ตอนที่ 153 ฮวงจุ้ยไม่ดี
หลังจากเก็บกวาดเสร็จแล้วทั้งสามคนก็อารมณ์ดีขึ้นมา หู่จือหันไปเชิญชวนหลินเซียว “หลินเซียว ไปเก็บไข่นกกันเถอะ มีรังนกอีกรังหนึ่งอยู่บนต้นไม้ใหญ่หลังบ้านฉันน่ะ”
หลินเซียวได้ยินแล้วก็ตาเป็นประกาย แต่ทันใดนั้นเขาก็ตอบด้วยความผิดหวังว่า “ไม่ได้หรอก ฉันต้องกลับบ้านไปฝึกซ้อมน่ะ”
นับตั้งแต่พ่อเริ่มการฝึกศิลปะป้องกันตัวแล้วก็ไม่เคยหย่อนยานเลย แม้แต่ครั้งล่าสุดที่ฝนตกก็ยังต้องฝึกซ้อมในร่มเป็นเวลากว่าสองชั่วโมง
หู่จือพูดว่า “นายออกมาแล้ว ยังต้องกลับไปฝึกอีกเหรอ?”
หลินเซียวตอบว่า “ก็ใช่น่ะสิ ที่ฉันออกมาได้ เพราะหลังกินข้าวเสร็จจะได้พักหนึ่งชั่วโมงน่ะ เอาละ ฉันจะไม่เสียเวลาพูดกับพวกนายอีก เพราะฉันต้องไปแล้ว พวกนายอย่าลืมเอาของไปเก็บด้วย”
เมื่อพูดจบแล้วเขาก็รีบวิ่งกลับบ้าน
เครื่องมือที่พวกเขาใช้ก่ออาชญากรรมครั้งนี้ล้วนเป็นของหู่จือและจื้อเฉียง เนื่องจากบ้านของทั้งสองอยู่ไกลกว่า หากมีสิ่งใดเกิดขึ้น เฉินจินกังจะไม่สงสัยพวกเขาเลย
เมื่อหลินเซียววิ่งกลับบ้าน เขาก็บังเอิญพบกับเฉินจินหมิงซึ่งกลับมาจากการเก็บฟืน ทั้งสองแค่หยุดมองหน้ากันแวบเดียวแล้วต่างฝ่ายต่างเดินเข้าบ้านของตน
เมื่อหลินเซียวเข้าบ้านมาแล้ว หลินเจี้ยนจวินกับหลินฟานก็พร้อมฝึกแล้ว เมื่อเห็นหลินเซียวเดินเข้ามาพร้อมกับเหงื่อไหลไคลย้อย จึงถามด้วยเสียงเบา ๆ “นายไปทำอะไรมา?”
หลินเซียวตอบว่า “ไปบ้านหู่จือมาครับ”
รอจนกว่าหลินเจี้ยนเยี่ยจะออกมาแล้วได้เห็นเหงื่อบนใบหน้าของหลินเซียว เขาก็ทำแค่เหลือบมองและไม่ได้ถามคำถามใดเลย
“เมื่อทุกคนพร้อมแล้ว เราก็มาเริ่มกันเลย เริ่มจากทำท่านั่งม้าครึ่งชั่วโมง สำหรับหลินฟานให้ทำสิบห้านาที”
เนื่องจากหลินฟานยังเด็ก ทำให้สภาพร่างกายและกระดูกของเขาไม่แข็งแรงเท่าของหลินเซียว จึงให้เขาใช้เวลาเพียงครึ่งเดียว
ตอนที่หลินเซียวกำลังจะล้มลงจากท่านั่งม้า เขาก็เห็นร่างหนึ่งเดินกะโผลกกะเผลกผ่านประตูบ้านของเขาไป
แล้วจากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงร้องตกใจดังมาจากข้างบ้าน “แม่เจ้า เกิดอะไรขึ้นกับแกเนี่ย ไอ้สารเลวนั่นทุบตีแกจนแบบนี้เหรอ?”
เมื่อหลินเซียวได้ยินเสียงตื่นตระหนกจากข้างบ้าน เขาก็เลิกคิ้วขึ้นด้วยความภาคภูมิใจ ซึ่งหลินเจี้ยนเยี่ยสามารถจับปฏิกิริยาเล็ก ๆ นี้ไว้ได้
ที่ประตูถัดไป เฉินเยวี่ยนั่งบนเก้าอี้ด้วยท่าทางมึนตึง เมื่อมองผู้บาดเจ็บทั้งสามคนที่อยู่ข้าง ๆ เขาก็ตำหนิด้วยความโกรธ “ฉันเพิ่งย้ายมาที่นี่ได้แค่ไม่กี่วัน ดูพวกแกแต่ละคนสิ ช่วยหยุดสร้างปัญหาให้ฉันหน่อยได้ไหม”
แม่เฒ่าเฉินกลอกตาใส่แล้วเถียงว่า “ไม่มีใครอยากสร้างปัญหาให้แกหรอกนะ ฉันไม่เคยประมาท จินเป่าน่ะแกตีเขาได้คนเดียว ส่วนอาการบาดเจ็บของจินกังไม่ใช่อุบัติเหตุแน่ ๆ”
“จินกัง พวกเราเพิ่งมาที่นี่ได้ไม่กี่วัน แล้วแกไปทำให้ใครขุ่นเคืองจนโดนทุบตีแบบนี้ล่ะ?”
จินกังเงยหน้าขึ้นและมองพ่อด้วยความประหม่า จากนั้นก็ตอบด้วยความไม่แน่ใจ “ไม่มีนะครับ”
เฉินเยวี่ยเห็นลูกชายคนโตทำตัวแบบนี้ก็ตระหนักได้ทันทีว่ามีเบื้องลึกเบื้องหลัง “เฮอะ ฉันคิดว่าสมควรแล้วละ แกไปคบกลุ่มเพื่อนไม่ดีแล้วรังแกคนอื่นอีกใช่ไหม?”
จินกังพึมพำตอบไม่เต็มเสียงว่า “ไม่ใช่ครับ”
แม่เฒ่าเฉิน “เขาเพิ่งมาที่นี่แล้วจะรังแกใครได้อีก ฉันคิดว่าเกิดเรื่องพวกนี้เพราะบ้านเรามีฮวงจุ้ยไม่ดีต่างหาก”
“มีพวกตัวซวยอาศัยอยู่ข้าง ๆ เป็นกาลกิณีต่อครอบครัวของเราโดยเฉพาะ ไม่งั้นเราคงไม่เจอปัญหามากมายตั้งแต่เพิ่งย้ายมาที่นี่หรอก เจ้าใหญ่ แกลองไปถามผู้นำดูสิว่าจะสามารถหาบ้านหลังใหม่แก่เราได้ไหม? ฉันคิดว่าบ้านที่ปูกระเบื้องสีแดงและทาผนังสีขาวค่อนข้างดีกว่า แกลองไปถามดูสิ”
เฉินเยวี่ยขมวดคิ้วพลางเอ่ย “แม่ อย่าไปคิดถึงบ้านหลังนั้นเลย ตำแหน่งของผมยังไม่คู่ควร”
แม่เฒ่าเฉินพูดว่า “ก็มันเป็นบ้านว่าง แล้วทำไมเราจะอยู่ไม่ได้ แกมีความสัมพันธ์อันดีกับรองผู้บัญชาการโหวคนนั้นใช่ไหม งั้นแกก็ไปถามเลย”
เฉินเยวี่ยพูดว่า “ถามไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะบ้านเราก็ค่อนข้างดีอยู่แล้ว พวกเราแค่อยู่แบบสงบก็พอ”
แม่เฒ่าเฉินเบะปาก “ก็ได้ ฉันแค่คิดว่าบ้านหลังนี้มีฮวงจุ้ยไม่ดีไง”
เมื่อเห็นว่าแม่เฒ่าเฉินยังคงหมกมุ่นเรื่องนี้ เฉินเยวี่ยจึงตำหนิหล่อนด้วยสีหน้าหนักใจ “แค่คุยกันในครอบครัวของเราก็พอ เพราะช่วงนี้การตรวจสอบทวีความเข้มงวดขึ้น หากแม่สร้างปัญหา ก็อย่าตำหนิที่ผมไม่สามารถปกป้องแม่ได้นะ”
ปกติแม่เฒ่าเฉินมีอำนาจที่บ้านเสมอ แต่เมื่อได้ยินแบบนี้นางก็โกรธมากจนอดจะยกมือตบต้นขาและร้องไห้ไม่ได้ “ไอ้แก่ตายยากคุณเห็นไหม ทำไมคุณทิ้งฉันไปเร็วนักล่ะ คุณลืมตาขึ้นมามองลูกกตัญญูของคุณก่อนสิ เห็นไหมว่าฉันยังไม่ได้พูดอะไรเลย แต่เขาจะทิ้งฉันไว้คนเดียวแล้ว งั้นฉันจะมีชีวิตอยู่ทำไมล่ะ คุณมาพาฉันไปอยู่ด้วยเถอะ”
เฉินเยวี่ยเห็นว่าแม่กำลังร้องไห้เล่นปาหี่ สร้างปัญหาและแขวนคอตัวเอง ทำให้ใบหน้าของเขาแดงก่ำด้วยความโกรธ เขาหยิบหมวกแล้วเดินออกไปทันที พอแม่เฒ่าเฉินเห็นแบบนั้นก็ไม่สนใจที่จะร้องไห้อีก รีบถามเขาว่า “แกจะไปไหน?”
เฉินเยวี่ยตอบว่า “ไปเข้าเวรที่กลุ่ม”
ทันทีที่เฉินเยวี่ยเดินออกไป ใบหน้าของแม่เฒ่าเฉินก็เปลี่ยนไปทันที ก่อนจะดุด่าจางซุ่ยฟางว่า “ตระกูลเฉินของเราต้องเผชิญโชคร้ายมาแปดชั่วอายุคนจริง ๆ ทำไมเราถึงแต่งสะใภ้แบบเธอเข้ามากันนะ ดูหน้าตาของเธอสิ เหมือนคนอมทุกข์ตลอดเวลา ไม่มีวาสนาเลย”
จางซุ่ยฟางได้ยินคำดุด่าของแม่เฒ่าเฉินแล้วก็เผลอกำเสื้อผ้าของตนแน่นโดยอัตโนมัติ แม้ว่าภายนอกหล่อนจะดูอ่อนแอและทำตัวไม่ถูก แต่ในใจของหล่อนกำลังก่นด่าสาปแช่งด้วยความโกรธแค้น ‘แกนั่นแหละตัวอัปมงคล แกทำให้สามีตายตั้งแต่หนุ่ม ๆ และทำให้ลูกชายไร้อนาคต ถ้าฉันไม่ได้แต่งงานเข้ามาดูแลทั้งในบ้านนอกบ้าน ลูกชายของแกคงไม่ได้เป็นหัวหน้ากลุ่มและไม่มีอะไรเลย’
แม่เฒ่าเฉินดุด่าจางซุ่ยฟางอยู่พักหนึ่ง แต่อีกฝ่ายก็ไม่แสดงปฏิกิริยาใด ๆ เลย นางจึงเหนื่อยและด่าด้วยเสียงเย็นชาแทน “มัวยืนบื้อทำไมตรงนั้น เธอมาล้างเท้าให้ฉันเดี๋ยวนี้ แหม! ตาไม่คิดจะมองเชียวนะ ฉันไม่รู้จริง ๆ ว่าทำไมตอนนั้นฉันถึงชอบเธอ”
จางซุ่ยฟางทำได้เพียงช่วยล้างเท้าให้แม่เฒ่าเฉินในบ้านด้วยสีหน้าอัปยศอดสู
เฉินเยวี่ยเดินออกจากบ้านด้วยความโกรธ และทันทีที่เขาเงยหน้าขึ้น เขาก็เห็นผู้หญิงร่างผอมบางกำลังถือม้านั่งพับได้และเดินออกมาจากประตูถัดไป เขาก้าวเดินอยู่และสะดุ้งขึ้นมา ราวกับไม่อยากจะเชื่อเลยว่าภรรยาของหลินเจี้ยนเยี่ยสวยมาก
สวี่ม่ายซุ่ยมองสายตาที่จ้องมองมาโดยไม่สะทกสะท้านของเขา เธอจึงขมวดคิ้วใส่ แต่เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้สำนึก เธอจึงหันหลังและเดินไปข้างหน้า เฉินเยวี่ยก็ได้แต่มองตามเธอและยกมือปัดปลายจมูกช้า ๆ
ยิ่งมองตามแผ่นหลังของสวี่ม่ายซุ่ยที่เดินไกลออกไป หัวใจของเฉินเยวี่ยก็เต้นเร็วขึ้นเรื่อย ๆ แม้ว่าเขาจะดูน่าเกลียด แต่เขาก็มีความคิดของคางคกที่อยากกินเนื้อหงส์มาโดยตลอด น่าเสียดายที่ทั้งสองยังไม่คุ้นเคยกัน จึงไม่สามารถเดินตามและไปทักทายได้
แม้ว่าจะเป็นแค่การใช้สายตามอง แต่เขาก็ยังทำให้สวี่ม่ายซุ่ยรู้สึกเหนียวเหนอะหนะและน่าขยะแขยงได้ ซึ่งความรู้สึกน่ารังเกียจนี้ดีขึ้นหลังจากที่เธอไปรวมกลุ่มพูดคุยกับคนอื่น
ทันทีที่เธอหาที่นั่งได้ เธอก็เงยหน้าขึ้นมองและเห็นเฉินเยวี่ยยิ้มพร้อมพยักหน้าให้เธอ จากนั้นเขาก็เดินไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
สวี่ม่ายซุ่ย “…”
แม่ต้าไห่เป็นคนแรกที่อดนินทาไม่ได้ “นั่นคือหัวหน้าเฉินที่มาใหม่เหรอ? ม่ายซุ่ย เมื่อครู่นี้เขาทักทายเธอใช่ไหม?”
สวี่ม่ายซุ่ยขมวดคิ้วพลางเอ่ย “ดูเหมือนว่าจะเป็นหัวหน้าเฉินนะ แต่ฉันไม่เคยเห็นเขา ก็เลยไม่รู้ว่าเขาทักทายใครน่ะ”
แม่ต้าไห่ดูไม่เชื่อ “ก็เมื่อครู่นี้เธอสองคนเดินมา คนหนึ่งอยู่ข้างหน้า อีกคนเดินตามหลัง ยังไม่รู้จักกันเหรอ?”
สวี่ม่ายซุ่ยพูดว่า “ฉันไม่รู้จัก ฉันแค่เดินมาเรื่อย ๆ แต่ไม่รู้ว่ามีคนเดินตามหลังมาด้วยซ้ำ บางทีเขาอาจจะเคยเห็นฉันตอนที่ฉันคุยกับภรรยาของเขาน่ะ”
ภรรยาของหมาจื่อพูดว่า “อาสะใภ้ ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าเมื่อครู่นี้หัวหน้าเฉินทักทายเธอมากกว่าล่ะ เธอเคยเห็นเขามาก่อนไม่ใช่เหรอ?”
แม่หู่จือพูดว่า “อาสะใภ้ ฉันก็เห็นว่าเขาทักทายเธอเหมือนกันนะ”
เมื่อทุกคนพูดแบบนี้ แม่ต้าไห่ก็เกิดความลังเลเช่นกัน เพราะหล่อนนั่งใกล้กับสวี่ม่ายซุ่ย ถ้าไม่ถามเฉินเยวี่ยโดยตรงก็ไม่รู้จริง ๆ ว่าเขาทักทายใคร “อาจเป็นฉันจริง ๆ ก็ได้ พอพวกเธอพูดแบบนี้แล้ว ก็ดูเหมือนว่าฉันจะเคยเจอเขาจริง ๆ นั่นแหละ”
ภรรยาหมาจื่อพูดว่า “ใช่แล้วละ ฉันคิดว่าเขาแค่ทักทายเธอเฉย ๆ งั้นลองคิดดูว่าพวกเธอสองคนได้พบกันยังไง?”
……………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
รู้ว่าฮวงจุ้ยไม่ดีก็รีบย้ายค่ะ อย่ามาอยู่ใกล้ ๆ บ้านเขาเลย
ชิวเฟิง
MANGA DISCUSSION