ตอนที่ 170 หาคนมาช่วยเหลือนายพลจาง
แม้พวกเขาทั้งหมดจะเป็นนักโทษสมัยปฏิรูปแรงงาน แต่เนื่องจากถูกพิจารณาคดีเป็นเวลานานแล้ว พวกเขาจึงมักจะพกเสื้อผ้าและของใช้ในห้องน้ำติดตัวด้วยเสมอ
เมื่อหลี่โหย่วเหลียงได้ยินว่าตัวเองจะต้องยกกระเป๋าสัมภาระให้อีกฝ่าย เขาก็ออกอาการหัวเสียทันที “ต้องช่วยขนสัมภาระให้พวกเขาด้วยเหรอ เธอใช้อะไรคิดเนี่ย เธอไม่รู้เหรอว่าพวกเขาเป็นใคร?”
สวี่ม่ายซุ่ยขมวดคิ้วแล้วมองเขาด้วยความรังเกียจ “นายหยุดโวยวายได้แล้ว ฉันรู้ดี แต่นายลองดูสภาพของพวกเขาตอนนี้สิ พวกเขาจะเอาแรงที่ไหนไปถือกระเป๋า?”
หลี่โหย่วเหลียงเหลือบมองชายชราไม่กี่คนนั้นแล้วพูดด้วยความรู้สึกผิด “แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น เราก็ถือกระเป๋าให้พวกเขาไม่ได้หรอก!”
ชายชราคนหนึ่งที่ดูเหมือนจะมีร่างกายแข็งแรงกว่าใครได้ยินเสียงการทะเลาะระหว่างคนทั้งสองแล้วก็พูดเสียงแหบแห้งว่า “สาวน้อย พวกคุณหยุดทะเลาะกันได้แล้ว กระเป๋าสัมภาระใบเล็กๆ แบบนี้พวกเราถือเองไหว”
“ผู้อาวุโส คุณไม่ต้องกังวลหรอก เขามีหน้าที่ขนกระเป๋าพวกนี้อยู่แล้วค่ะ” สวี่ม่ายซุ่ยพูดกับชายชราด้วยเสียงอ่อนโยน
หลี่โหย่วเหลียง “ทำไมต้องเป็นฉันล่ะ”
สวี่ม่ายซุ่ย “เพราะนายเป็นผู้ชายไงล่ะ ตรงนี้มีแค่คนแก่กับผู้หญิง ถ้านายไม่ทำแล้วใครจะทำ”
เมื่อเห็นหลี่โหย่วเหลียงยังยืนนิ่ง สวี่ม่ายซุ่ยจึงพูดแบบหมดความอดทน “สรุปว่านายไม่ใช่ผู้ชายเหรอ?”
เมื่อหลี่โหย่วเหลียงได้ยินแบบนี้ เขาก็รีบพูดว่า “ขนก็ขนสิ รอก่อนแล้วกัน”
พูดจบแล้วเขาก็วิ่งออกไปข้างนอกทันที
สวี่ม่ายซุ่ยเห็นหลี่โหย่วเหลียงกำลังไปหารถ สีหน้าของเธอก็ดีขึ้นมาก และเมื่อผู้อาวุโสเหล่านี้เห็นทั้งสองคนทะเลาะกันครั้งแล้วครั้งเล่า พวกเขาก็คิดว่าเป็นเพราะไม่ลงรอยกัน สวี่ม่ายซุ่ยจึงจงใจแกล้งหลี่โหย่วเหลียง ไม่ได้คิดจะช่วยพวกเขาจริงๆ เลย
ตอนนี้มีเพียงนายพลจางนั่งหลับตาอยู่ตรงกลาง คิ้วของเขาขมวดเข้าหากัน ท่าทางไม่สบายตัวชัดเจน สวี่ม่ายซุ่ยเฝ้ามองเขาเงียบๆ และเมื่อเห็นสิ่งผิดปกติ เธอก็รีบเดินเข้าไปถามเขา
“ผู้อาวุโสคนนี้เป็นยังไงบ้างคะ? ทำไมดูอาการไม่สู้ดีเลย” สวี่ม่ายซุ่ยถามด้วยเสียงนุ่มนวล
ผู้อาวุโสซุนที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็ทอดถอนใจพลางเอ่ย “เพิ่งถูกทรมานมาน่ะ คราวนี้เจ็บหนักทีเดียว”
“สาวน้อย เธอช่วยอะไรหน่อยสิ ช่วยพาเขาไปหาหมอได้ไหม?”
สวี่ม่ายซุ่ยเอื้อมมือไปแตะหน้าผากของเขาและพบว่ามันร้อนมาก แต่เธอก็ยังส่ายหน้าพลางตอบว่า “ไม่ได้หรอกค่ะ คณะกรรมการที่มาเมื่อครู่สั่งไว้ว่าห้ามให้พวกคุณได้พบหมอ”
เมื่อได้ยินแบบนั้นแล้วดวงตาของชายชราก็หม่นแสงลงทันที
สวี่ม่ายซุ่ยรู้สึกเป็นทุกข์อยู่บ้างเหมือนกัน แต่ในเวลานี้มีคนจำนวนมากที่เธอไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นมิตรหรือศัตรู เธอจึงไม่กล้าดำเนินการอย่างพลการ
“พวกคุณเอาแก้วน้ำมาด้วยไหม? ฉันจะรินน้ำให้พวกคุณดื่ม”
หลังจากได้ยินเธอพูดแล้ว พวกชายชราทั้งหลายก็หยิบแก้วน้ำออกจากกระเป๋าด้วยมือสั่นเทา “ผู้อาวุโส แก้วน้ำของเขาอยู่ที่ไหน ฉันจะช่วยหยิบให้เขา”
อาวุโสซุนส่ายหน้าพลางเอ่ย “เขาไม่มีแก้วน้ำและไม่มีสัมภาระ ใช้ของฉันได้เลย”
สวี่ม่ายซุ่ยตอบรับ “ตกลงค่ะ”
พูดจบแล้วเธอก็เดินไปที่ห้องข้างๆ หยิบกาน้ำร้อนออกมารินน้ำต้มสุกให้พวกเขาคนละแก้ว
เมื่อบรรดาชายชราได้รับน้ำอุ่นที่สวี่ม่ายซุ่ยรินให้ พวกเขาก็ดื่มน้ำพลางปาดน้ำตาไปด้วย เพราะรู้สึกว่าได้รับน้ำใจเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ถูกตัดสินคดี
แต่สวี่ม่ายซุ่ยไม่สามารถเห็นใจพวกเขาได้ เธอจึงแกล้งทำเป็นมองไม่เห็น
ในเวลานี้ หลี่โหย่วเหลียงหารถกลับมาได้แล้วและเห็นพวกเขาดื่มน้ำอยู่ จึงพูดประชดโดยไม่ได้คิด “เธอช่างใจดีกับพวกเขาเหลือเกิน ฉันทำงานคนเดียวเหนื่อยมาก แต่พวกเขานั่งอยู่ที่นี่และมีน้ำให้ดื่มด้วย”
สวี่ม่ายซุ่ยพูดว่า “เหอะ นายอย่าอิจฉาสิ ก็แค่น้ำแก้วเดียว ของนายก็มีเหมือนกันแหละ”
หลี่โหย่วเหลียงมองไปที่กาน้ำร้อนบนโต๊ะสลับกับมองสวี่ม่ายซุ่ยที่ทำตัวเป็นคนมีมโนธรรม จากนั้นเขาค่อยเดินไปรินน้ำดื่มสองสามอึก ดื่มเสร็จก็หันไปขนสัมภาระขึ้นรถโดยไม่พูดสักคำ
สวี่ม่ายซุ่ยเข้าไปช่วยประคองนายพลจาง ซึ่งหลังจากป้อนน้ำอุ่นให้เขาหนึ่งแก้วแล้ว ท่าทางของเขาก็ดีขึ้นมาก เพียงแค่ในขณะที่สวี่ม่ายซุ่ยช่วยเหลือ ชายชราทำเพียงลืมตาขึ้นมองเธอโดยไม่พูดอะไร
เดิมทีหลี่โหย่วเหลียงอยากจะเตือนเธอสักหน่อย แต่เมื่อเห็นสภาพของนายพลจางแล้ว เขาก็กลืนคำพูดลงคอ
กลุ่มคนเดินกันมาเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงคอกวัว เนื่องจากพวกโช่วเหล่าจิ่ว*ไม่สามารถพักในที่ดีๆ แบบพวกยุวปัญญาชนได้ พวกเขาจึงอยู่ได้แค่ในบริเวณคอกวัวเท่านั้น เพียงแต่ไม่ได้อยู่กับวัว แค่สร้างกระท่อมเล็กสองหลังติดกับคอกวัวนั่นเอง
(*โช่วเหล่าจิ่ว 臭老九 เป็นคำด่าพวกปัญญาชนในสมัยปฏิวัติวัฒนธรรม)
สวี่ม่ายซุ่ยยังไม่เคยมาที่นี่เลย เธอจึงยื่นมือออกไปเปิดประตูแล้วมองสำรวจ เมื่อเปรียบเทียบกับด้านนอกแล้วภายในยังดีกว่ามาก เพราะอย่างไรแล้วผู้คนที่นี่ก็เรียบง่ายและซื่อสัตย์ จึงไม่มีใครปฏิบัติต่อผู้อื่นได้น่ารังเกียจขนาดนั้น
สวี่ม่ายซุ่ยพิจารณากระท่อมทั้งสองหลังแล้วจึงตัดสินใจได้ว่าควรจัดสรรอย่างไร แต่ในระหว่างนี้เธอกลัวว่าจะมีความผิดปกติเกิดขึ้น ตอนที่แจกจ่ายสัมภาระคืนจึงสอบถามพวกเขาไปด้วย และพบว่ามีเพียงอาวุโสแซ่จางที่มีไข้สูง เธอจึงรู้สึกโล่งใจ
“อาวุโสซุน พวกคุณอาศัยอยู่ในกระท่อมหลังนี้นะ”
“ส่วนอาวุโสจางไปอยู่กระท่อมหลังข้างๆ”
เนื่องจากกระท่อมหลังข้างๆ ใช้สำหรับอยู่เวร จึงมีสิ่งอำนวยความสะดวกพร้อมกว่าเล็กน้อย
เมื่อได้ยินแบบนั้นแล้ว อาวุโสซุนก็ถามด้วยความสงสัยว่า “กระท่อมหลังนี้ก็มีที่ว่าง ในเมื่อเหล่าจางตัวร้อนเป็นไฟขนาดนี้ เราจะได้ดูแลกันและกันได้บ้าง”
สวี่ม่ายซุ่ยพูดว่า “อาการไข้ของอาวุโสจางรุนแรงเกินไป ฉันเกรงว่าอาการของเขาจะทรุดลง ส่วนพวกคุณอายุมากแล้ว หากพวกคุณติดไข้ไปด้วย พวกเราคงรับผิดชอบไม่ไหว”
เดิมทีหลี่โหย่วเหลียงคิดว่ามันไม่เหมาะสม แต่เมื่อเขาได้ยินสิ่งที่เธอพูด เขาก็ตระหนักได้ว่ามันถูกต้อง เพราะมองแค่แวบเดียวก็รู้ว่าชายชราคนนี้ดูไร้ชีวิตชีวามาก หากพวกเขาที่เหลือพลอยป่วยไปด้วยก็เรียกได้ว่าโชคร้ายสุดๆ
หลังจากที่ทุกคนได้ยินคำพูดของเธอ ก็รู้ได้ทันทีว่าเธอกำลังกังวลเรื่องใด พวกเขาจึงไม่กล้าออกความคิดเห็นอีก
สวี่ม่ายซุ่ยจัดแจงแล้วก็หันมองไปรอบๆ จากนั้นเธอก็พูดกับหลี่โหย่วเหลียงว่า “นายไปจุดเตาให้พวกเขาสิ”
หลี่โหย่วเหลียงย้อนถาม “ทำไมต้องจุดเตา?”
สวี่ม่ายซุ่ย “ถ้านายไม่จุดไฟ แล้วพวกเขาจะทำอาหารต้มน้ำยังไง”
หลี่โหย่วเหลียงพึมพำด้วยความหงุดหงิด “ได้ทำงานกับเธอนี่เป็นอะไรที่โชคร้ายสุดๆ ไปเลย”
สวี่ม่ายซุ่ยเมินใส่เขา และหลังจากให้คำแนะนำกับหลี่โหย่วเหลียงแล้ว เธอก็ไปช่วยพวกชายชราจัดข้าวของ และเมื่อเห็นว่าผ้าห่มของพวกเขาขึ้นราหมดแล้ว เธอก็รู้สึกแย่อีกครั้ง
“อาวุโส ผ้าห่มของพวกคุณขึ้นราหมดเลย จะใช้ห่มไม่ได้นะ ตอนนี้ข้างนอกยังมีแดดอยู่ รีบเอาออกไปตากแดดก่อนเถอะ”
เมื่อได้ยินเธอพูดแบบนี้แล้วพวกชายชราก็รู้สึกยินดีขึ้นมาทันที “ทำได้จริงเหรอ?”
สวี่ม่ายซุ่ยตอบว่า “ทำไมจะไม่ได้ล่ะ รีบไปเถอะ เดี๋ยวอีกสักพักแดดจะหุบหมดแล้ว”
เมื่อทุกคนได้ยินแบบนั้นแล้วก็รีบหอบผ้าห่มออกไป ทั้งยังรู้สึกดีขึ้นกว่าตอนที่มาถึงใหม่ๆ ด้วย หลี่โหย่วเหลียงมองพวกชายชราที่สาวเท้าออกไปทีละคน เขาก็ได้แต่เม้มปากโดยไม่พูดอะไร ด้านสวี่ม่ายซุ่ยก็ใช้เวลาจากตอนที่พวกเขาไม่อยู่นี้ช่วยทำความสะอาดให้ด้วย
ในขณะนี้อาวุโสซุนเดินเข้ามาเงียบๆ และพูดว่า “สาวน้อย เธอช่วยหาเครื่องนอนให้เหล่าจางหน่อยได้ไหม เขาไม่มีอะไรเลยจริงๆ ด้วยสภาพอากาศหนาวเย็นแบบนี้ เกรงว่าเขาจะทนไม่ไหว”
สวี่ม่ายซุ่ยเงียบไปครู่หนึ่งแล้วตอบว่า “ได้ค่ะ ฉันจะคิดหาทางให้ คุณไปตากผ้าห่มก่อนเถอะ”
“เธอเป็นคนดีมากจริงๆ นะ” เมื่ออาวุโสซุนได้ยินคำสัญญาของเธอแล้ว เขาจึงพูดด้วยความดีใจ
เมื่อสวี่ม่ายซุ่ยเห็นพวกเขาออกไปหมดแล้ว เธอจึงถอนหายใจออกมา เพราะมันง่ายที่จะสัญญาแต่ไม่ง่ายที่จะทำเลย
แต่ทันใดนั้นเธอก็จดจำใครบางคนขึ้นมาได้ เธอจึงรีบเดินออกไปและมองหลี่โหย่วเหลียงที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาทำงาน ก่อนเตะขาของเขาแล้วพูดว่า “เฮ้ มีปัญหาแล้วล่ะ”
หลี่โหย่วเหลียงหันขวับมามองเธอและถามด้วยความหงุดหงิด “ปัญหาไหนอีกล่ะ?”
สวี่ม่ายซุ่ยตอบว่า “คนแก่ที่ป่วยคนนั้นไม่มีของใช้ติดตัวมาเลย แล้วจะทำยังไงดี?”
หลี่โหย่วเหลียง “เขาไม่มีแล้วมาบอกฉันทำไม จะให้ฉันเอาของตัวเองให้เขาใช้หรือไง?”
สวี่ม่ายซุ่ยเงียบไปครู่หนึ่ง เพราะนี่คือแผนที่เธอวางไว้แล้ว เนื่องจากเครื่องนอนในบ้านของเธอเป็นของใหม่ทั้งหมด หากมอบให้ชายชราก็จะดึงดูดความสนใจของผู้อื่นได้ง่ายดาย ดังนั้นของใช้ของหมาโสด*แบบหลี่โหย่วเหลียงจึงเป็นตัวเลือกดีที่สุด
(*หมาโสด เป็นสแลงของวัยรุ่นจีน แปลว่าคนไม่มีแฟน)
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
สภาพย่ำแย่อะไรขนาดนี้ แปลแล้วหดหู่เลยค่ะ
ชิวเฟิง
MANGA DISCUSSION