ตอนที่ 194 หลินเจี้ยนเยี่ยเป็นต้นแบบ
“ทำไมนายต้องเดินห่างจากฉันขนาดนี้ด้วย?” ไต้ฉิงหยุดฝีเท้าแล้วมองแผ่นหลังของหลินเจี้ยนจวินที่ห่างออกไปแปดจั้งแล้วตำหนิเขาด้วยใบหน้าบึ้งตึง
หลินเจี้ยนจวินมองไปรอบ ๆ และเห็นว่าไม่มีใครอยู่ เขาจึงถอยมาเดินข้างหล่อนแล้วพูดว่า “ฉันคิดว่าทุกคู่ก็เป็นแบบนี้นี่นา”
ไต้ฉิงจึงตอบว่า “ไปเห็นใครเป็นแบบนี้ล่ะ?”
หลินเจี้ยนจวินตอบอย่างตรงไปตรงมา “ก็พี่ชายกับพี่สะใภ้ของฉันไง”
ไต้ฉิงได้ยินแบบนี้ก็เริ่มสนใจขึ้นมาทันที “พี่ชายกับพี่สะใภ้ของนายมักจะเดินด้วยกันแบบนี้เหรอ?”
“ใช่”
“แล้วพี่สะใภ้ของนายก็ไม่ได้ตำหนิพี่ชายนายเหรอ?”
“ทำไมพี่สะใภ้ต้องตำหนิพี่ชายฉันด้วยล่ะ ก็พี่ชายเป็นผู้บังคับการ เขาจะต้องระวังเรื่องผลกระทบอยู่แล้ว”
ไต้ฉิงทำหน้ามุ่ย หล่อนจ้องหน้าหลินเจี้ยนจวินแล้วเตือนเขาว่า “ในอนาคตนายห้ามเลียนแบบพี่ชายเด็ดขาด เพราะนายไม่ใช่ผู้บังคับการ ไม่ต้องกลัวผลกระทบ”
หลินเจี้ยนจวินพูดว่า “ฉันไม่กลัวตัวเองได้รับผลกระทบหรอก แต่ฉันกลัวผลกระทบต่อเธอต่างหาก”
สำหรับความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงในยุคนี้ ผู้คนมักจะใจกว้างต่อเพศชายมากกว่าเพศหญิง
แต่ไต้ฉิงตอบด้วยท่าทางไม่แยแส “ฉันก็ไม่กลัวผลกระทบอะไรเหมือนกัน เรามาเดินข้างกันเถอะนะ”
หลินเจี้ยนจวินเห็นว่าไม่มีคนอยู่ในบริเวณนี้จริง ๆ เขาจึงพยักหน้าและพูดว่า “ได้สิ”
“นายยังเป็นพ่อครัวอยู่ในหมู่บ้านหรือเปล่า?” ไต้ฉิงมองหลินเจี้ยนจวินพลางเอ่ยถาม
หลินเจี้ยนจวินตอบว่า “ไม่ทำแล้ว พี่ชายหางานให้ฉันและตอนนี้ฉันได้งานเป็นคนขับรถของสหกรณ์น่ะ ฉันจึงมาที่นี่เพื่อบอกเธอว่าช่วงใกล้ปีใหม่นี้ ฉันจะไม่มีเวลามาหาบ่อย ๆ นะ”
ไต้ฉิงได้ยินเช่นนี้ก็ไม่ค่อยพอใจนัก แต่ก็ระงับความน้อยใจไว้ได้ทันทีและตอบว่า “ไม่เป็นไร นายแค่ตั้งใจทำงานให้ดีที่สุดนะ”
หลินเจี้ยนจวินเห็นว่าไต้ฉิงเศร้าหมอง เขาจึงปลอบใจหล่อนว่า “เธอเขียนจดหมายถึงฉันได้เลยนะ ถ้าฉันว่างเมื่อไรก็จะรีบมาเจอเธอเลย”
ไต้ฉิงเหลือบมองหลินเจี้ยนจวินและตอบอย่างเขินอาย “ใครอยากเจอนายมิทราบล่ะ”
หลินเจี้ยนจวินดูเหมือนจะรู้แจ้งในทุกเรื่อง เขาจึงรีบพูดว่า “เธอไม่อยากเจอ ฉันก็จะมาเจอเธอเองไงล่ะ”
ไต้ฉิง “ก็ต้องเป็นอย่างนั้นแหละ”
ขณะที่ชีวิตของหลินเจี้ยนจวินกำลังอยู่ในห้วงรักหวานหยดย้อย ทางฝั่งของสวี่ม่ายซุ่ยกลับเต็มไปด้วยเสียงของปีศาจ
“ไอ้ลูกอกตัญญู ฉันเลี้ยงดูแกมาลำพัง คอยเช็ดฉี่เช็ดอึให้แก ต้องลำบากขนาดไหนกว่าจะโตมาแบบนี้ แต่ยังไงล่ะ ตอนนี้แกบอกว่าจะส่งฉันกลับงั้นเหรอ ไอ้คนใจร้าย ถ้าฉันรู้ว่าแกโตมาจะเป็นแบบนี้ ฉันน่าจะปล่อยให้แกนอนจมกองฉี่ตายไปตั้งแต่ตอนนั้น”
เฉินเยวี่ยมองไปที่แม่แท้ ๆ ซึ่งกำลังนั่งร้องไห้อยู่บนพื้น เขาก็ยกมือนวดหว่างคิ้วพร้อมพูดด้วยความปวดเศียรเวียนเกล้าว่า “แม่ คราวนี้การกระทำของแม่น่าเกลียดเกินไป งั้นแม่ก็กลับไปเถอะ รอให้เรื่องเงียบแล้วผมจะไปรับแม่กลับมา”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ แม่เฒ่าเฉินก็ถ่มน้ำลายใส่หน้าเฉินเยวี่ยแล้วพูดว่า “เฮอะ ฉันคลอดแกออกมา คิดว่าฉันไม่รู้แผนการของแกเหรอ ถ้าฉันกลับไปจริง ๆ แล้วแกไปรับฉันมาอีก นั่นก็ไม่ใช่นิสัยแกแล้ว ฉันจะบอกแกไว้นะ ต่อให้ฉันตายก็จะไม่กลับไป”
ไม่ต้องพูดถึงว่าแม่เฒ่าเฉินเข้าใจเฉินเยวี่ยมากแค่ไหน เพราะนั่นคือสิ่งที่เฉินเยวี่ยคิดจริง ๆ “แม่ ถ้าแม่กังวลแบบนั้นจริง ๆ ถึงตอนนั้นผมจะเขียนบอกให้พี่ใหญ่ส่งแม่มาที่นี่เอง”
แม่เฒ่าเฉินจึงโต้กลับว่า “เฮอะ พี่ใหญ่ของแกไม่รู้หนังสือแม้แต่คำเดียว แกคาดหวังจะให้เขาพาฉันมาส่ง ทำไมแกถึงคิดขึ้นมาได้”
เฉินเยวี่ยรู้สึกหมดหนทางสุด ๆ เขาได้แต่ตะโกนด้วยความท้อแท้ว่า “แม่จะทำอะไรก็ช่วยนึกถึงผมบ้างได้ไหม”
แม่เฒ่าเฉินตวัดสายตามองเขาแล้วพูดว่า “ถ้างั้น แกก็ควรนึกถึงฉันด้วย”
จางซุ่ยฮวายืนอยู่ข้าง ๆ และคาดหวังว่าแม่เฒ่าเฉินจะกลับไปทันที แต่เมื่อเห็นว่าเฉินเยวี่ยกำลังจะสูญเสียคำโน้มน้าวใจทั้งหมดไป หล่อนจึงรีบพูดว่า “แม่บอกเองว่าต้องเชื่อฟังคำสั่งของเฉินเยวี่ยเป็นอันดับแรกไม่ใช่เหรอคะ”
“ตอนนี้แม่ได้ทำสิ่งที่น่าเกลียดมาก ๆ ลงไป แล้วทำไมเฉินเยวี่ยจะส่งแม่กลับไม่ได้ ถ้างั้นแม่อยากให้เขาเผชิญหน้ากับสหายยังไง คนที่ไม่รู้ก็จะคิดว่าเฉินเยวี่ยสมรู้ร่วมคิดกับแม่น่ะสิ”
ต้องยอมรับว่าคำพูดของจางซุ่ยฮวาโดนใจเฉินเยวี่ยโดยแรง “แม่ ซุ่ยฮวาพูดถูกแล้ว ถ้าชื่อเสียงของผมเสื่อมเสีย การอยู่ที่นี่ก็จะไม่เป็นผลดีต่อแม่ด้วยนะ”
แม่เฒ่าเฉินแค่นเสียงเย้ยหยัน นางหันกลับมาและดุด่าจางซุ่ยฮวา “นางบ้า เธอพูดจามีเหตุผลขนาดนี้ ไม่รู้เหรอว่าฉันมองความคิดเธอออก เธออยากกำจัดฉันมานานแล้วไม่ใช่เหรอ เธออยากจะเป็นหัวหน้าครอบครัวใช่ไหม? ฉันจะบอกเธอว่าฝันไปเถอะ เว้นแต่ฉันจะตาย ยังไงเธอก็ต้องรับใช้ฉันไปชั่วชีวิต”
“เมื่อวานเธอก็ร่วมมือทำกับฉันไม่ใช่เหรอ แต่เมื่อถึงเวลาเธอกลับหนีเอาตัวรอดคนเดียวอยู่ตลอด”
“เธอไม่แม้แต่จะตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงาซะเลย เธอคู่ควรแล้วเหรอ?”
เมื่อถูกแม่เฒ่าเฉิงโต้กลับ ใบหน้าของจางซุ่ยฮวาก็เปลี่ยนเป็นขุ่นเคืองมาก ถ้าหล่อนไม่โกรธก็คงจะแปลก “แม่ทำผิดแท้ ๆ ยังจะเอาดีเข้าตัวอีกเหรอ? งั้นก็แล้วแต่พวกคุณเถอะ อยากไปก็ไป ไม่อยากไปก็ไม่ต้องไป”
พูดจบแล้วหล่อนก็เดินออกไป
แม่เฒ่าเฉินมองตามหลังของจางซุ่ยฮวาที่โมโหใส่หล่อน จากนั้นก็เลิกคิ้วขึ้นด้วยความภาคภูมิ ‘ถ้าเธอคิดจะต่อกรกับฉันล่ะก็… ต้องฉลาดกว่านี้นะ’
เฉินเยวี่ยมองไปที่แม่เฒ่าเฉินผู้ดื้อรั้น และพูดอย่างอับจนหนทาง “แม่จะบีบคั้นผมจนตายเลยเหรอ ถ้าผมตาย พวกแม่ก็จบเห่ด้วยนะ”
แม่เฒ่าเฉินไม่เชื่อว่าเฉินเยวี่ยจะเต็มใจตาย นางมองเขาและตอบด้วยความสงบ “แกไม่ต้องพูดถึงขั้นว่าอยู่หรือตายหรอก เราสองแม่ลูกแค่ไม่เข้าใจกันเท่านั้น งั้นแกคิดว่าทำแบบนี้ดีไหม แกไม่ต้องส่งฉันกลับ ส่วนฉันก็จะไม่ออกไปไหนอีก ฉันจะอยู่เฉย ๆ แต่ในบ้าน ถ้าพวกเขาไม่เห็นฉัน เดี๋ยวก็ลืมฉันไปเอง”
เฉินเยวี่ยเห็นว่าแม่เฒ่าเฉินพูดด้วยความจริงใจ เมื่อลังเลอยู่พักหนึ่งเขาก็ตกลง
เมื่อหลินเซียวที่แอบพิงกำแพงฟังเสียงอยู่ไม่ได้ยินเสียงจากบ้านข้าง ๆ แล้ว เขาก็วิ่งเข้าบ้าน “แม่ครับ ข้างบ้านสงบลงแล้ว”
สวี่ม่ายซุ่ย “พูดอะไรกันบ้าง?”
หลินเซียวตอบว่า “ไม่ได้ยินเลยครับ”
สีหน้าของสวี่ม่ายซุ่ยมืดลงทันที ส่วนหลี่ต้านีก็ถอนหายใจพลางเอ่ย “แม่เฒ่าคนนี้สุดยอดไปเลยนะ หลังจากก่อเรื่องวุ่นวายขนาดนี้แล้ว ยังกล้าจะอยู่ที่นี่อีก”
สวี่ม่ายซุ่ยแค่นเสียงเย้ยหยัน “ชีวิตที่นี่ดีมาก หล่อนไม่ต้องดูแลลูกหรือทำงานเลย แต่หล่อนยังมีกินและมีเสื้อผ้าใส่ ถ้าหล่อนเต็มใจจากไปก็แปลกแล้วล่ะ”
หลี่ต้านีจึงพูดขึ้นว่า “แล้วเธอสองคนจะอยู่กันยังไง?”
สวี่ม่ายซุ่ยตอบว่า “ก็ไม่ไปมาหาสู่กันนั่นแหละ”
หลินเซียวขมวดคิ้วเมื่อได้ยิน เขากลอกตาใช้ความคิดแล้วพูดว่า “แม่ไม่ต้องห่วงครับ ผมสามารถหาข่าวได้” พูดจบแล้วเขาก็วิ่งไปยังสถานที่ที่สวี่ม่ายซุ่ยซ่อนลูกอมไว้ เขาเทลูกอมใส่หนึ่งกำมือแล้วยัดมันลงในกระเป๋า จากนั้นก็วิ่งออกไป
สวี่ม่ายซุ่ยมองไปยังการเคลื่อนไหวที่แสนจะคล่องแคล่วของหลินเซียว ทันใดนั้นหนังตาเธอก็กระตุกขึ้นมา เจ้าเด็กซนคนนี้จมูกไวอย่างกับมด ค้นพบที่ซ่อนขนมของเธอได้หมดเลย
นั้นไม่นานนัก หลินเซียวก็คาบข่าวมาบอก นั่นก็คือเฉินเยวี่ยไม่สามารถเอาชนะแม่เฒ่าเฉินได้ ทำให้แม่เฒ่าเฉินได้อยู่ต่อ และนางก็สัญญาว่าจะไม่ออกมาข้างนอกอีก
สวี่ม่ายซุ่ยได้ยินแล้วก็ไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ แค่คิดว่าด้วยนิสัยของแม่เฒ่าเฉินถือว่าแปลกที่จะยอมไม่ออกมาข้างนอก
เมื่อพวกหลี่ต้านีเห็นสีหน้าไร้อารมณ์ของสวี่ม่ายซุ่ยแล้ว ก็คิดว่าเธอคงไม่สนใจจริง ๆ แต่ไม่คาดคิดว่าตอนกลางคืน สวี่ม่ายซุ่ยจะบ่นกับหลินเจี้ยนเยี่ยอยู่พักใหญ่ ทั้งยังภาวนาให้เขาได้รับการเลื่อนตำแหน่งและได้สวัสดิการเพิ่มโดยเร็วที่สุด เพื่อจะได้หลีกเลี่ยงจากกลุ่มคนประหลาดกลุ่มนี้
หลินเจี้ยนเยี่ยได้ยินแล้วนิ่งเงียบ เพราะตอนนี้สถานการณ์ยังไม่มั่นคง และอาจเป็นเรื่องยากที่เขาจะได้รับเลื่อนตำแหน่งและขึ้นเงินเดือน แต่ก็ยังพอจะมีวิธีอื่น บ่ายวันต่อมา เขาจึงขอให้หลินเจี้ยนจวินซื้อปูนซีเมนต์และขวดแก้วกลับมาด้วย
เมื่อใดก็ตามที่มีคนถามระหว่างทาง หลินเจี้ยนจวินจะหยุดและอธิบายด้วยรอยยิ้มว่าเพราะบ้านของพวกเขาถูกขโมยขึ้นบ้าน ทำให้พวกเขารู้สึกไม่ปลอดภัย จึงวางแผนที่จะติดเศษแก้วไว้บนกำแพงลานบ้าน
ตอนแรกทุกคนไม่ได้คิดมาก แต่หลังจากไตร่ตรองแล้ว ทุกคนก็เริ่มทำตามความคิดของหลินเจี้ยนเยี่ยกับบ้านตัวเองบ้าง เพราะสุดท้ายแล้วแม่เฒ่าเฉินก็ยังอยู่ที่นี่ ย่อมไม่มีใครรู้ว่านางจะเลิกนิสัยเดิมได้หรือยัง
ทันใดนั้น กระแสการตกแต่งกำแพงก็เกิดขึ้นในลานบ้านพักเจ้าหน้าที่ ทุกคนล้วนยุ่งอยู่กับการติดเศษแก้วไว้บนกำแพง แม่เฒ่าเฉินที่เก็บตัวอยู่แต่ในห้องทุกวันจึงไม่รู้ว่าเฉินเยวี่ยต้องเดินไปและกลับจากที่ทำงานทุกวันและต้องเห็นภาพทุกคนกำลังวางเศษแก้วไว้บนกำแพงบ้าน ใบหน้าของเขาแดงก่ำด้วยความอับอาย และเมื่อกลับถึงบ้านเขาก็ระเบิดอารมณ์ใส่แม่เฒ่าเฉิน “แม่ ทำไมไม่กลับบ้านเกิดสักพักล่ะ ดูผลจากการกระทำของแม่สิ แบบนี้ผมจะมีหน้าไปเจอใครได้อีก”
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ความคิดยอดเยี่ยมจริง ๆ ทีนี้ลองปีนกำแพงมาขโมยของบ้านข้าง ๆ อีกสินังเฒ่า
ชิวเฟิง
MANGA DISCUSSION