ตอนที่ 186 วางแผนลับ
“เขาได้นอนบนตั่งในห้องหลัก ตอนกลางคืนเอาเครื่องนอนที่ม้วนเก็บมาปูเป็นเตียง ส่วนตอนกลางวันม้วนเก็บเครื่องนอนกลายเป็นตั่ง”
“บางครั้งถ้าเขาเผลอตื่นสาย ก็จะโดนแม่สามีของฉันดุด่า”
ไต้ฉิงได้ยินเรื่องนี้แล้วก็เบิกตากว้างทันที “จะมีคนแบบนี้อยู่บนโลกได้ไง?”
สวี่ม่ายซุ่ยตอบว่า “ก็ไม่ใช่พ่อแม่ทุกคนจะรักลูกไงล่ะ”
“เธอลองคิดสิว่าการเกิดมาในครอบครัวแบบนั้น เขาจะมีความกล้าหาญได้แค่ไหน ฉันคิดว่าการคอยปกป้องเธอเงียบๆ คือความกล้าหาญที่สุดของเขาแล้ว”
คราวนี้ไต้ฉิงได้ยินแล้วก็เป็นฝ่ายเขินอายขึ้นมาแทน “ฉันไม่รู้เลยว่าเขาต้องทนทุกข์กับสถานการณ์แบบนี้”
สวี่ม่ายซุ่ยพูดว่า “เธอก็ไม่รู้ก็ไม่ผิด เพราะเขาไม่ได้บอกเธอเอง แต่รู้แล้วก็อย่ายอมให้เขามากเกินไป เมื่อเราต้องอารมณ์เสียก็ควรอารมณ์เสีย เพราะสำหรับสาวน้อยแล้ว การเจ้าแง่แสนงอนนั้นไม่ผิดเลย”
ไต้ฉิงพูดว่า “ไม่ใช่ว่าฉันบอบบางขนาดนั้นหรอก ฉันแค่โกรธที่เขาไม่พูดกับฉันตรงๆ น่ะ”
สวี่ม่ายซุ่ยรีบพูดเสริม “นิสัยเขาเหมือนพี่ชายสามของเขานั่นแหละ พี่สามของเขาไม่ได้พูดมากกับฉันเหมือนกัน”
“แต่ฉันบอกเธอได้เลยว่าเจี้ยนจวินห่วงใยเธอจริงๆ ทุกครั้งที่เขาถูกจ้างไปทำอาหาร ตราบใดที่ในบรรดาของขวัญตอบแทนมีของกินที่เธอชอบ เขาจะส่งให้เธอทันทีโดยไม่หยุดพักเลย”
“เมื่อไม่นานมานี้เขาได้ก้อนไหมพรมมาให้ฉัน โดยบอกว่าอากาศหนาวและเขากลัวเธอจะหนาวเกินไป เขาจึงขอให้ฉันช่วยถักผ้าพันคอให้เธอหน่อย”
แม้ไต้ฉิงได้ยินแล้วจะรู้สึกสะเทือนใจมาก แต่หล่อนก็ยังคงพูดว่า “ในเมื่อเขาไม่อยากอยู่กับฉัน ฉันก็ไม่สามารถรับของจากเขาได้อีก”
“เฮ้ เขาแค่รู้สึกด้อยกว่าเธอมากเกินไป และรู้สึกเหมือนยังไม่ดีพอสำหรับเธอนะ”
ไต้ฉิงพูดว่า “ฉันขอเป็นคนตัดสินว่าคู่ควรหรือเปล่า ถ้าเขาเป็นแบบนี้อยู่เสมอแล้วจะเกิดอะไรขึ้น พี่สะใภ้ พี่มีประสบการณ์มากกว่า งั้นช่วยคิดวิธีแก้ปัญหาให้ฉันหน่อยเถอะ”
สวี่ม่ายซุ่ยได้ยินแล้วก็เกิดความลังเลครู่หนึ่ง และเกิดความคิดขึ้นมาทันใดว่า “เธอคิดว่าวิธีนี้จะได้ผลไหม คืออีกสองวันข้างหน้าฉันจะถักผ้าพันคอของเธอเสร็จ แล้วเขาจะนำมามอบให้เธอ ตอนนั้นเธอก็ทำเหมือนชอบเขามาก แต่พูดด้วยสีหน้าสิ้นหวัง บอกว่าเธอสองคนไม่ได้เกิดมาเพื่อคู่กัน ดังนั้นเธอจึงไม่อาจยอมรับของขวัญและทำให้เขากังวลได้”
ไต้ฉิงลังเลอยู่พักหนึ่งแล้วตอบว่า “แล้วถ้าฉันทำให้เขาตกใจกลัวขึ้นมาล่ะ?”
สวี่ม่ายซุ่ยยังคงตอบด้วยความมั่นใจ “ไม่หรอก”
“เจี้ยนจวินก็แค่คิดว่าเขาไม่คู่ควรกับเธอ ดังนั้นเขาต้องทำงานให้หนักขึ้นอยู่แล้ว เขาต้องไม่เต็มใจที่จะยอมแพ้ง่ายๆ เด็ดขาด”
ไต้ฉิงพูดว่า “ถ้างั้นก็ได้ ฉันจะพยายามเต็มที่”
เมื่อมองอาหารบนจานที่ไม่ได้คีบกินเลย ไต้ฉิงก็รีบพูดว่า “พี่สะใภ้ ฉันก็มัวแต่บ่นให้ฟังมากเกินไปจนพี่แทบไม่ได้แตะอาหารเลย พี่รีบลองชิมหมูสามชั้นน้ำแดงนี่สิ พ่อครัวของเราทำออกมาได้อร่อยมากเลย”
สวี่ม่ายซุ่ยมองไปที่หมูสามชั้นน้ำแดงที่ดูน่ารับประทานแล้วอดคีบกินสองสามชิ้นไม่ได้
หลังจากกินข้าวเสร็จและได้คำตอบที่ต้องการ สวี่ม่ายซุ่ยก็พาหลินฟานออกไป
ทันทีที่พวกเธอเดินออกจากประตู หลินฟานก็ยกมือลูบพุงป่องๆ พลางเอ่ย “แม่ครับ ผมอิ่มมากเลย”
สวี่ม่ายซุ่ยมองไปที่ท้องป่องนูนของหลินฟานและพูดแบบช่วยไม่ได้ “ทั้งที่กินอิ่มจากบ้านแล้ว ทำไมลูกยังกินเยอะอยู่ล่ะ?”
หลินฟานตอบว่า “ก็มันอร่อยมากนี่ครับ”
สวี่ม่ายซุ่ย “ต่อให้มันอร่อยมากแค่ไหนก็กินมากไม่ได้ โดยเฉพาะตอนไปเป็นแขกบ้านคนอื่น ไม่ว่าอาหารอร่อยแค่ไหน ลูกจะกินหมดเกลี้ยงไม่ได้ เพราะนั่นคือกิริยาที่หยาบคายนะ”
หลินฟานได้ฟังแล้วก็พยักหน้าเชื่อฟัง “ผมเข้าใจแล้วครับ ครั้งต่อไปจะไม่ทำอีกแล้ว”
สวี่ม่ายซุ่ยมองลูกชายที่ประพฤติตัวดีมาก จากนั้นก็อดยกมือลูบหัวเขาไม่ได้
“ตอนนี้กินอิ่มแล้ว งั้นพวกเราก็เดินต่อ ถือว่าเป็นการเดินย่อยอาหารดีไหม?”
แน่นอนว่าไม่ใช่การเดินกลับบ้าน แต่เดินไปยังสถานที่นัดหมายกับเสี่ยวเกาไว้
หลินฟาน “ครับ”
ขณะที่สวี่ม่ายซุ่ยเดินพาหลินฟานไปข้างหน้า ทันใดนั้นเธอก็เห็นคนถือขวดเปล่าสองสามขวดเข้าไปในลานขนาดใหญ่ และไม่นานเขาก็ออกมามือเปล่า
ดวงตาของสวี่ม่ายซุ่ยสว่างวาบขึ้นเมื่อเห็นเขา แล้วรีบดึงหลินฟานไปที่นั่นทันที
ในยุคนี้ร้านรับซื้อของเก่าเปรียบเสมือนขุมสมบัติ เพราะมีสิ่งดีๆ มากมายซุกซ่อนอยู่ในกองของเก่าเหล่านั้น
และนับตั้งแต่เธอซื้อจี้หยกเหล่านั้นมา เธอก็ยังไม่ได้เคลื่อนไหวอะไรอีกเลย
หลินฟานรีบดึงสวี่ม่ายซุ่ยและถามด้วยความสับสน “แม่ เราจะไปไหนกันเหรอครับ?”
สวี่ม่ายซุ่ยมองเขาแล้วตอบว่า “แม่จะพาลูกไปหาของดีไงล่ะ”
เนื่องจากปริมาณของเก่ามีค่อนข้างมาก ลานที่ใช้จึงมีขนาดใหญ่ไปด้วยเช่นกัน เมื่อสวี่ม่ายซุ่ยเดินเข้ามาก็เห็นชายชราตาเดียวมองสำรวจเศษซากของเก่าที่อยู่ข้างหน้าและทำการคัดแยกของเก่า
เมื่อได้ยินเสียงคนเดินใกล้เข้ามา เขาก็หันกลับมาถามด้วยเสียงแหบแห้ง “จะขายอะไรล่ะ?”
สวี่ม่ายซุ่ยมองเขาพลางตอบว่า “ไม่ได้มาขายอะไรเลย แค่แวะมาดูหน่อยน่ะ”
เมื่อได้ยินคำตอบนั้น ชายชราก็หันกลับไปตามเดิมและไม่สนใจเธอ
สวี่ม่ายซุ่ยพาหลินฟานเดินไปข้างหน้าอีกสองสามก้าว เธอเห็นกองของเก่ากองใหญ่อยู่ในลานกว้าง และในกองของเก่าก็มีของทุกชนิดในนั้น
สวี่ม่ายซุ่ยพูดว่า “ผู้อาวุโส คุณขายของพวกนี้ด้วยเหรอ?”
หลังจากได้ยินคำถามแล้ว ชายชราตาเดียวก็หันกลับมามองสวี่ม่ายซุ่ย และหลังจากลังเลก็ตอบว่า “ขายสิ!”
“แต่เธอต้องหาสิ่งที่อยากจะซื้อเองนะ ของชนิดใดก็ราคาชิ้นละห้าหยวนเท่ากันหมด”
เมื่อสวี่ม่ายซุ่ยได้ยินราคาแล้วก็สูดหายใจเข้าลึกพลางเอ่ย “คุณตั้งราคาได้โหดร้ายมาก”
ชายชราตาเดียวยังตอบด้วยความสงบ “ของที่คุณต้องการจะมีมูลค่ามากกว่าห้าหยวนแน่นอน”
สวี่ม่ายซุ่ยคิดอยู่พักหนึ่งแล้วมองไปที่ภูเขาของเก่าที่อยู่ตรงเบื้องหน้า จากนั้นก็พยักหน้า “ตกลง”
ชายชราได้ยินแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เขาแค่สนใจแต่งานตัวเองและคัดแยกของเก่าที่อยู่ข้างหน้าต่อไป
สวี่ม่ายซุ่ยเหลือบมองและเห็นว่าสิ่งที่ชายชรารับมือมาส่วนใหญ่คือขวดและหนังสือพิมพ์ จึงรู้ว่านี่คือสิ่งที่เขาทำเพื่อหาเลี้ยงชีพ
สวี่ม่ายซุ่ยมองไปรอบๆ เธอเลือกมาอันหนึ่งแต่เห็นว่าไร้ราคา จึงทิ้งมันไปและเริ่มมองหาใหม่
หลินฟานมองสำรวจและไปหากิ่งไม้เล็กๆ เพื่อช่วยเธอค้นหา
หลังจากสำรวจไปได้สักพัก สวี่ม่ายซุ่ยก็ตระหนักว่าภูเขาลูกใหญ่นี้เกิดขึ้นได้อย่างไร น่าจะเป็นตอนที่บ้านต่างๆ ถูกรื้อค้นและไม่มีที่สำหรับวางของทุกอย่าง ทำให้พวกมันมากองกันอยู่ที่นี่
เพราะของส่วนใหญ่ในลานนี้คือหนังสือ ของโบราณและเฟอร์นิเจอร์ แต่ไม่มีของที่ดูสวยงามมากนัก
ในยุคนั้นมีนักปราชญ์และคนฉลาดมากมาย ดังนั้นคนที่สร้างของพวกนี้ได้ย่อมไม่ใช่คนโง่
ของสะสมที่มีค่ามากมายถูกยึดไปหมดระหว่างการบุกค้นบ้าน สำหรับของที่มาโผล่ตรงนี้ ถ้าไม่ใช่ของไร้ค่า ก็คงเพราะมันหลุดหูหลุดตาจากความเร่งรีบนั่นเอง
สวี่ม่ายซุ่ยกับหลินฟานค้นหานานกว่าครึ่งชั่วโมง ก่อนจะพบน้ำเต้าทองคำอันวิจิตรชิ้นหนึ่ง
เพียงแค่มองรูปลักษณ์ของมัน สวี่ม่ายซุ่ยก็รู้ว่าสิ่งนี้ไม่ใช่ของถูกๆ เธอจึงรีบใส่มันลงในกระเป๋าทันที
จากนั้นเธอก็ก้มหน้าลงแล้วเริ่มค้นหาอีกครั้ง ให้เปรียบเทียบว่าอย่างไรดีล่ะ ตอนนี้ความรู้สึกก็เหมือนการเล่นสลากกินแบ่ง เมื่อมีสลากถูกรางวัลเมื่อใด ก็อยากจะหาสลากใบใหม่ไปเรื่อยๆ เพราะคิดเสมอว่าสลากใบต่อไปจะได้รางวัลใหญ่กว่านี้
แต่น่าเสียดายที่หลังจากค้นหาอีกนานกว่าครึ่งชั่วโมงก็ไม่พบของมีค่าเลย และเมื่อเห็นว่าใกล้จะสายแล้ว สวี่ม่ายซุ่ยจึงจ่ายเงินและจากไปพร้อมหลินฟานด้วยความไม่เต็มใจ
เธอเดินออกมาอย่างอารมณ์เสีย แต่ความหดหู่ก็มีเพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น เพราะทันใดนั้นเธอก็จำนัดหมายกับเสี่ยวเกาได้ เมื่อตะโกนว่าแย่แล้ว ก็รีบดึงหลินฟานให้วิ่งไปยังสถานที่นัดหมาย
เสี่ยวเกามาถึงที่นัดหมายและรอนานมาก เมื่อเขาเห็นสวี่ม่ายซุ่ยเดินเข้ามา เขาก็อดจะบ่นไม่ได้ “พี่สาว คุณมัวทำอะไรอยู่ ผมคิดว่าคุณจะไม่มาแล้วนะ”
สวี่ม่ายซุ่ยหอบหายใจและพยายามตอบว่า “ขอโทษด้วย บังเอิญว่ามีเรื่องทำให้ฉันมาช้า นายเอาของมาครบไหม?”
เสี่ยวเกาพยักเพยิดคางไปทางมุมหนึ่ง “นั่นไง อยู่ตรงนั้นหมดแล้ว”
สวี่ม่ายซุ่ยได้ยินแล้วก็หันหลังและเดินไปที่นั่น เมื่อเธอเปิดถุงออกมาก็พบว่ามีไหมพรมทุกชนิดอัดแน่นอยู่ในนั้น
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
สงสารเจี้ยนจวินจัง ความอมพะนำมีอะไรไม่ค่อยพูดนี่เกือบจะทำให้เสียคนรักแล้วนะ
ชิวเฟิง
MANGA DISCUSSION