ตอนที่ 154 ดูเหมือนคุณไม่ค่อยชอบเขาใช่ไหม?
เมื่อถูกกระตุ้นแบบนี้แล้ว แม่ต้าไห่ก็ลืมถามสวี่ม่ายซุ่ยไปเลย หล่อนขมวดคิ้วและหวนนึกย้อนไปแบบจริงจัง ซึ่งหลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง ดวงตาของหล่อนก็สว่างขึ้นมาทันที “ฉันจำได้แล้วว่าเราพบกันตอนไหน”
ภรรยาหมาจื่อรีบถามต่อด้วยความอยากรู้ “ได้เจอกันเมื่อไรเหรอ?”
“ตอนที่ฉันไปกินข้าวบ้านกรรมการการเมืองซุน ตอนนั้นกรรมการการเมืองซุนได้เชิญแขกไปกินข้าวที่บ้าน ฉันถึงได้พบเขาน่ะ”
ภรรยาหมาจื่อจึงพูดด้วยความมั่นใจว่า “เห็นไหมล่ะ ฉันบอกแล้วว่าเขาทักทายเธอนั่นแหละ”
แม่ต้าไห่โบกมือด้วยความเบื่อหน่ายพลางเอ่ยทันที “ฉันไม่สนใจว่าเขาจะทักทายหรือเมินใส่หรอก” เมื่อพูดจบแล้วหล่อนก็หันไปถามสวี่ม่ายซุ่ยว่า “ต้านีได้บอกเธอหรือยังว่าหล่อนกลับบ้านเกิดน่ะ?”
สวี่ม่ายซุ่ยตอบว่า “บอกแล้วค่ะ”
แม่ต้าไห่ถอนหายใจเบา ๆ แล้วพูดว่า “แต่ไม่รู้ว่าหล่อนจะกลับมาตอนไหน”
สวี่ม่ายซุ่ยถามต่อ “คุณมีธุระกับหล่อนเหรอ?”
แม่ต้าไห่ตอบว่า “ฉันอยากนั่งเย็บผ้านวมกับหล่อนน่ะ แต่หล่อนไม่อยู่บ้าน ฉันเลยไม่มีใครคุยด้วย”
เมื่อภรรยาหมาจื่อได้ยิน จึงพูดขึ้นว่า “ก็มาเรียกหาฉันสิ ฉันว่างนะ”
แม่ต้าไห่มองหล่อนด้วยความดูแคลน “ฉันไม่เย็บผ้ากับเธอหรอก เธอเย็บผ้านวมให้น้องสามีเสร็จแล้วเหรอ? รู้นะว่าเธอกำลังหาคนช่วยเปล่า ๆ น่ะ”
สำหรับธรรมเนียมที่นี่คือเมื่อแต่งงานจะต้องห่มผ้านวมผืนใหม่ ทำให้ช่วงนี้ภรรยาหมาจื่อยุ่งกับงานที่บ้านทุกวัน “ไม่ได้ทำเปล่า ๆ หรอกน่า ฉันจะเลี้ยงข้าวคุณไงคะ”
เดิมทีแม่ต้าไห่แค่หยอกเล่นเท่านั้น เมื่อได้ยินแบบนี้แล้วก็ตอบรับทันที “ถ้าแบบนี้ก็เข้าท่าอยู่”
เนื่องจากเซียงอวิ๋นกับซูหมิงจะแต่งงานกัน ทำให้ทั้งสองครอบครัวได้เกี่ยวดองกันแล้ว เมื่อภรรยาหมาจื่อพูดแบบนั้น ฝ่ายสวี่ม่ายซุ่ยก็แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ได้ “เหลืออีกเยอะไหม พรุ่งนี้ถ้าฉันว่าง ฉันจะไปช่วยเธอนะ”
ภรรยาหมาจื่อได้ยินแล้วก็ยกมือปิดปากหัวเราะ “เธอทำไม่เป็นหรอก”
สวี่ม่ายซุ่ยย้อนถาม “ทำไมล่ะ?”
ภรรยาหมาจื่ออธิบายว่า “การเย็บผ้านวมให้คู่บ่าวสาวจะต้องถือเคล็ดด้วย คือจะต้องเป็นผู้มีบุญคุณ ไม่ใช่หญิงม่ายและเพียบพร้อมด้วยลูกชายลูกสาว”
“เธอมีแต่ลูกชายไม่มีลูกสาวจึงมีคุณสมบัติไม่ตรง”
สวี่ม่ายซุ่ย “…”
“ต้องจริงจังขนาดนั้นเชียว?”
แม่ต้าไห่พูดว่า “แน่นอนอยู่แล้ว สำหรับงานแต่งงานจะต้องใส่ใจกับทุกสิ่งนะ”
“แต่ฉันอยากจะถามหน่อย หลินฟานของเธอไม่ใช่เด็กอีกต่อไปแล้ว เธอไม่คิดจะมีอีกสักคนเหรอ?”
เมื่อสวี่ม่ายซุ่ยนึกถึงการเลี้ยงลูกที่แสนสาหัส เธอจึงปฏิเสธทันที “ฉันมีสองคนก็พอแล้ว ไม่ได้อยากจะมีเพิ่มเลย”
แม่ต้าไห่พูดว่า “เธอมีลูกแค่สองคน แต่มีคนบอกว่าเลี้ยงลูกเจ็ดแปดคนก็ยังไม่เหนื่อย เธอเทียบไม่ได้เลยนะ”
สวี่ม่ายซุ่ยพูดว่า “ฉันไม่มีพลังงานเยอะขนาดนั้นหรอก แต่ถ้าพวกคุณอยากมีเพิ่มอีกสักคนสองคน ก็ต้องรีบ ๆ ตั้งแต่ตอนนี้เลย”
ในช่วงสองปีที่ผ่านมานี้ การตรวจสอบเข้มงวดยังไม่ประกาศลงมา แต่ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าจะเริ่มมีการตรวจสอบเข้มงวดขึ้น โดยเฉพาะครอบครัวทหารระดับหัวหน้าแบบพวกเธอ
แม่ต้าไห่พูดว่า “นักบัญชีสวี่ไปได้ยินอะไรมาอีกใช่ไหม?”
สวี่ม่ายซุ่ย “ฉันจะได้ยินอะไรล่ะ”
แม่ต้าไห่พูดว่า “ฉันก็นึกว่าเธอได้ยินอะไรมาน่ะ ถ้าจะมีเรื่องใดเกิดขึ้น ฉันก็จะกลับไปกระตุ้นเตือนให้ลูกสะใภ้รีบหน่อย”
สวี่ม่ายซุ่ยขมวดคิ้วพลางเอ่ย “หล่อนเพิ่งคลอดลูกเมื่อไม่นานนี้เองใช่ไหม?”
แม่ต้าไห่ตอบว่า “ผ่านมาหนึ่งปีแล้วต่างหาก ตอนนี้ร่างกายแข็งแรงแล้ว ภายในสองสามปีนี้ฉันก็ยังมีแรงช่วยเลี้ยงหลานอยู่ ดังนั้นก็ให้หล่อนรีบคลอดลูกน่ะดีแล้ว”
สวี่ม่ายซุ่ยพูดว่า “การมีลูกไม่ใช่แค่คลอดแล้วจบ ๆ ไปซะหน่อย สมควรดูแลร่างกายให้ดีก่อนจะดีกว่านะ”
แม่ต้าไห่ตอบด้วยความไม่ใส่ใจ “ฉันเองก็คลอดลูกมาหลายคนแล้ว จะไม่รู้ได้ไงล่ะ แต่ไม่ต้องห่วงนะ มันจะไม่ส่งผลเสียต่อร่างกายหรอก”
เมื่อสวี่ม่ายซุ่ยได้ยินหล่อนพูดแบบนี้ จึงไม่ได้พยายามจะโน้มน้าวอีก ทั้งสองแค่นั่งคุยกันสักพัก ก่อนจะพับเก็บม้านั่งและแยกย้ายกลับบ้าน
ในพริบตาเดียว เวลาก็มาถึงวันที่ 2 เดือนสิบเอ็ด ซึ่งเป็นวันแต่งงานของซูหมิง สวี่ม่ายซุ่ยตื่นนอนตั้งแต่ยังไม่ถึงตีสี่ พอหลินเจี้ยนเยี่ยได้ยินเสียงเธอลุกจากเตียง เขาก็ยกตัวขึ้นเล็กน้อยพลางถามว่า “คุณบอกว่าจะออกไปตอนหกโมงไม่ใช่เหรอ ทำไมคุณตื่นเช้าจังล่ะ?”
สวี่ม่ายซุ่ยแต่งตัวพลางตอบว่า “เซียงอวิ๋นต้องตื่นเช้ากว่านี้อีก ฉันเลยจะไปช่วยหล่อนแต่งหน้าน่ะ”
หลินเจี้ยนเยี่ยถามว่า “คุณแต่งหน้าเป็นด้วยเหรอ?”
สวี่ม่ายซุ่ยจัดเสื้อผ้าของตนแล้วหันมามองเขาพลางพูดว่า “แน่นอนอยู่แล้ว ฉันรู้มากกว่าที่คิดนะ”
หลินเจี้ยนเยี่ยมองไปที่เสื้อผ้าของสวี่ม่ายซุ่ยและถามด้วยความประหลาดใจ “คุณจะใส่ชุดนี้เหรอ?”
สวี่ม่ายซุ่ยก้มหน้าลงมองการแต่งกายของตน วันนี้เธอเลือกสวมเสื้อเชิ้ตสีขาว กระโปรงสีกรม ทับด้วยเสื้อกันลมและสวมรองเท้าส้นสูง เมื่อเธอยืนอยู่ภายใต้ชุดนั้นก็เปรียบเสมือนดอกบัวบาน ทั้งสง่าและงดงาม
“ทำไมเหรอ?”
“มันดูแปลกตาน่ะ ทำไมผมไม่เคยเห็นคุณใส่ชุดนี้มาก่อน?”
สวี่ม่ายซุ่ยตอบว่า “ก็ไม่เคยจัดงานแบบนี้ไง ช่างเถอะ คุณรีบนอนต่อเลย ส่วนฉันต้องไปแล้ว อ้อ ถ้าถึงเวลาคุณอย่าลืมปลุกลูกทั้งสองด้วยนะ”
หลินเจี้ยนเยี่ย “หลินเซียวก็ไปด้วยเหรอ?”
สวี่ม่ายซุ่ย “ไปสิ ฉันลาหยุดให้เขาแล้ว”
เมื่อตอนได้มีชีวิตกลับมาใหม่ ๆ สวี่ม่ายซุ่ยคิดว่าเธอมีข้อกำหนดที่เข้มงวดกับหลินเซียวมากเกินไป โดยบังคับให้เขาเรียนหนักและสอบเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้ ทว่าต่อมาเธอพบว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่เธอต้องการจริง ๆ มันเป็นเพราะสภาพแวดล้อมทั่วไปของยุคนี้ การเรียนของเด็กก็ไม่ต่างจากการเล่น ดังนั้นสวี่ม่ายซุ่ยจึงปล่อยวาง และเมื่อหลินเซียวขอให้เธอช่วยลาหยุด เธอก็เต็มใจ
“เจี้ยนจวินก็ไม่อยู่บ้าน คุณอย่าลืมทำอาหารเช้าให้พวกลูก ๆ ด้วยนะ” เมื่อพูดจบแล้วเธอก็เดินออกไปด้วยความเร่งรีบ
หลินเจี้ยนเยี่ยรีบเตือน “อย่าลืมเอาไฟฉายไปด้วย”
ในฤดูกาลนี้ ช่วงกลางวันสั้นและกลางคืนยาวนาน ทำให้เวลานี้ท้องฟ้าด้านนอกมืดมิดราวกับถ่าน รู้สึกว่าแม้แต่นิ้วมือของตนก็ยังมองไม่เห็น
หลินเจี้ยนเยี่ยมองออกไปข้างนอกแล้วลุกขึ้นเพื่อสวมรองเท้ากับสวมเสื้อผ้า เมื่อเขาออกไปข้างนอก สวี่ม่ายซุ่ยเพิ่งซักผ้าเสร็จแล้วกำลังเดินออกไป เมื่อเธอเห็นเขาตื่นขึ้นมา จึงถามด้วยความแปลกใจ “คุณลุกขึ้นมาทำไม?”
หลินเจี้ยนเยี่ยตอบว่า “ไม่มีอะไร ผมแค่จะเดินไปส่งคุณน่ะ”
แม้ว่าตอนนี้สวี่ม่ายซุ่ยไม่ได้กลัวเลย แต่หัวใจของเธอก็ยังเบิกบาน “ถ้างั้นฉันต้องรบกวนหัวหน้าหลินแล้วนะคะ”
สวี่ม่ายซุ่ยวางมือบนแขนของหลินเจี้ยนเยี่ยแล้วเดินออกจากบ้านพร้อมกัน เนื่องจากเวลานี้ยังไม่เช้า จึงไม่มีใครเดินผ่านมา หลินเจี้ยนเยี่ยก็ไม่ได้ชวนเธอคุย เมื่อทั้งสองเดินไปที่บ้านของหมาจื่อก็เห็นแสงสว่างส่องมาจากฝั่งตรงข้าม
“เวลานี้ยังมีใครออกไปเที่ยวอีกเหรอเนี่ย” สวี่ม่ายซุ่ยพึมพำโดยไม่ได้คิดมาก
ตอนนี้หลินเจี้ยนเยี่ยได้เห็นบุคคลที่กำลังเดินมาชัดเจนแล้ว เขาจึงลดเสียงลงตอบว่า “น่าจะเป็นหัวหน้าเฉินที่กลับมาจากเข้าเวรน่ะ”
สวี่ม่ายซุ่ยเงยหน้าขึ้นมองและเห็นว่าเป็นเขาจริง ๆ เธอเผลอขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว ซึ่งในเวลานี้หัวหน้าเฉินเดินมาถึงแล้วปรากฏแววแห่งความประหลาดใจเมื่อเห็นพวกเธอเช่นกัน “หัวหน้าหลิน พวกคุณมาทำอะไรตรงนี้?”
หลินเจี้ยนเยี่ยตอบว่า “วันนี้น้องสาวของหมาจื่อแต่งงาน เราจึงมาช่วยงาน แล้วคุณเพิ่งออกเวรเหรอ?”
เฉินเยวี่ยพยักหน้าพลางเอ่ย “ใช่ เพิ่งออกเวรดึกน่ะ”
หลินเจี้ยนเยี่ย “ถ้างั้นคุณก็รีบกลับไปพักผ่อนเถอะ พวกเราต้องไปแล้ว”
เฉินเยวี่ย “เชิญ”
หลังจากที่ทั้งสองเดินห่างออกไป เฉินเยวี่ยก็อดหันกลับไปมองไม่ได้ และเมื่อมองทั้งสองคนที่เดินเคียงข้างกันไปนั้น ก็ปรากฏร่องรอยของความอิจฉาฉายในแววตาของเขา หากเขามีภรรยาที่งดงามแบบนี้ เขาก็ยินดีที่จะเดินเคียงข้างหล่อนเช่นกัน แต่เมื่อเขานึกถึงภรรยาที่บ้านแล้วดวงตาของเฉินเยวี่ยก็มืดลงทันที
ตอนที่ครอบครัวเขายากจน นอกจากหล่อนแล้วก็ไม่มีใครอยากแต่งงานกับเขาเลย นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เขาได้ภรรยาไม่สวยแถมยังหุ่นไม่ดี ซึ่งไม่ตรงตามแบบที่เขาชอบเลย แต่ถ้าเขาอดทนกว่านี้ เขาอาจจะได้พบภรรยาแบบเพื่อนบ้านก็ได้ ยิ่งคิดก็ยิ่งน่าเสียดาย
เมื่อเดินมาได้ระยะหนึ่งแล้ว หลินเจี้ยนเยี่ยก็มองสวี่ม่ายซุ่ยแล้วถามว่า “ดูเหมือนคุณไม่ค่อยชอบเขาใช่ไหม?”
สวี่ม่ายซุ่ยก็ตอบตามตรงโดยไม่ได้ปิดบัง “ไม่ชอบ เพราะฉันมักจะรู้สึกว่าสายตาที่เขามองคนอื่นนั้นแปลก ๆ และกรุ้มกริ่มหน่อย ๆ น่ะ”
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
จะว่ายังไงดีล่ะ คนข้างบ้านเขาเล็งเมียพี่อยู่น่ะ เรื่องนี้พี่ต้องหูตาไวแล้วนะพี่เยี่ย
ชิวเฟิง
MANGA DISCUSSION