ตอนที่ 187 ทำงานเสริม
“นี่คือผ้าและไหมพรมชนิดต่าง ๆ ที่พี่ต้องการ ใช้ได้ไหม? น่าจะเพียงพอนะ” เสี่ยวเกามองสวี่ม่ายซุ่ยพลางเอ่ยด้วยความภูมิใจ
สวี่ม่ายซุ่ยมองไปที่ก้อนไหมพรมอัดแน่นและเศษผ้าที่อยู่ข้างใน เธอทำได้แค่ตอบรับพร้อมความทึ่ง “นายเอามาเยอะขนาดนี้ ฉันต้องทำนานแค่ไหนจะใช้หมดเนี่ย”
เมื่อเสี่ยวเกาได้ยินเช่นนี้แล้ว เขาก็พูดเสริม “พี่สาว นี่ถือว่ามากเกินไปเหรอ? แต่ผมต้องการรับซื้อสินค้าทั้งหมดที่คุณทำเสร็จด้วยนะ”
“คุณคงไม่รู้ว่าตัวอย่างสินค้าที่ทำไว้คราวก่อนนั้นขายดีมาก ๆ ในเมืองหลวง ใคร ๆ ก็มาถามหา แต่กำลังการผลิตของคุณมีน้อยเกินไปแล้ว”
“ถ้าได้สินค้าตามมาตรฐานเดิม จะต้องผลิตให้ได้หลายร้อยชิ้นนะ เอาละ มาใช้ประโยชน์จากฤดูหนาวนี้สร้างรายได้มหาศาลกันเถอะ”
สวี่ม่ายซุ่ยลังเลอยู่อึดใจหนึ่งแล้วตอบว่า “ให้ทำก็ได้อยู่หรอก แต่นายห้ามเร่งฉันนะ”
เมื่อเสี่ยวเกาได้ยินเช่นนี้ เขาก็ตอบด้วยสีหน้าบูดบึ้งทันที “พี่สาว ผมไม่ได้อยากจะเร่งคุณหรอกนะ แต่อีกไม่กี่วันก็จะถึงปีใหม่แล้ว ถ้าผมไม่ได้ของก่อนปีใหม่ ผมจะขายให้ใครล่ะ”
“คุณก็สงสารผมหน่อยเถอะ เพื่อที่จะได้ของพวกนี้มา ภรรยาของผมต้องเสี่ยงเข้าไปข้างในนั้นเลยนะ”
สวี่ม่ายซุ่ยหัวเราะเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ มองแวบแรกเสี่ยวเกาเหมือนชายแก่ขี้บ่นจริง ๆ และเธอไม่เชื่อว่าเขาจะกล้าพูดเรื่องนี้กับภรรยาด้วย เพราะเขาอาจจะเลือดตกยางออกได้
“ฉันจะพยายามเต็มที่แล้วกัน” สวี่ม่ายซุ่ยตอบแบบอ้อม ๆ
แต่เสี่ยวเกาไม่เห็นด้วย “พี่สาว… ไม่เอาพยายามเต็มที่ พี่ต้องทำได้สิ”
สวี่ม่ายซุ่ยมองค้อนใส่เขาแวบหนึ่ง จากนั้นเธอก็หยิบกระเป๋าข้างตัวขึ้นมาแล้วถามว่า “ทั้งหมดนี้เท่าไรล่ะ?”
ทั้งสองคนเป็นเพียงหุ้นส่วนทางธุรกิจ ไม่รู้ทราบรายละเอียดส่วนตัวของกันและกัน ดังนั้นเมื่อทำงานก็ต้องจ่ายเงินลงทุนก่อน เพื่อให้อีกฝ่ายมั่นใจว่าจะไม่โดนหลอกใช้ของเปล่า ๆ
“สองร้อย ไม่ใช้คูปอง”
สวี่ม่ายซุ่ยเหลือบมองถุงกระสอบที่อยู่ข้าง ๆ เมื่อรู้ว่าเสี่ยวเกาไม่ได้ตั้งใจจะหลอกเพิ่มราคา เธอจึงส่งเงินให้ทันที เพราะได้เตรียมพร้อมก่อนออกเดินทางแล้ว
เสี่ยวเการับเงินไปแล้วก็ให้คำกำชับตักเตือนอีกมากมาย และกลับไปด้วยความไม่วางใจ
สวี่ม่ายซุ่ยมองไปที่ถุงกระสอบข้าง ๆ เท้า จากนั้นจึงมองไปที่หลินฟานซึ่งยืนอยู่ข้างกายพลางกระซิบกับเขาว่า “เรื่องในวันนี้ลูกจะไม่บอกใครได้ไหม?”
หลินฟานพยักหน้าด้วยความฉงน
หลังจากที่สวี่ม่ายซุ่ยหิ้วถุงกระสอบกลับบ้านแล้ว เธอก็ไปที่บ้านของหลี่ต้านีทันที
หลี่ต้านีมองสวี่ม่ายซุ่ยเดินมาและถามแบบมีลับลมคมในว่า “ได้ของมาครบไหม?”
สวี่ม่ายซุ่ยตอบว่า “ได้สิ แต่ว่าทางนั้นต้องการสินค้าด่วน ๆ พวกเราต้องเริ่มทำตอนนี้เลย”
หลี่ต้านีตอบรับอย่างตรงไปตรงมา “งั้นเธอรอครู่เดียวนะ ฉันจะไปหยิบปลอกนิ้วก่อน”
เมื่อหลี่ต้านีกลับออกมา ก็ปรากฏว่ามีจ้าวเหม่ยฟางเดินตามมาด้วย
“เธอบอกว่าเป็นงานด่วนไม่ใช่เหรอ ฉันก็เลยเรียกเหม่ยฟางมาช่วย อย่ามองว่าเด็กคนนี้ดูผอมแห้งแรงน้อยเชียวนะ ความจริงแล้วทำงานไวมาก”
สวี่ม่ายซุ่ยมองจ้าวเหม่ยฟางด้วยแววตาลึกซึ้ง และเมื่อเห็นหล่อนยืนด้วยท่าทางประหม่า เธอก็พูดเสียงอ่อนโยนว่า “งั้นก็ไปกันเลย”
เมื่อสวี่ม่ายซุ่ยกลับถึงบ้านแล้ว เธอก็ปิดประตูและเริ่มจัดสรรงานทันที เนื่องจากหลี่ต้านีเก่งงานเย็บปักถักร้อย ทำให้งานถักถุงมือถูกส่งให้หล่อน
ส่วนจ้าวเหม่ยฟางยังเด็กและมีทักษะที่ความว่องไว จึงได้เรียนรู้การถักผ้าพันคอจากสวี่ม่ายซุ่ย
และก็เป็นตามที่หลี่ต้านีว่าไว้ คือมือไม้ของจ้าวเหม่ยฟางนั้นคล่องแคล่วมากจริง ๆ
ในขณะที่ทั้งสามคนกำลังยุ่งกับงานด่วน หลินเจี้ยนเยี่ยก็กลับมาพอดี
เขาตกใจมากที่เห็นหลี่ต้านีกับจ้าวเหม่ยฟางอยู่ที่บ้านด้วยกันทั้งคู่ “คุณสุภาพสตรีทั้งหลาย พวกคุณสามคนจะเปิดโรงงานงั้นเหรอ?”
หลินเจี้ยนเยี่ยมองไปที่ถุงมือ ไหมพรม ฝ้าย และผ้าที่กองอยู่บนเตียงพลางถามด้วยความแปลกใจ
สวี่ม่ายซุ่ยไม่มีเวลาตอบสนองต่อการล้อเล่นของเขา เธอแค่เหลือบมองเขาแวบเดียวแล้วย้อนถามว่า “คุณกลับมาทำไมตอนนี้ล่ะ?”
หลินเจี้ยนเยี่ยตอบว่า “ก็ผมเลิกงานแล้ว ไม่กลับมาตอนนี้จะให้กลับตอนไหน”
“เลิกงานแล้วเหรอ?” หลี่ต้านีถามด้วยความตกใจ
หลินเจี้ยนเยี่ยพูดว่า “ครับ ใกล้จะหกโมงแล้ว”
เมื่อหลี่ต้านีได้ยินคำตอบนี้ หล่อนก็รีบวางงานในมือลงแล้วบ่นว่า “แย่แล้ว แย่แล้ว ฉันลืมทำอาหารน่ะ เหล่าจ้าวกลับมาพร้อมนายไหม?”
หลินเจี้ยนเยี่ย “ใช่ ตอนนี้คงใกล้จะถึงบ้านแล้ว”
หลี่ต้านีได้ยินแล้วยิ่งตื่นตระหนก “ม่ายซุ่ย เธอรีบหาตะกร้ามาให้ฉันที เดี๋ยวฉันจะเก็บของแล้วเอากลับไปทำที่บ้านต่อ”
สวี่ม่ายซุ่ยลุกขึ้นและไปหยิบกระเป๋ามาให้หลี่ต้านี ในขณะที่ช่วยเก็บของใส่กระเป๋า เธอก็พูดว่า “เลิกงานแล้วก็เลิกงานสิ พี่จะกังวลทำไม?”
หลี่ต้านีตอบด้วยความหงุดหงิด “ไอ้หยา เธอไม่รู้หรอกว่าเหล่าจ้าวของฉันขี้บ่นจะตายไป ฉันไม่อยากฟังคำพูดจู้จี้จุกจิกของเขาน่ะ”
หลินเจี้ยนเยี่ยได้ยินแล้วก็พูดเสริมด้วยความเห็นใจ “เหล่าจ้าวของคุณพูดมากจริง ๆ นั่นแหละ”
ราวกับว่าหลี่ต้านีได้พบพันธมิตรทันที “ใช่ไหมล่ะ ทำไมผู้ชายตัวใหญ่ถึงปากมากเหมือนผู้หญิง คิดว่าชีวิตนี้คงจะหยุดจู้จี้จุกจิกไม่ได้แล้ว เอาละ ฉันไม่คุยกับพวกเธอแล้วนะ ฉันต้องรีบไปแล้ว”
พูดจบแล้วหล่อนก็รีบพาจ้าวเหม่ยฟางออกไปทันที
หลังจากที่คนอื่นกลับไปแล้ว สวี่ม่ายซุ่ยก็หันไปมองหลินเจี้ยนเยี่ยแล้วถามว่า “พี่ใหญ่จ้าวพูดมากขนาดนั้นจริงเหรอ?”
หลินเจี้ยนเยี่ย “คนที่จะเป็นกรรมการการเมืองได้ต้องพูดเก่งอยู่แล้ว”
สวี่ม่ายซุ่ยขมวดคิ้ว “ที่กลับช้าเกินไป ก็เพราะมีเหตุผลไม่ใช่เหรอ”
หลินเจี้ยนเยี่ยพูดว่า “ไม่เพียงแต่จะกลับช้า คุณไม่ได้ยินพี่สะใภ้พูดเหรอว่าหล่อนยังไม่ได้ทำอาหารน่ะ”
สวี่ม่ายซุ่ยมุ่ยปากพูดว่า “พี่สะใภ้ยังไม่ได้ทำ เขาจะไม่ทำงั้นเหรอ”
หลินเจี้ยนเยี่ยทอดถอนใจพลางเอ่ย “คุณคิดว่าทุกคนคุยง่ายเหมือนผมเหรอ แม้ว่าภรรยาจะไม่ทำอาหาร ก็ไม่กล้าพูดอะไรน่ะ”
สวี่ม่ายซุ่ยเลิกคิ้วขึ้นมองเขา “ทำไม คุณอยากจะพูดอะไร?”
หลินเจี้ยนเยี่ยรีบพูดว่า “ไม่กล้า ไม่กล้า”
สวี่ม่ายซุ่ยแค่นเสียงเย็นชาใส่เขา “ฉันคิดว่าพวกเขาแค่อยากจะทำให้คุณไปอยู่ลัทธิชายเป็นใหญ่เหมือนกันมากกว่า ฉันไม่เชื่อหรอกว่า หากผู้หญิงไม่ทำอาหารแล้วพวกเขาจะยอมหิวตายน่ะ”
เมื่อเห็นสีหน้าโกรธเคืองของเธอแล้ว หลินเจี้ยนเยี่ยก็กลัวว่าจะโดนไฟแผดเผาเสียเอง เขาจึงหันไปมองสิ่งของที่กองบนเตียงแล้วเปลี่ยนเรื่องคุย “งานเสริมที่คุณเสนอไปไม่ได้รับอนุมัติใช่ไหม? แล้วกำลังทำอะไรอยู่?”
สวี่ม่ายซุ่ยตอบว่า “แผนงานของฉันไม่ผ่าน ตอนนี้เลยเปลี่ยนแผน ซึ่งฉันกับพี่สะใภ้ทำด้วยกันสองคน”
หลินเจี้ยนเยี่ยขมวดคิ้วพลางเอ่ย “คุณไม่ยอมถอดใจจริง ๆ สินะ แล้วมีแค่คุณสองคนจะใช้เวลาทำนานแค่ไหน?”
สวี่ม่ายซุ่ยตอบขณะที่กำลังยุ่งอยู่กับงานในมืออีกครั้ง “ต้องทำงานล่วงเวลาเยอะ ๆ เลย เพราะต้องทำงานให้เสร็จก่อนปีใหม่น่ะ”
หลินเจี้ยนเยี่ยพูดไม่ออก “…”
“คุณต้องทำขนาดนี้เลยเหรอ? ไม่ใช่ว่าผมเลี้ยงคุณไม่ไหวเสียหน่อย”
สวี่ม่ายซุ่ยบอกว่า “ไม่ใช่หรอก แต่ฉันสัญญากับลูกค้าของฉันไว้แล้ว จะเสียคำพูดและทำให้คนอื่นเสียหายไม่ได้”
“หัวหน้าหลิน ตอนนี้คุณยุ่งอยู่หรือเปล่า?”
หลินเจี้ยนเยี่ยระแวงขึ้นมาทันที “ทำไมเหรอ?”
สวี่ม่ายซุ่ยยกผ้าพันคอที่ถักได้ครึ่งหนึ่งในมือแล้วตอบว่า “ตอนนี้ฉันวางมือไม่ได้เลย คุณช่วยทำอาหารหน่อยได้ไหม?”
หลินเจี้ยนเยี่ยตอบรับด้วยความกระตือรือร้น “ได้สิ คุณอยากกินอะไรล่ะ?”
สวี่ม่ายซุ่ย “ตอนเที่ยงได้กินน้อยไปหน่อย งั้นคุณทำบะหมี่น้ำใสได้ไหม?”
“เมื่อตอนเที่ยงกินอะไรเหรอ?”
สวี่ม่ายซุ่ยคิดอยู่พักหนึ่งแล้วตอบว่า “หมูตุ๋นน้ำแดง ซี่โครงหมูเปรี้ยวหวาน ปลาเหลือง ผัด…” ‘สามเซียน’
ทว่าก่อนที่เธอจะพูดจบ หลินเจี้ยนเยี่ยก็พูดแทรก “นี่! พวกคุณกินดีขนาดนี้ ไม่กลัวว่าลูกชายคนโตของคุณรู้แล้วจะสร้างปัญหาให้คุณเหรอ”
สวี่ม่ายซุ่ยพูดว่า “ก็มีคนเลี้ยง จะให้ฉันปฏิเสธยังไงล่ะ”
หลินเจี้ยนเยี่ยรู้สึกกังวลทันที “ใครปฏิบัติต่อแขกด้วยความใจกว้างขนาดนี้ล่ะ”
สวี่ม่ายซุ่ยจับความกังวลใจที่แฝงในน้ำเสียงของหลินเจี้ยนเยี่ยได้ เธอจึงตอบแบบสบาย ๆ ว่า “จะเป็นใครได้อีกนอกจากไต้ฉิงน่ะ”
“คุณบอกให้ฉันหาเวลาไปคุยกับไต้ฉิงเองไม่ใช่เหรอ วันนี้ฉันว่าง ก็เลยแวะไปหาหล่อนที่นั่น”
หลินเจี้ยนเยี่ยหยุดทำอาหารทันทีที่ได้ยินและถามด้วยความกระตือรือร้น “แล้วเป็นไงบ้าง?”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เอาใจช่วยต้านีนะคะ ไปให้ทันก่อนสามีกลับมาถึงนะ
ชิวเฟิง
MANGA DISCUSSION