังวลเรื่องนี้ด้วยล่ะ ในเมื่อโรงเรียนปิดเทอมแล้ว เธอยังจะให้พวกเขาเรียนอีกเหรอ ยังไงก็เข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้หรอกนะ”
สวี่ม่ายซ่ยพูดว่า “ใครบอกว่าเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ ถ้าทำได้ขึ้นมาล่ะ อย่าปล่อยให้เหม่ยฟางช่วยแต่งานที่บ้าน ถ้าเปิดเทอมแล้วพี่ควรจะให้หล่อนเข้าโรงเรียนด้วย”
หลี่ต้านีพูดว่า “ฉันไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจเรื่องนี้หรอก ต้องถามพี่ใหญ่จ้าวของเธอโน้น”
สวี่ม่ายซุ่ยรู้ว่านอกเหนือจากความคิดชายเป็นใหญ่ของจ้าวเป่ากั๋วแล้ว เขายังเป็นคนมองการณ์ไกลมาก ถ้าพูดให้ฟังแล้วก็ไม่ต้องพยายามชักจูงเขามากนัก อย่างไรเขาต้องยอมให้ไปอยู่แล้ว ตอนนี้จึงไม่มีประโยชน์ที่จะพูดมาก
ทั้งสองเก็บข้าวของและเดินทางเข้าเมือง เนื่องจากนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทำเช่นนี้ ทั้งสองจึงมีความสามัคคีกันดีมาก
หลี่ต้านีติดตามสวี่ม่ายซุ่ยโดยแบกกระบุงไว้บนหลัง หล่อนมองซ้ายแลขวาและถามด้วยความสงสัย “ผู้ชายคนนั้นอยู่ไหน?”
สวี่ม่ายซุ่ยก็มองหาเสี่ยวเกาเช่นกัน เพราะทุกครั้งที่พบกัน พวกเธอจะพบกันที่สถานีรถไฟเสมอ เหตุผลแรกคือมีคนจำนวนมากที่สถานีรถไฟ เหตุผลที่สองคือมีคนขนสัมภาระที่สถานีรถไฟเยอะมาก ทำให้คนแบบพวกเธอไม่เป็นที่สงสัย โดยทุกคนจะคิดว่าพวกเธอมาจากต่างถิ่นเพื่อเยี่ยมญาติ ไม่คิดว่าจะมีการซื้อขายกันแบบนี้
ทั้งสองค้นหาไปรอบๆ แต่ไม่พบใครเลย หลี่ต้านีจึงหันไปถามสวี่ม่ายซุ่ยด้วยความกังวล “เกิดอะไรขึ้น? ทำไมเสี่ยวเกาไม่มาล่ะ? หรือเขาจะหนีไปแล้ว?”
สวี่ม่ายซุ่ยก็กังวลเล็กน้อยเช่นกัน แต่เพื่อให้หลี่ต้านีวางใจ เธอจึงทำได้เพียงตอบด้วยความใจเย็นเท่านั้น “ไม่หรอก อาจมีเรื่องทำให้ล่าช้า พวกเราก็ค่อยๆ รอไปก่อนแล้วกัน”
เมื่อเห็นสีหน้าสงบของสวี่ม่ายซุ่ย หลี่ต้านีก็สงบลงเช่นกัน “ตกลง” เมื่อพูดจบแล้ว หล่อนก็นั่งข้างๆ และรอเสี่ยวเกาด้วยความใจเย็น
หลังจากนั่งรอนานกว่าครึ่งชั่วโมง เสี่ยวเกาก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา “ผมมีงานต้องทำที่บ้าน ขอโทษที่ทำให้รอนานนะ”
ก่อนที่สวี่ม่ายซุ่ยจะทันได้พูด หลี่ต้านีก็พูดขึ้นมาก่อนแล้ว “ก็นั่นน่ะสิ ถ้านายยังไม่มา พวกเราจะคิดว่านายหนีไปแล้วล่ะ”
เสี่ยวเกาเช็ดเหงื่อออกจากหน้าผากพลางเอ่ย “ไม่ใช่หรอก”
“เราอย่ามัวคุยกันอยู่ที่นี่เลย ไปหาที่คุยกันเถอะ”
หลี่ต้านีได้ยินเช่นนี้ก็เหลือบมองไปทางสวี่ม่ายซุ่ยโดยอัตโนมัติ และเห็นสวี่ม่ายซุ่ยลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วตอบด้วยความใจเย็น “ได้”
เนื่องจากครั้งนี้ทั้งสองคนนำของมามากมาย เสี่ยวเกาจึงต้องตรวจสอบสินค้าก่อนที่จะจ่ายเงินแก่พวกเธอ ส่วนเสี่ยวเกาจะพาพวกเธอไปที่ไหน สวี่ม่ายซุ่ยไม่กังวลเลย
เพราะการที่เขาสามารถอยู่ในตลาดมืดได้อย่างสบายๆ ย่อมหมายความว่าเขามีชื่อเสียงดีแน่นอน
พวกเธอเดินตามเสี่ยวเกาไปเรื่อยๆ เมื่อมาถึงบ้านร้างแห่งหนึ่งก็หยุดเดิน แล้วเขาก็พูดว่า “พี่สาวทั้งสอง เราจะคุยกันที่นี่แหละ”
สวี่ม่ายซุ่ยตอบรับ “ได้” เมื่อพูดจบแล้วเธอก็เดินตามเสี่ยวเกาเขาไปข้างใน
ทันทีที่เสี่ยวเกาเข้ามาแล้วเขาก็แทบรอไม่ไหวที่จะตรวจสอบสินค้า “พี่สาว ทำเสร็จหมดแล้วเหรอ?”
สวี่ม่ายซุ่ยตอบว่า “เสร็จหมดแล้ว ถุงใบนี้เป็นผ้าพันคอ ส่วนถุงใบนี้เป็นถุงมือ นายลองดูสิ”
เสี่ยวเกาได้ยินแล้วเขาก็ไม่เกรงใจอีกต่อไป เขารีบเปิดถุงออกแล้วเริ่มตรวจสอบสินค้าโดยมีหลี่ต้านีคอยช่วยเหลือและบรรยายคุณภาพสินค้าว่า “นายดูสิว่าผ้าพันคอผืนนี้คุณภาพดีขนาดไหน เราถักตะเข็บแบบไร้รอยต่อ ลายนี้ถักยากมากนะ”
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
ใจเด็ดเหลือเกินนางเฒ่า เอาชีวิตมาเป็นเดิมพันแบบนี้เลย? แต่ถ้าเกิดตายจริงหรือพิการขึ้นมาล่ะ คิดว่าคุ้มเหรอ
ชิวเฟิง
MANGA DISCUSSION