ตอนที่ 182 ขุดหลุมพรางขนาดใหญ่
เมื่อได้ยินแบบนี้แล้วซูเจวียนก็หมดความอดทน “ใครบอกว่าพวกเราอยู่ด้วยกันล่ะ”
เมื่อคำพูดเหล่านี้หลุดออกมา ใบหน้าที่ยิ้มแย้มของหลิวเชิ่งลี่ก็เกือบจะสูญเสียการควบคุม
สวี่ม่ายซุ่ยพูดว่า “พวกเราก็คนกันเองทั้งนั้น เธออย่าโกหกฉันเลย ฉันจะยังไม่รู้จักเธออีกเหรอ”
“หากเธอไม่ใส่ใจสหายหลิว แล้วเธอจะออกตัวมาเยี่ยมแม่ของเขาทำไมล่ะ”
“ฉันแค่เห็นเขา…” ‘น่าสงสาร’ ทว่าก่อนที่หล่อนจะพูดจบ ก็สังเกตเห็นสายตาเย้ยหยันของสวี่ม่ายซุ่ย หล่อนจึงเปลี่ยนคำพูดทันที “ฉันแค่เห็นเขาทำงานหนักเกินไป ฉันก็เลยจะแวะไปดูว่าช่วยเหลืออะไรได้บ้าง”
สวี่ม่ายซุ่ยหันไปพูดกับหลิวเชิ่งลี่ต่อทันที “เห็นไหมว่าซูเจวียนสนใจนายมาก แต่สาวน้อยมักเขินอายเกินกว่าจะพูดออกมาตามตรง นายต้องพยายามให้มากเข้าไว้นะ”
หลิวเชิ่งลี่เห็นแววตาของสวี่ม่ายซุ่ยแล้วก็มีกำลังใจขึ้นมาทันที เขาหันไปมองซูเจวียนด้วยสายตามีความหวัง ฝ่ายซูเจวียนที่สังเกตเห็นนัยน์ตาลุกเป็นไฟของหลิวเชิ่งลี่ ทันใดนั้นดวงตาของหล่อนก็ฉายร่องรอยของความรำคาญขึ้นมา แต่ด้วยกลัวว่าจะถูกเปิดเผย จึงรีบปกปิดแล้วเม้มปากก้มหน้าโดยไม่พูด
สวี่ม่ายซุ่ยแอบขยิบตาให้หลิวเชิ่งลี่พลางเอ่ย “เห็นหรือยัง? นายแค่ไม่เข้าใจหัวใจของสาวน้อยเท่านั้นเอง”
“ถ้าทั้งสองคนรักกันจริงแต่เขินอายเกินกว่าจะพูดออกมา งั้นก็มาหาฉันสิ พวกเรามีความสัมพันธ์อันดีต่อกันขนาดนี้ ฉันจะเป็นแม่สื่อให้เธอสองคนเอง เวลาออกไปข้างนอก ก็แค่บอกว่าฉันแนะนำมา และไม่ต้องให้ปลาหลีฮื้อตัวใหญ่สองตัวกับฉันด้วย”
หลิวเชิ่งลี่ได้ยินแล้วรู้สึกตื่นเต้นมาก “สหายสวี่พูดจริงเหรอ?”
สวี่ม่ายซุ่ยพูดว่า “ก็ต้องจริงอยู่แล้วสิ ฉันเคยโกหกนายเหรอ”
“เอาล่ะ ฉันมีเรื่องอื่นรออยู่ที่บ้าน ไม่เสียเวลาคุยด้วยแล้วนะ ไปล่ะ” เมื่อพูดจบแล้วเธอก็ดึงหลินฟานเดินจากไปพร้อมรอยยิ้ม
พอได้ขุดหลุมพรางขนาดใหญ่ใส่ซูเจวียนแล้ว จึงทำให้อารมณ์ที่คุกรุ่นในตอนแรกหายไปทันตา ผิดกับซูเจวียนคนน่าสงสารที่เดิมทีก็ไม่อดทนอยู่แล้ว มาตอนนี้ยิ่งโดนหลิวเชิ่งลี่ทำให้รำคาญเข้าไปใหญ่
“เสี่ยวเจวียน เธออยากสานสัมพันธ์กับฉันจริงๆ เหรอ?” ทันทีที่สวี่ม่ายซุ่ยจากไปแล้ว หลิวเชิ่งลี่ก็ถามออกมาอย่างร้อนใจ
แม้ว่าในใจของซูเจวียนจะรู้สึกรังเกียจมาก แต่หล่อนก็ยังตอบเสียงอ่อนหวาน “นายพูดเรื่องอะไรเนี่ย พวกเราไม่ใช่เพื่อนที่ดีที่สุดต่อกันอยู่แล้วเหรอ? นายไม่อยากเป็นเพื่อนกับฉันเหรอ?”
เมื่อเห็นว่าซูเจวียนเหมือนจะโกรธ หลิวเชิ่งลี่ก็รีบยิ้มเอาใจและพูดว่า “แน่นอนว่าฉันอยากเป็นเพื่อนกับเธอ แต่เธอก็รู้ว่าฉันกำลังคิดอะไรอยู่นะ ฉันอยากเป็นมากกว่าเพื่อน…”
ก่อนที่เขาจะพูดจบ ซูเจวียนก็คว้าแขนเสื้อของเขาแล้วชี้ไปที่คลื่นตรงเบื้องหน้าพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เชิ่งลี่ รีบดูนั่นสิ”
หลิวเชิ่งลี่มองไปที่มือของซูเจวียนซึ่งกำลังดึงแขนเสื้อของเขา ทันใดนั้นความเสน่หาในใจเขาก็เอาชนะทุกถ้อยคำ และทำได้เพียงปล่อยให้ซูเจวียนลากไป
เมื่อหลินเจี้ยนเยี่ยกลับมาในตอนเย็น สวี่ม่ายซุ่ยก็เล่าเรื่องน่าหงุดหงิดที่กระท่อมอาวุโสจางให้เขาฟัง “คุณคิดว่าชายชราคนนี้ถูกข่มเหงจนกลายเป็นโรคหวาดระแวงไหม ฉันดูไม่เหมือนคนเลวซะหน่อย แต่เขาก็ยังไม่เชื่อฉัน”
หลินเจี้ยนเยี่ยมองไปที่ท่าทางหงุดหงิดของสวี่ม่ายซุ่ย เขาจึงกอดเธอและยิ้มด้วยความเอ็นดู “หนทางของนายพลจางไม่ใช่เรื่องง่าย เขาต้องระวังมากกว่าคนอื่นเป็นธรรมดา”
สวี่ม่ายซุ่ยพูดว่า “ฉันไม่สนใจหรอก และฉันก็จะไม่สนใจเขาด้วย”
“ได้ แค่ปล่อยเขาไป”
แม้ว่าหลินเจี้ยนเยี่ยจะพูดเช่นนั้น แต่เขาก็ยังลุกจากเตียงตอนกลางดึก เมื่อสวี่ม่ายซุ่ยสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวข้างกาย เธอจึงลืมตาและเห็นว่าเขากำลังแต่งตัวเงียบๆ
“วันนี้คุณไม่เข้าเวร ทำไมต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยล่ะ?”
หลินเจี้ยนเยี่ยยกมือลูบศีรษะของสวี่ม่ายซุ่ยด้วยความอ่อนโยน “ผมจะออกไปทำธุระข้างนอก”
ทันทีที่เขาเดินออกไปแล้ว สวี่ม่ายซุ่ยก็พึมพำด้วยอารมณ์ประชด “ไม่ต้องเสียเวลาคิดฉันก็รู้ว่าคุณจะทำอะไรแล้วล่ะ”
พูดจบแล้วเธอก็ยกเท้าขึ้นเขี่ยผ้าห่มมาคลุมตัวให้แน่นหนาแล้วนอนหลับต่อไป
หลินเจี้ยนเยี่ยเดินตามถนนสายเล็กไปจนถึงคอกวัว เขามองประตูที่ปิดอยู่และปีนกำแพงเข้าไป ซึ่งนอกเหนือจากวันแรกที่หลินเจี้ยนจวินอยู่เวรดึก วันที่เหลือพวกเขาแค่ล็อกแม่กุญแจไว้ด้านนอกโดยไม่ปล่อยให้ใครเข้าเวร ดังนั้นหลินเจี้ยนเยี่ยจึงปีนกำแพงเข้าไปแบบราบรื่น
เขาจึงพบกระท่อมที่อาวุโสจางอาศัยอยู่ได้โดยแม่นยำตามคำอธิบายของสวี่ม่ายซุ่ย จากนั้นก็ยกมือเคาะประตูเบาๆ
ผู้สูงอายุมักจะนอนหลับไม่ค่อยสนิท ไม่ต้องพูดถึงคนที่ร่างกายมีปัญหาแบบอาวุโสจางเลย ทำให้ทันทีที่มีเสียงเคาะประตู ชายชราก็ลุกขึ้นนั่งแล้วลุกเดินไปที่ประตูพลางถามเบาๆ ว่า “ใคร?”
หลินเจี้ยนเยี่ยตอบด้วยเสียงแผ่วเบา “ผมเอง” แต่ไม่ได้บอกว่าตัวเองเป็นใคร
อาวุโสจางได้ยินแบบนี้ก็เปิดประตูออกทันที เขามองหลินเจี้ยเยี่ยด้วยความตกตะลึง คล้ายว่าเขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเป็นหลินเจี้ยนเยี่ย
หลินเจี้ยนเยี่ยมองไปที่ผู้นำซึ่งมีสภาพแก่หง่อมลงมากด้วยความรู้สึกเศร้าใจ เขายังคงจดจำผู้นำที่มีจิตวิญญาณสูงส่งยามร่วมต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันได้ แต่ไม่ได้คาดหวังว่าการไม่เจอกันนานหลายปี อีกฝ่ายจะแก่ขึ้นมากขนาดนี้
นายพลจางก็ตกตะลึงเพียงไม่กี่วินาที จากนั้นเขาก็ตอบสนองโดยเร็วและเบี่ยงตัวไปด้านข้างเพื่อให้หลินเจี้ยนเยี่ยเข้ามา
หลินเจี้ยนเยี่ยมองสภาพที่อยู่อาศัยของนายพลจางแล้ว แววเย็นเยือกก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของเขาอีกครั้ง
นายพลจางสังเกตเห็นความเย็นยะเยือกนั้น จึงยิ้มและพูดด้วยท่าทางปล่อยวาง “สภาพแวดล้อมที่นี่ดีมาก ต้องขอบคุณสาวน้อยคนนั้นจริงๆ”
หลินเจี้ยนเยี่ยหันกลับมาถามด้วยความสงสัย “คุณไม่สงสัยหล่อนเลยเหรอ?”
อาวุโสจางตอบด้วยรอยยิ้ม “ฉันเลิกสงสัยตั้งนานแล้วล่ะ เพราะสายลับที่ไหนจะเก็บอารมณ์ไม่เก่งเหมือนหล่อน”
“หล่อนอารมณ์เสียใส่คุณเหรอ?”
อาวุโสจางพยักหน้าด้วยความซื่อตรง “ก็ประมาณนั้น หล่อนอธิบายให้ฉันฟังไม่ได้ เลยโมโหแล้วโยนยาไว้บนโต๊ะ จากนั้นก็กลับออกไป”
หลินเจี้ยนเยี่ยเหลือบมองอาวุโสจางและพูดด้วยเสียงเรียบ “ความจริงหล่อนไม่ใช่คนเจ้าอารมณ์ คงเพราะคุณไปยั่วโทสะหล่อนมากกว่า”
อาวุโสจางถอนหายใจเย็นชา “เฮ้อ โตมาเป็นผู้ชายที่ไม่เป็นกลางจริงๆ เวลาเพียงไม่กี่ปีก็เรียนรู้วิธีเข้าข้างภรรยาแล้ว”
หลินเจี้ยนเยี่ยพูดว่า “ผมก็ไม่ได้เรียนรู้สิ่งนี้จากคุณเหรอ แล้วอาจารย์หญิงเป็นยังไงบ้างครับ?”
ทันทีที่คำถามนี้หลุดออกมา ใบหน้าของชายชราก็หม่นแสงลงทันที ทำให้บุคลิกโดยรวมของเขายิ่งดูห่อเหี่ยวลงอย่างชัดเจน
“ตั้งแต่เมื่อสองปีที่แล้วก็ไม่ได้เจอกันอีก”
หลินเจี้ยนเยี่ยเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นค่อยๆ ประคองอาวุโสจางไปนั่งที่เตียง
“อาจารย์ คุณรู้ไหมว่าเรื่องเลวร้ายนี้เป็นฝีมือของใคร?”
อาวุโสจางแค่นเสียงเย้ยหยัน “จะเป็นใครได้อีกนอกจากไอ้แก่พวกนั้นน่ะ”
เมื่อพูดแบบนี้แล้วอาวุโสจางก็เห็นว่าหลินเจี้ยนเยี่ยไม่เคลื่อนไหว พอเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นเขากำลังขมวดคิ้วและไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่
อาวุโสจางเอื้อมมือไปตีแขนอีกฝ่ายเบาๆ “ปล่อยให้พวกรุ่นพี่ทั้งหลายของเธอกังวลไปเถอะ ตัวเธอเองไม่ต้องคิดมากกับเรื่องนี้ การที่ฉันมาอยู่นี่ มันก็เป็นความช่วยเหลือของเธอกับพวกรุ่นพี่ไม่ใช่เหรอ?”
“ครับ”
ในตอนที่ชายชรายังหนุ่ม ด้วยความเป็นคนอารมณ์ร้อนจึงมักจะทำให้หลายคนขุ่นเคือง เมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ก็ทำให้มีคนจ้องซ้ำเติมมากมาย จัดสรรไปไว้ที่ไหนก็ไม่ปลอดภัย หลังพิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็พบว่าให้เขาอยู่ที่นี่ปลอดภัยสุดแล้ว
อาวุโสจางทอดถอนใจพลางเอ่ย “เธอไม่ได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้ใช่ไหม?”
หลินเจี้ยนเยี่ยส่ายหน้า “พวกเขาไม่รู้ความสัมพันธ์ของผมกับคุณ ไม่มีใครมายุ่งกับผม และนี่คือแนวป้องกันชายแดน จึงไม่มีใครกล้าสอดมือเข้ามาแทรกแซงที่นี่”
อาวุโสจางถอนหายใจพลางเอ่ย “เฮ้อ เธอนี่มองการณ์ไกลจริงๆ นะ ตอนที่ฉันจะส่งเธอไปเมืองหลวง เป็นตายยังไงเธอก็ไม่ยอม และยืนกรานที่จะประจำการบนเกาะนี้ กลับเป็นฉันที่เอาตัวไม่รอดเสียเอง”
หลินเจี้ยนเยี่ยเรียกเขาด้วยเสียงเคร่งขรึม “อาจารย์”
อาวุโสจางโบกมือ “เราหยุดพูดถึงเรื่องน่าหดหู่ใจพวกนี้เถอะ เธอเลือกแต่งภรรยาได้ดีจริงๆ นะ มีลูกกี่คนแล้วล่ะ?”
หลินเจี้ยนเยี่ยตอบว่า “สองครับ”
อาวุโสจาง “ดีจริงๆ”
“เธอกลับไปบอกหล่อนว่าอย่ามาที่นี่อีก เพราะมีคนคอยจับจ้องฉันมากเกินไป จะทำให้นายเกิดปัญหาขึ้นได้”
หลินเจี้ยนเยี่ยพูดว่า “ผมไม่กลัว”
อาวุโสจาง “เธอไม่กลัว แล้วภรรยากับลูกนายล่ะ? พวกหล่อนจะไม่กลัวได้เหรอ”
หลินเจี้ยนเยี่ยเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดต่อ “อาจารย์ คุณอย่าคิดมากขนาดนั้นเลยครับ”
“ในเมื่อพวกเรากล้าที่จะช่วยเหลือคุณ เราก็พร้อมรับมือเต็มที่ และในเมื่ออาจารย์มาอยู่ใกล้หูใกล้ตาผมแบบนี้ ผมจะปล่อยให้คุณต้องทนทุกข์ทรมานไม่ได้เด็ดขาด”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
นายพลจางไปขัดแข้งขัดขาใครเข้าล่ะเนี่ย ถึงโดนทรมานหนักขนาดนี้
ชิวเฟิง
MANGA DISCUSSION