ตอนที่ 169 เสี่ยนเหยี่ยนเปา
ชายชราไม่คิดว่าจะมีใครถามชื่อของตน จึงตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะค่อยๆ ตอบว่า “ฉันแซ่ซุนน่ะ”
เมื่อสวี่ม่ายซุ่ยได้ยินว่าเขามีแซ่ซุน ดวงตาพลันฉายแววผิดหวังขึ้นมาทันที กระนั้นตอนที่พูดก็ยังมีรอยยิ้มบนใบหน้า “อาจารย์ซุนเชิญนั่งตรงนี้ก่อน”
หลังจากจัดที่นั่งให้ชายชราแล้ว สวี่ม่ายซุ่ยก็หันกลับไปหาผู้อำนวยการหลานทันที
ผู้อำนวยการหลานช่วยเหลือชายชราเสร็จแล้วก็กลับไปนั่งที่เดิม และเมื่อสวี่ม่ายซุ่ยเดินผ่านมาก็เห็นหล่อนพึมพำบางสิ่งบางอย่าง
“ไอ้พวกกากเดนสวะ นางตัวแสบไร้ยางอาย ไม่มีความเป็นมนุษย์และไม่เอาไหนซะเลย ทำไมโหดเหี้ยมขนาดนี้นะ”
สวี่ม่ายซุ่ยมองผู้อำนวยการหลานพึมพำพลางยกมือเช็ดน้ำตา เธอจึงถามด้วยความสงสัย “คุณเป็นอะไรคะ?”
เมื่อผู้อำนวยการหลานเห็นว่าเป็นสวี่ม่ายซุ่ย หล่อนจึงพูดด้วยน้ำเสียงฟึดฟัด “พวกคณะกรรมการสารเลวนั่นต่างกันยังไง สุดท้ายก็ปฏิบัติต่อผู้คนเหมือนไม่ใช่มนุษย์ทั้งนั้น”
“เธอไม่เห็นชายชราที่อยู่ตรงกลางคนนั้นเหรอ ถ้ามองผิวเผินก็เหมือนว่าเขาสบายดี แต่ความจริงกำลังเลือดไหล ฉันคิดว่าหากปล่อยไว้แบบนี้อีกสักสองวัน เขาคงจะทนไม่ไหวจริงๆ”
สวี่ม่ายซุ่ยมองตามทิศทางสายตาของผู้อำนวยการหลานและเห็นชายชราที่อยู่ตรงกลาง ตอนนี้ใบหน้าของเขาซีดเผือด สองคิ้วขมวดมุ่น และมือของเขาประสานกันราวกับว่ากำลังอดกลั้นบางสิ่งเอาไว้
จากสภาพการณ์ของเขาแล้ว สวี่ม่ายซุ่ยจึงเดาว่าเขาน่าจะเป็นนายพลจางที่หลินเจี้ยนเยี่ยกล่าวถึง
“ผู้อำนวยการหลาน ฉันคิดว่าพวกเขากำลังมีสภาพร่างกายย่ำแย่ งั้นเราสามารถเชิญหมอมาตรวจอาการได้ไหมคะ?”
ผู้อำนวยการหลานส่ายหัวทันทีพลางเอ่ย “คราวนี้ทำไม่ได้แล้วน่ะสิ เพราะตัวแทนคณะกรรมการเน้นย้ำไว้ก่อนจากไปว่าไม่อนุญาตให้พบหมอ”
สวี่ม่ายซุ่ยพูดว่า “งั้นเราก็ทำได้แค่มองพวกเขาเป็นแบบนี้ต่อไปสินะคะ”
ผู้อำนวยการหลาน “ต่อให้เราจะไม่อยากมองเฉยๆ แต่ใครจะกล้าไปเชิญหมอล่ะ หากมีใครกล้าพูดออกมาล่ะก็ ทั้งครอบครัวจะได้รับผลกระทบไปด้วยนะ”
“งั้นเราก็อย่าสนใจเลย แค่รอดูก็พอ”
ทันใดนั้นหัวหน้าใหญ่ก็มองพวกเธอทั้งสองคนแล้วพูดเสียงเย็นชา “ทั้งสองคนหยุดซุบซิบกันได้แล้ว นี่เป็นการประชุมนะ!”
สวี่ม่ายซุ่ยและผู้อำนวยการหลานได้ยินแล้วรีบนั่งหลังตรงทันที จากนั้นก็ไม่กล้ากระซิบกระซาบกันอีก
“หัวหน้าหลี่ นายคิดว่าพอจะมีเวลาว่างและดูแลพวกเขาได้ไหม?”
เมื่อหลี่โหย่วไฉได้ยินแล้วก็ตอบรับทันที “หัวหน้าใหญ่ ผมยังมีงานในนาของที่บ้านให้ทำ เลยไม่อาจดูแลพวกเขาได้ครับ”
หัวหน้าใหญ่ “แล้วผู้อำนวยการหลานล่ะ?”
ผู้อำนวยการหลานก็ตอบด้วยความระมัดระวังทันที “หัวหน้าใหญ่ คุณก็รู้ว่ายิ่งมีเวลาว่างมากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีเรื่องจุกจิกผุดขึ้นมาให้ทำมากขึ้นเท่านั้น ฉันยุ่งกับงานของตัวเองมากเกินไป จึงไม่มีเวลาสนใจเรื่องอื่นเลยค่ะ”
เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนนี้ไม่พร้อม หัวหน้าใหญ่จึงหันไปถามคนอื่นบ้าง แต่หลังจากถามอยู่นานสองนานก็ไม่มีใครเหมาะสม ตอนนี้จึงเหลือเพียงสวี่ม่ายซุ่ยเท่านั้น ติดที่ว่าสวี่ม่ายซุ่ยมีสถานะพิเศษ หัวหน้าใหญ่จึงไม่อยากให้เธอรับผิดชอบเรื่องนี้ แต่เมื่อถามทุกคนแล้วจะเมินเธอไปคนเดียวไม่ได้ เขาจึงถามแบบสบายๆ แทน “นักบัญชีสวี่คิดเห็นว่าไงบ้าง?”
แต่ก่อนที่เธอจะตอบ ผู้อำนวยการหลานที่อยู่ข้างๆ ก็มองเธอด้วยความกังวลพลางเอ่ย “อย่ารับเผือกร้อนนี่ไว้เชียวนะ”
สวี่ม่ายซุ่ยก็เข้าใจได้ทันที เธอจึงตอบด้วยสีหน้าลำบากใจว่า “หัวหน้าใหญ่ ช่วงนี้เราต้องแจกจ่ายเสบียงแล้ว ฉันจึงงานยุ่งมากๆ ค่ะ”
เมื่อเห็นว่าทุกคนไม่เต็มใจ ใบหน้าของหัวหน้าใหญ่จึงมืดมนลงโดยอัตโนมัติ “ฉันไม่รู้เลยว่าสมาคมของเรายุ่งขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่! ถ้าวันนี้ทุกคนไม่ให้บทสรุปแก่ฉัน ก็ไม่ต้องกลับบ้านกลับช่องกันแล้ว”
ทุกคนได้ฟังแล้วก็หันไปมองหน้ากันเลิ่กลั่ก สวี่ม่ายซุ่ยเห็นว่านี่เป็นโอกาสที่ดี เธอจึงกระซิบกับผู้อำนวยการหลานว่า “เรื่องวุ่นวายแบบนี้จะปล่อยให้ใครคนใดคนหนึ่งทำไม่ได้ งั้นเราควรผลัดกันดูแล เพื่อให้ทุกคนมีหน้าที่เท่าเทียมกัน และถ้าเกิดความผิดพลาดขึ้นมา ก็จะได้ไม่มีใครหนีเอาตัวรอดคนเดียว”
ทันใดนั้นดวงตาของผู้อำนวยการหลานก็เป็นประกาย “สุดท้ายเธอยังเป็นคนฉลาดเสมอ นี่เป็นความคิดที่ดีมากเลย”
หลังจากพูดจบแล้ว หล่อนก็ยกมือขึ้นพลางตะโกนว่า “หัวหน้าใหญ่ ในเมื่อทุกคนไม่เต็มใจ งั้นเราก็จะผลัดกันดูแลเหมือนเฝ้าเสบียง ถึงเวรใครก็รับผิดชอบไปแล้วกันค่ะ”
สวี่ม่ายซุ่ยไม่ได้พูดประโยคที่เหลือ นั่นจึงเป็นความคิดของผู้อำนวยการหลานแน่นอน
หลังจากได้ยินแบบนี้แล้ว หัวหน้าใหญ่ก็มองไปรอบๆ แล้วถามว่า “ทุกคนคิดเห็นว่าไง?”
ในตอนแรกทุกคนไม่มีความคิดเห็น แต่เมื่อได้ยินแบบนี้แล้วจึงพากันพยักหน้าพลางเอ่ย “พวกเราเห็นด้วย”
ทุกคนต่างเห็นด้วยอย่างง่ายดายทั้งที่ตอนแรกมีแต่คนบอกว่างานยุ่งและไม่มีใครเสนอตัวออกมารับหน้าที่นี้ ส่วนสวี่ม่ายซุ่ยตระหนักดีว่าตัวเองมีสถานะพิเศษ ถึงอยากจะช่วยก็ไม่ใช่คราวนี้แน่ๆ จึงเลือกจะทำตัวแนบเนียนไปก่อน
ขณะที่เธอกำลังตีเนียนไปกับคนอื่นอยู่นั้น ก็มีคนลุกขึ้นยืนและถามเธอว่า “ตอนนี้นักบัญชีสวี่ไม่ยุ่งใช่ไหม ถ้างั้นนักบัญชีสวี่ควรเข้าร่วมด้วย เพราะครั้งล่าสุดที่คณะสันทนาการมา นักบัญชีสวี่ก็เป็นคนดูแลจนผู้นำในเมืองถึงขั้นเอ่ยปากชมเชยเราในเรื่องการจัดการที่ดี”
สวี่ม่ายซุ่ยได้ยินแบบนี้แล้วก็หันไปมองชายคนที่พูดทันที ปรากฏว่าเป็นเสี่ยนเหยี่ยนเปา*หลี่โหย่วเหลียง ซึ่งปกติพูดมากและไม่ค่อยชอบเธอ แต่ก็ไม่คิดว่าเขาจะโจมตีเธอในเวลานี้ ต่อให้เธอไม่มีปัญหาถ้าจะต้องรับงานนี้ แต่มันก็ไม่ควรจะเป็นการรับงานเพราะถูกกดดัน
(*เสี่ยนเหยี่ยนเปา 显眼包 เป็นศัพท์ในโลกโซเชียลจีน แปลว่า พวกที่ชอบทำตัวเด่น สุดท้ายหน้าแตกเสียเอง)
ใบหน้าที่ยิ้มแย้มของเธอพลันมืดลง ตอบเขาด้วยน้ำเสียงเย็นชา “หัวหน้าหลี่คงจะว่างมากจริงๆ นะคะ ถึงขั้นรู้ดีว่าคนอื่นกำลังทำอะไรอยู่บ้างน่ะ”
หลี่โหย่วเหลียงพูดว่า “นักบัญชีสวี่พูดแบบนี้แสดงว่าลืมสิ่งที่เพิ่งพูดไปแล้วเหรอ ตอนนี้ยังเร็วไปสำหรับการคำนวณแต้มทำงานและการแจกจ่ายเสบียง ฉันจึงคิดว่าเธอแค่ไม่อยากทำงานมากกว่า”
“นายมากกว่านะที่พูดเหมือนไม่อยากทำงาน ใครขุดร่องน้ำในฤดูหนาวกันล่ะ พูดออกไปแล้วไม่กลัวคนอื่นหัวเราะเยาะเลยเหรอ”
เมื่อเห็นว่าทั้งสองกำลังจะพับแขนเสื้อขึ้นและทะเลาะกันจริงจัง หัวหน้าใหญ่จึงลุกขึ้นและตะโกนห้ามทัพ “จะทะเลาะกันทำไม คิดว่านี่เป็นที่บ้านตัวเองเหรอ?”
“ฉันคิดว่าจะฝากเรื่องนี้ไว้กับทั้งสองคนนี่แหละ”
หลี่โหย่วเหลียงตกตะลึงและอุทานออกมาด้วยความไม่เชื่อ “ทำไมหัวหน้าใหญ่ถึงจัดให้ผมด้วยล่ะ ผมยังมีงานต้องทำนะ”
สีหน้าของหัวหน้าใหญ่มืดลง “มีงานประเภทไหนหรือใครสอนให้นายขุดร่องน้ำในฤดูหนาวกันเหรอ?”
หลี่โหย่วเหลียงกลัวหัวหน้าใหญ่ตอนที่มีสีหน้าแบบนี้ที่สุด เขาจึงหุบปากทันที แต่ด้วยความเกรงกลัวหัวหน้าใหญ่แต่ไม่ได้กลัวสวี่ม่ายซุ่ย เขาจึงหันไปกลอกตาใส่สวี่ม่ายซุ่ยด้วย
สวี่ม่ายซุ่ยได้เห็นแล้ว ก็อดก่นด่าไม่ได้ “เห็นแล้วอยากจะควักลูกตาทิ้งจริงๆ”
ผู้อำนวยการหลานบังเอิญได้ยินพอดี จึงอดตัวสั่นไม่ได้ หล่อนจึงเกลี้ยกล่อมแทนหลี่โหย่วเหลียงว่า “เขาแค่เป็นคนหัวรั้น เธออย่าไปต่อปากต่อคำกับเขาเลย”
หากไม่ดื้อรั้นก็คงไม่อาจหักหน้าคนอื่นในที่สาธารณะได้
สวี่ม่ายซุ่ย “ถ้าฉันไม่รู้ว่าเขาเป็นคนยังไง ป่านนี้ฉันคงพุ่งเข้าไปข่วนเขาแล้วค่ะ”
ผู้อำนวยการหลานเห็นสวี่ม่ายซุ่ยหัวเสียก็อดหัวเราะเสียงดังไม่ได้
สวี่ม่ายซุ่ย “…”
หลังจากเลือกทั้งสองคนนี้แล้ว คนอื่นๆ ก็ลอยตัว และเนื่องจากกลัวว่าจะถูกรั้งไว้ให้ช่วยงาน ทุกคนจึงสาวเท้าออกไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ หลังจากนั้นไม่นานจึงเหลือเพียงหลี่โหย่วเหลียงและสวี่ม่ายซุ่ยนั่งอยู่ รวมถึงบรรดาชายชราอีกไม่กี่คนด้วย
“หลี่โหย่วเหลียง นี่นายป่วยหรือไง?”
“ถ้าฉันป่วย แล้วเธอมียาไหมล่ะ?”
สวี่ม่ายซุ่ย “นายอยากกินยาเบื่อหนูไหมล่ะ?”
หลี่โหย่วเหลียง “…”
“รีบพูดมาสิว่าต้องทำอะไรบ้าง” เมื่อรู้ว่าทะเลาะกับเธอไม่ชนะ หลี่โหย่วเหลียงจึงเริ่มถามถึงงาน
สวี่ม่ายซุ่ยมองไปทางกลุ่มชายชราที่ไร้ชีวิตชีวา ก่อนพูดพลางทอดถอนใจ “จะทำอะไรล่ะ ต้องทำตามขั้นตอนสิ”
หลี่โหย่วเหลียงไม่เข้าใจเลย เขาจึงทำได้เพียงพึ่งพาสวี่ม่ายซุ่ยเท่านั้น “ขั้นตอนยังไง?”
สวี่ม่ายซุ่ยมองไปที่ชายชราผู้อ่อนแอเหล่านั้น และหันไปมองกระเป๋าสัมภาระบนพื้น จากนั้นจึงตอบด้วยความหงุดหงิด “ไปหารถสามล้อก่อน จะได้ขนกระเป๋าสัมภาระพวกนี้ออกไป”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เจอแต่คนแบบนี้ก็น่าเหนื่อยใจนะม่ายซุ่ย ไม่ได้ช่วยเหลืออะไรเราแล้วยังซ้ำเติมเราอีก
ชิวเฟิง
MANGA DISCUSSION