ตอนที่ 190 ถูกขโมยขึ้นบ้าน
จางซุ่ยฮวาตอบด้วยความลังเล “ไม่น่าจะใช่นะคะ เพราะฉันเห็นว่าหลี่ต้านียังมาหาหล่อนบ่อยๆ”
แม่เฒ่าเฉินพูดต่อ “เธอคิดว่าสองคนนั้นกำลังวางแผนอะไรอยู่? ทำไมเธอไม่ไปดูล่ะ”
“ทำไมฉันต้องไปดูด้วย ฉันไม่มีความสัมพันธ์อันดีกับหล่อนนะ” จางซุ่ยฮวาพูดด้วยความสับสน
เมื่อได้ยินแบบนี้แล้วแม่เฒ่าเฉินก็มองจางซุ่ยฮวาด้วยสายตาดุร้าย “เธอมีประโยชน์อะไรบ้างเนี่ย”
พูดจบแล้วนางก็ลุกขึ้นและเดินออกไป
จางซุ่ยฮวาก็เดินตามไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น หล่อนยืนมองแม่เฒ่าเฉินปีนบันไดข้างกำแพงด้วยอาการตัวสั่นงันงกพร้อมชะเง้อคอมองไปอีกฝั่ง
พวกสวี่ม่ายซุ่ยต่างมุ่งความสนใจไปที่การทำงานให้เสร็จอยู่ในห้อง โดยปกติแล้วพวกเธอจะไม่สังเกตเห็นใครที่กำแพงลานบ้านเลย
แม่เฒ่าเฉินมองอยู่สักพัก เมื่อเห็นว่าลานบ้านเงียบสงบ หล่อนจึงมองไปที่ห้องครัวข้างๆ และผุดแผนการขึ้นมาทันที
“จินกังอยู่บ้านไหม?” แม่เฒ่าเฉินมองลงไปที่จางซุ่ยฮวาพลางเอ่ยถาม
จางซุ่ยฮวาพยักหน้าแล้วตอบว่า “ยังนอนอยู่ในห้องค่ะ”
แม่เฒ่าเฉินสั่ง “เธอไปเรียกเขามาหาฉันเร็วๆ”
ทันทีที่จางซุ่ยฮวาได้ยิน หล่อนก็ตะโกนเรียกจนสุดปอด แต่แม่เฒ่าเฉินได้ยินเสียงนี้ก็รีบลดเสียงเพื่อตำหนิว่า “เบาๆ หน่อยสิ เข้าไปข้างในแล้วค่อยเรียก”
จางซุ่ยฮวาหดคอลงแล้วเดินเข้าบ้าน หลังจากนั้นไม่นานก็พาจินกังที่ถูกปลุกออกมา
เขายกมือยีผมที่กระเซิงเหมือนรังนก ถามด้วยสีหน้าไม่พอใจและดวงตาที่ยังหรี่ปรือเพราะความง่วง “เรียกผมมาทำไมครับ? ผมยังไม่ตื่นเลยนะ?”
แม่เฒ่าเฉินมองหลานชายคนโตและเปลี่ยนสีหน้ามืดมนเป็นยิ้มแย้มแจ่มใส “จินกัง มานี่หน่อยสิ ย่ามีเรื่องจะให้แกช่วย”
เฉินจินกังมองย่าที่ยืนอยู่บนบันไดพลางขมวดคิ้วและพูดด้วยความหงุดหงิด “คุณย่าอายุเท่าไหร่แล้ว? ยังจะปีนบันไดอีกเหรอ ไม่กลัวตกลงมาบ้างหรือไงครับ”
แม่เฒ่าเฉินพูดว่า “ย่ายังไม่แก่ขนาดนั้น ไม่ตกหรอก”
“แกปีนขึ้นมาสิ ย่าจะบอกเรื่องหนึ่งกับแก”
เฉินจินกังมองไปที่ย่าของตนก็ตระหนักได้ทันทีว่าเป็นเรื่องไม่ดี แต่เขาก็ปีนขึ้นไปหาอยู่ดี
“มีอะไรครับ?”
แม่เฒ่าเฉินชี้ไปที่ห้องครัวบ้านข้างๆ แล้วพูดว่า “ตอนนี้ไม่มีใครอยู่ในบ้านนั้น แกไปดูที่ห้องครัวพวกหล่อนหน่อย”
เฉินจินกังได้ยินแล้วดวงตาก็เป็นประกายทันที เพราะข้างบ้านปรุงอาหารได้มีกลิ่นหอมมาก เขาเองก็อยากจะทำแบบนี้ตั้งนานแล้ว แต่ด้วยหน้าที่การงานของพ่อ ทำให้เขาไม่อาจทำตัวยากจนได้
“ย่าลงมาเถอะครับ เดี๋ยวผมทำเอง”
เมื่อได้ยินแบบนี้แล้ว แม่เฒ่าเฉินก็ตอบด้วยรอยยิ้มทันที “ตกลง หลานชายคนโตของฉันต้องแข็งแกร่งกว่าอยู่แล้ว” หลังจากพูดจบ นางก็ค่อยๆ ก้าวลงบันไดทีละขั้น
เมื่อแม่เฒ่าเฉินลงมาแล้ว เฉินจินกังก็ยืดศีรษะขึ้นแล้วมองไปที่ลานบ้านของสวี่ม่ายซุ่ย เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่ที่นั่นจริงๆ เขาก็กระโดดขึ้นนั่งบนกำแพงแล้วกระโดดลงไปข้างล่างโดยไม่มีใครเห็น
จากนั้นเขาก็ก้มลงและเดินย่อตัวเข้าไปในห้องครัว ซึ่งทันทีที่เข้าไปแล้ว เขาก็ตื่นตาตื่นใจราวกับหนูวิ่งเข้ายุ้งฉาง
ช่วงนี้ถือเป็นช่วงที่มักจะจัดงานมงคลในหมู่บ้าน หลินเจี้ยนจวินจึงมักจะได้ทำอาหารทุกงาน และนำอาหารที่ปรุงสุกกลับมาที่บ้านเยอะมาก
แต่สมาชิกในครอบครัวก็ไม่สามารถกินได้หมด สวี่ม่ายซุ่ยจึงเก็บที่เหลือไว้ในตู้ เพราะตอนนี้อากาศหนาวมาก จึงไม่ต้องกังวลว่ามันจะเน่าเสีย
ทันทีที่เฉินจินกังเปิดตู้ เขาก็เห็นเนื้อหัวหมู ไข่ม้วนและเศษเนื้อ เขามีความสุขมากจนแทบละสายตาไม่ได้เลย
เขาหยิบเนื้อหัวหมูแล้วยัดเข้าปาก แต่เพราะยัดเร็วเกินไป จึงทำให้สำลักออกมา
แต่เขาก็แค่ลุกขึ้นและมองหาของกินอื่นๆ ต่อไป เขาเปิดฝาหม้อก็เห็นซุปไข่ที่เหลือในตอนเช้า และไม่ลังเลที่จะหยิบช้อนมาตักใส่ปาก
เขากินและดื่มไปรอบๆ ห้องครัว ทุกครั้งที่เห็นสิ่งใด เขาก็จะหยิบมากินจนอิ่มหนำและไม่กลัวทำให้ห้องครัวเละเทะ เมื่อกินและดื่มคนเดียวจนพอใจ เขาก็เก็บของที่เหลือโดยไม่ได้พกไว้กับตัว แต่เอาไปยื่นผ่านกำแพงทีละอย่างสองอย่าง จากนั้นเขาก็ปีนกลับบ้านตัวเอง
เพราะทำเรื่องแบบนี้บ่อยมาก คราวนี้เฉินจินกังจึงทำงานได้โดยราบรื่นเช่นกัน
แม่เฒ่าเฉินและจางซุ่ยฮวารออยู่ที่มุมกำแพงพลางมองของต่างๆ ถูกยื่นมา ถ้าพวกหล่อนไม่ได้กังวลว่าจะมีคนได้ยินเสียง ป่านนี้พวกหล่อนคงจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาแล้ว
“ฉันไม่นึกเลยว่าครอบครัวของหล่อนร่ำรวยมากขนาดนี้ ดูเนื้อจานนี้สิ น่าอร่อยขนาดไหน”
“เธอรีบรับไปแล้วเอาไปเก็บเดี๋ยวนี้ ยิ่งนานจะยิ่งลำบากนะ” แม่เฒ่าเฉินมองจางซุ่ยฮวาแล้วสั่ง
จางซุ่ยฮวาไม่สนใจคำพูดเจ้ากี้เจ้าการของแม่เฒ่าเฉิน หล่อนหยิบของแล้ววิ่งไปที่ห้องครัว
ด้านสวี่ม่ายซุ่ยไม่รู้ว่ามีคนมาขโมยของกินในห้องครัว แต่ยังคงทำงานหนักเพื่อให้ทันเวลา
ในขณะนี้จักรเย็บผ้าของหลี่ต้านีก็หยุดโดยกะทันหัน หล่อนมองทั้งสองคนแล้วถามว่า “กี่โมงแล้วเนี่ย ถึงเวลาทำอาหารหรือยัง”
สวี่ม่ายซุ่ยก็วางผ้าพันคอในมือลง เธอยืดหลังขึ้นแล้วพูดว่า “น่าจะใกล้ๆ เวลานั้นแหละ พี่ต้องทำอาหารให้กรรมการการเมืองจ้าวทุกวันจริงเหรอ?”
หลี่ต้านีพูดว่า “จะต้องทำตอนเที่ยง ไม่งั้นจะสายเกินไป”
สวี่ม่ายซุ่ย “ก็จริง”
“เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา เจี้ยนจวินไปเป็นพ่อครัวแล้วได้หัวหมูกลับบ้านเยอะมาก เดี๋ยวฉันจะแบ่งให้พี่”
หลี่ต้านีได้ยินแล้วก็รีบปฏิเสธทันที “ไม่ต้อง ที่บ้านก็มีแล้ว”
สวี่ม่ายซุ่ยไม่ฟังหล่อนและหันไปถามจ้าวเหม่ยฟางบ้าง “เหม่ยฟาง ที่บ้านเธอมีจริงเหรอ?”
จ้าวเหม่ยฟางมองไปทางหลี่ต้านีแล้วส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้ม
สวี่ม่ายซุ่ยตำหนิด้วยความไม่พอใจ “พี่คิดเกรงใจฉันอีกแล้วนะ”
หลี่ต้านีหันไปมองจ้าวเหม่ยฟางแบบอับจนหนทาง “เจ้าลูกตัวแสบ”
จ้าวเหม่ยฟางจับแขนของหลี่ต้านีและพูดด้วยความออดอ้อน “ก็อาสะใภ้ไม่ใช่คนนอกนะคะ”
สวี่ม่ายซุ่ยพูดว่า “ดูพี่สิ ไม่เอาลูกเป็นแบบอย่างเลยนะ” เมื่อพูดจบแล้วก็เดินออกไป
หลี่ต้านีกลัวว่าสวี่ม่ายซุ่ยจะห่อของกินให้มากเกินไปจึงรีบเดินตามออกมาติดๆ “ไม่ต้องห่อให้มากนะ”
ทั้งสองก้าวตามกันไปที่ห้องครัว แต่ก่อนจะถึงประตูห้องครัว สวี่ม่ายซุ่ยก็สังเกตเห็นถึงความผิดปกติและเร่งฝีเท้าอีกสองก้าวก็ถึงประตูห้องครัว จากนั้นใบหน้าของเธอมืดครึ้มทันที
ตอนนี้ในบ้านมีแค่พวกเธอสามคน และหลินฟานจะไม่กลับมาจนกว่าได้กินข้าวที่บ้านหลี่ต้านีเสร็จ ส่วนหลินเซียวกำลังสอบอยู่ที่โรงเรียน
และที่สำคัญคือ เว้นแต่คนในครอบครัวของเธอเองจะป่วยทางจิต ก็ไม่มีใครมาทำให้ห้องครัวเละเทะแบบนี้เด็ดขาด
ข้าวของกระจัดกระจายทั่วพื้น และประตูตู้ก็เปิดออกทุกบาน ทั้งฝาหม้อและช้อนก็ถูกโยนไว้บนพื้น
เมื่อเห็นว่าสวี่ม่ายซุ่ยยืนนิ่ง หลี่ต้านีก็เดินเข้ามาด้วยสีหน้างุนงง และเมื่อเห็นสภาพห้องครัวแล้ว หล่อนก็อดกรีดร้องไม่ได้ “บ้าไปแล้ว! ฝีมือใครเนี่ย?”
สวี่ม่ายซุ่ยตอบด้วยความใจเย็น “หัวขโมยน่ะสิ”
ทันใดนั้นดวงตาของหลี่ต้านีก็เบิกกว้าง “นี่คือลานบ้านพักของครอบครัวทหารทั้งหมด ใครจะกล้ามาขโมยของที่นี่?”
สวี่ม่ายซุ่ยรู้สึกโกรธมาก แต่อยู่ๆ ก็ได้กลิ่นหอมโชยมา เธอจึงส่งสัญญาณให้หลี่ต้านีหยุดพูด จากนั้นก็สูดจมูกแรงๆ และเดินตามกลิ่นไปพร้อมใบหน้ามืดมน
แค่มองไปที่กำแพงฝั่งลานข้างห้องครัวก็จะพบว่ามีรอยเท้าอยู่สามรอย
หลี่ต้านีพูดด้วยท่าทางไม่เชื่อ “หัวขโมยมาจากข้างบ้านเหรอ?”
สวี่ม่ายซุ่ยพูดเสียงเย็นชา “ถ้าไม่ใช่บ้านพวกเขาแล้วจะมีใครได้อีก”
แม้จะเป็นเพื่อนบ้านกันมานาน แต่เธอไม่เคยได้กลิ่นเนื้อโชยมาจากบ้านข้างๆ เลย แต่กลิ่นนี้เกิดขึ้นหลังจากที่เนื้อของบ้านเธอหายไป
แม่เฒ่าเฉินคิดว่าก็เหมือนที่บ้านเกิด เวลาที่ของบ้านใครหาย ก็จะไม่รู้ว่าใครขโมยไป หล่อนจึงตะโกนบอกจางซุ่ยฮวา “ซุ่ยฮวาผัดให้หอมๆ หน่อย คนอื่นจะได้รู้ว่าบ้านเราก็สามารถซื้อเนื้อสัตว์ได้เหมือนกัน”
จางซุ่ยฮวาได้ยินแบบนี้ก็ตอบรับด้วยความดีใจ “ได้ค่ะ”
สวี่ม่ายซุ่ยได้กลิ่นที่หอมมากขึ้นเรื่อยๆ และพูดด้วยเสียงเย็นชา “รอฉันก่อนเถอะ” พูดจบแล้วเธอก็เดินกลับเข้าบ้าน
เธอไม่สนใจจะทำงานที่ทั้งสามทำค้างไว้อีก เธอหยิบเสื้อบุนวมฝ้ายครึ่งตัวที่วางบนเตียงมาสวม เมื่อมองเวลาแล้วจึงเดินมาที่ลานบ้านพลางพูดกับกับจ้าวเหม่ยฟางว่า “เหม่ยฟาง เธอไปที่หน่วยลาดตระเวน แล้วแจ้งพวกเขาว่ามีขโมยขึ้นบ้านหัวหน้าหลิน”
จ้าวเหม่ยฟางได้ยินแล้วก็เปิดประตูลานบ้านและวิ่งออกไปทันที
………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
กล้าขโมยอาหารบ้านเขาเหรอ จับให้ได้คาหนังคาเขาทั้งที่เคี้ยวอยู่ในปากเลยนะ
ชิวเฟิง
MANGA DISCUSSION