ตอนที่ 98 ร่ำรวย
“แม่เจ้าโว้ย! แอปเปิลมากมายแบบนี้พวกเราจะกินได้นานขนาดไหนกันเนี่ย?”
แต่สิ่งที่สวี่ม่ายซุ่ยคิดอยู่ก็คือ หากขายแอปเปิลจำนวนมากพวกนี้จะทำเงินได้มากเท่าไร
ในชีวิตก่อนเธอมีความคิดแบบเดียวกับหลี่ต้านี คือคิดแค่ว่าจะเก็บไว้กินได้นานแค่ไหน แต่ไม่เคยคิดที่จะขายมันเลย
แม้ว่าครอบครัวของเธอจะกินแอปเปิลหลังมื้อค่ำ และมื้อต่อ ๆ ไปก็ยังกินอีก ทว่าสุดท้ายแอปเปิลก็เน่าก่อนจะกินหมดอยู่ดี ซึ่งทำให้เธอเสียดายมาก
แต่ในชีวิตนี้เธอจะขนพวกมันทั้งหมดไปที่ตลาดมืดเพื่อขายแลกเงิน
“พี่สะใภ้ มีแอปเปิลเยอะมาก พี่คิดว่าเราทั้งสองครอบครัวจะกินหมดเหรอ?”
หลี่ต้านีส่ายหน้าทั้งที่ยังเหม่อลอย “ไม่มีทางกินหมดหรอก”
สวี่ม่ายซุ่ยพูดต่อ “พี่คิดยังไงถ้าเราจะขนพวกมันไปขายที่ตลาดมืด?”
เมื่อได้ยินแบบนี้แล้ว หลี่ต้านีก็อ้าปากกว้างยิ่งกว่าตอนที่หล่อนได้เห็นต้นแอปเปิลเมื่อครู่ “ขายเหรอ?”
“แต่มันผิดกฎหมายนะ เธอไม่กลัวโดนจับเหรอ?” หลี่ต้านีพูดด้วยความตื่นตระหนก
สวี่ม่ายซุ่ยตอบว่า “ไม่เป็นไรหรอก ในตลาดมืดมีคนเยอะแยะ ไม่มีใครโดนจับหรอก”
หลี่ต้านีพูดว่า “ยังไงก็ไม่ได้ เหมือนที่พูดกันว่าหนึ่งหมื่นไม่กลัว กลัวหนึ่งในหมื่น*[1]นั่นแหละ อย่าลืมว่าคนในตลาดมืดทำอะไร และไม่สำคัญว่าเราจะโดนจับไหม แต่ถ้าเราเข้าไปพัวพันพวกเขาล่ะ?”
สวี่ม่ายซุ่ยพูดว่า “ถ้างั้นพี่จะยืนมองแอปเปิลเน่าไปต่อหน้าต่อตาเหรอ?”
เมื่อเธอพูดแบบนี้แล้ว หลี่ต้านีก็รู้สึกคิดหนักขึ้นมาอีกครั้ง สวี่ม่ายซุ่ยมองหล่อนแล้วยิ้มปลอบใจ “พี่อย่ากังวลเลย ฉันมีวิธีที่จะไม่ทำให้พวกเราถูกจับ”
หลี่ต้านีมองไปที่ท่าทางมั่นใจของสวี่ม่ายซุ่ย เมื่อคิดว่าเธอพาหล่อนมาที่นี่ ทำให้หล่อนลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ก็ได้ ฉันจะทำตามที่เธอบอกนั่นแหละ”
สวี่ม่ายซุ่ยพูดต่อ “เอาละ ตอนนี้มีแค่เราสองคนที่รู้เรื่องนี้ พี่ห้ามบอกพี่ใหญ่จ้าวเด็ดขาด”
เมื่อได้ยินแล้วหลี่ต้านีก็ลังเล “จะไม่บอกเขาได้ไง? เขาเป็นสามีของฉันนะ”
สวี่ม่ายซุ่ยมองหล่อนด้วยความดูแคลน “แล้วถ้าพี่บอกเขา ยังคิดว่าเขาจะยอมให้พวกเราทำไหมล่ะ?”
เมื่อหลี่ต้านีได้ยินแบบนี้แล้ว หล่อนจึงกัดฟันแล้วตอบว่า “ก็ได้ ฉันจะไม่บอกเขา”
ด้วยเหตุนี้ผู้หญิงทั้งสองคนจึงมีความลับปิดบังครอบครัว และเนื่องจากวางแผนที่จะขายแอปเปิล พวกเธอจึงเลือกเก็บแค่ผลสวย ๆ ใหญ่ ๆ ซึ่งไม่นานก็เก็บได้เต็มกระบุง
หลี่ต้านีสะพายกระบุงหนัก ๆ ไว้บนหลังพลางมองสวี่ม่ายซุ่ยแล้วถามว่า “ม่ายซุ่ย เราจะไปกันเมื่อไรล่ะ?”
เพื่อจะปิดบังจากสายตาคนอื่น พวกเธอยังเอาหญ้าจำนวนหนึ่งกลบบนกระบุงสะพายหลังด้วย ทำให้คนที่ไม่รู้ก็คิดว่าพวกเธอขึ้นเขาเพื่อเกี่ยวหญ้ามาเลี้ยงสัตว์
สวี่ม่ายซุ่ยตอบว่า “ค่อยไปหลังกินข้าวเสร็จ”
หลี่ต้านีถามต่อด้วยความลังเล “มันไม่เร็วเกินไปเหรอ ฉันยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตลาดมืดอยู่ที่ไหน”
สวี่ม่ายซุ่ยยืนยัน “แต่ฉันรู้”
หลี่ต้านีได้ยินแล้วรู้สึกประหลาดใจมาก “เธอรู้เรื่องพวกนี้ด้วย จะเก่งเกินไปแล้วนะ”
สวี่ม่ายซุ่ยกล้าเปิดเผยกับหลี่ต้านีมากมาย เพราะจ้าวเป่ากั๋วกับหลินเจี้ยนเยี่ยเปรียบเสมือนพี่น้องร่วมเป็นร่วมตาย และอาชีพทางการเมืองของชายสองคนก็มีความสัมพันธ์กันใกล้ชิด จึงไม่มีการพูดถึงคำว่าทรยศใด ๆ ทั้งสิ้น
สวี่ม่ายซุ่ย “ฉันก็แค่เจอเข้าโดยบังเอิญน่ะ”
หลี่ต้านีเริ่มให้ความสนใจขึ้นมาบ้างแล้ว “เธอไปเจอที่ไหน? แล้วมีคนเยอะไหม ราคาข้าวของที่ขายนั้นถูกกว่าในสหกรณ์กับในตลาดหรือเปล่า?”
สวี่ม่ายซุ่ยอธิบาย “จะเป็นงั้นได้ไง เพราะตลาดมืดเต็มไปด้วยสินค้าหายาก ย่อมมีราคาแพงกว่าที่สหกรณ์กับท้องตลาดมาก”
หลี่ต้านีคิดตามแล้วก็ยกมือตบหัวตัวเอง “สมองของฉันนี่นะ ลืมไปเลยว่าตลาดมืดไม่ต้องใช้คูปอง”
สวี่ม่ายซุ่ยเดินตามหลังหลี่ต้านีพลางมองไปที่กระบุงใบใหญ่บนหลังของอีกฝ่ายแล้วถามว่า “พี่สะใภ้ ฉันฝากแอปเปิลไว้ที่บ้านพี่ได้ไหม? พอดีว่าฉันมีครอบครัวใหญ่ กลัวว่าจะไม่ปลอดภัยน่ะ”
หลินเซียวหลินฟานยังเด็กทั้งคู่ จึงมีพวกสหายตัวน้อยมาเล่นด้วยที่บ้านทุกวัน หากทิ้งสิ่งใดไว้ก็จะไม่ปลอดภัย
หลี่ต้านีครุ่นคิดแล้วตอบตกลงทันที “อืม เก็บไว้บ้านฉันเถอะ ฉันมีที่เก็บ”
สวี่ม่ายซุ่ยตอบรับ “ไม่ต้องห่วงเรื่องอื่น พี่แค่ต้องอดใจไว้และห้ามบอกพี่ใหญ่จ้าวเด็ดขาด”
หลี่ต้านีตอบว่า “เธอไม่ต้องกังวล ฉันสัญญาว่าจะไม่บอกเขา ที่สำคัญคือวันนี้เขาเข้าเวร ตอนเที่ยงจึงไม่กลับมาน่ะ”
โชคดีเขาไม่กลับมาตอนเที่ยง มิฉะนั้นหล่อนก็ไม่สามารถรับประกันได้จริง ๆ ว่าจะปกปิดได้
สวี่ม่ายซุ่ยได้ยินคำยืนยันของหลี่ต้านีแล้วก็รู้สึกโล่งใจ ทั้งสองจึงเร่งฝีเท้าแล้วรีบกลับบ้าน
โชคดีที่พวกเธอกลับมาตอนเที่ยง ทำให้ชาวบ้านทุกคนกำลังทำอาหารที่บ้านและไม่ได้ออกมาพบปะผู้คนตามท้องถนน
หลี่ต้านีเปิดประตูลานบ้านและเขย่งปลายเท้าเดินไปที่ห้องเก็บของพร้อมสวี่ม่ายซุ่ย
“วางของไว้ที่นี่แหละ ฉันเป็นคนเดียวที่มาห้องนี้ พวกเขาไม่เข้ามาหรอก”
สวี่ม่ายซุ่ยเห็นว่าหลี่ต้านีซ่อนกระบุงแอปเปิลทั้งสองไว้ใต้เศษของเก่า เธอก็รู้สึกโล่งใจแล้วพูดว่า “พี่สะใภ้ เดี๋ยวฉันจะกลับบ้านไปทำอาหารก่อน แล้วฉันจะมาเรียกทีหลังนะ”
คำพูดของสวี่ม่ายซุ่ยยังไม่ทำให้หลี่ต้านีคลายกังวล หล่อนจับชายเสื้อไว้แน่นพลางเอ่ยว่า “อืม ฉันจะรอเธออยู่ที่บ้านนะ”
เมื่อคุยกับหลี่ต้านีเสร็จ สวี่ม่ายซุ่ยก็วิ่งกลับบ้าน เพราะช่วงนี้อากาศร้อนจึงต้องออกไปขายเร็วหน่อยเพื่อความอุ่นใจ
ทันทีที่เธอกลับถึงบ้าน หลินเซียวที่รอฟังเสียงอยู่ เมื่อได้ยินเสียงดังจึงรีบออกมาดู จากนั้นเขาก็ดึงเธอเข้ามาในบ้านและถามด้วยความจริงจังทั้งที่ยังไม่หยุดเดิน “แม่กลับมาแล้ว แต่แม่รู้ไหมว่าตอนนี้ข้างนอกพูดกันว่าไงบ้าง?”
สวี่ม่ายซุ่ยถามด้วยความใจเย็น “ลูกกำลังพูดถึงเรื่องของอาเล็กกับหลิวซุ่ยใช่ไหม?”
หลินเซียวพยักหน้า “ใช่ครับ ตอนนี้มีคนบอกว่าอาเล็กของผมเป็นเฉินซื่อเหม่ย*[2]”
สวี่ม่ายซุ่ยได้ยินแล้วก็โกรธจนขบเคี้ยวฟัน “พูดกันได้ไร้ยางอายมาก อย่าให้ฉันเจอคนพวกนั้นนะ ฉันจะฉีกหน้าให้แหกเป็นชิ้น ๆ เลย”
“แล้วตอนนี้อาเล็กอยู่ไหน?”
หลินเซียวตอบว่า “อาเล็กไปทำงานแทนแม่ ตอนนี้ยังไม่กลับมาครับ”
ช่วงสองวันนี้เป็นเวรของสวี่ม่ายซุ่ยต้องไปทำงานที่ยุ้งฉาง ซึ่งหลินเจี้ยนจวินออกไปทำแทนเธอ
สวี่ม่ายซุ่ยสั่งลูกชาย “ลูกไปเรียกอาเล็กกลับบ้าน เดี๋ยวแม่จะทำอาหารรอ”
เมื่อได้ยินคำสั่งของสวี่ม่ายซุ่ยแล้วหลินเซียวก็ตอบรับและกำลังจะวิ่งออกไป แต่สวี่ม่ายซุ่ยรีบคว้าแขนของเขาแล้วถามว่า “ไม่ต้องรีบ แล้วเรื่องที่แม่สั่งให้ลูกถามต้าเฉียงล่ะ?”
หลินเซียวขมวดคิ้วพลางเอ่ย “ต้าเฉียงไม่รู้อะไรมากนัก ยกเว้นเรื่องที่พี่สาวของเขากลับบ้านพร้อมใบหน้าช้ำ ๆ และทะเลาะกับแม่ของหล่อนเมื่อวานนี้ พอถึงตอนเช้าแม่เขาดูอารมณ์ดีผิดปกติ แต่พ่อและพี่สาวของเขาดูไม่มีความสุขเอาซะเลยครับ”
หลังจากได้ยินแล้ว สวี่ม่ายซุ่ยก็คิดว่าเรื่องนี้คล้าย ๆ กับที่ภรรยาของหมาจื่อพูด “อืม แม่เข้าใจแล้ว ตอนนี้ลูกไปตามอาเล็กเถอะ”
ทันทีที่หลินเซียวจากไป สวี่ม่ายซุ่ยก็เดินเข้าครัว และในขณะที่มองหาวัตถุดิบ เธอก็นึกคาดเดาความคิดแท้จริงของแม่ต้าเฉียง
เธอพอจะเข้าใจได้ว่าทำไมอยู่ ๆ อีกฝ่ายถึงยอมรับ แต่เธอไม่เข้าใจว่าทำไมหล่อนต้องวิตกกังวลขนาดนั้น เพราะถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ หล่อนควรทำตัวเงียบ ๆ สักพัก แล้วค่อยดำเนินการต่อ ทว่าหล่อนจะร้อนใจไปทำไม
หลังจากได้ยินคำพูดของภรรยาหมาจื่อ เธอก็พอจะเดาได้ เพราะตอนนั้นภรรยาของหมาจื่อเล่าว่าหลิวซุ่ยเดินอยู่บนท้องถนนด้วยสภาพสิ้นหวัง หมายความว่า…
นอกจากภรรยาของหมาจื่อแล้ว ก็ควรจะมีคนอื่นที่เห็นภาพนั้นด้วย ทำให้เฉียนเสี่ยวเหลียนกลัวว่าข่าวซุบซิบจะแพร่กระจายออกไปไกลและทำลายชื่อเสียงของหลิวซุ่ย หล่อนจึงอยากใช้ประโยชน์จากพวกเธอ
ซึ่งหลินเจี้ยนจวินคือตัวเลือกที่ดีที่สุด ประการแรกคือทั้งสองเคยนัดดูตัวกัน ซึ่งทำให้เกิดความยุ่งยากขึ้นมากแล้ว
ประการที่สองคือหล่อนไม่พบใครที่ดีไปกว่าหลินเจี้ยนจวินอีก
แต่เนื่องจากเธอไม่เห็นด้วย ทำให้เฉียนเสี่ยวเหลียนเผยแพร่ข่าวลือเพื่อกดดันพวกเธอ เมื่อรวมกับหน้าที่การงานของหลินเจี้ยนเยี่ย บางทีมันอาจจะได้ผล
แต่ถ้าเธอยังคงไม่เห็นด้วย และความคิดเห็นของชาวบ้านไม่มีผล เฉียนเสี่ยวเหลียนจะทำยังไงต่อ? ซึ่งตอนนี้สวี่ม่ายซุ่ยกำลังใช้สมองคิดวิเคราะห์เรื่องนี้
ทันใดนั้นก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นในลานบ้าน “แม่ครับ อาเล็กกลับมาแล้ว”
สวี่ม่ายซุ่ยจึงกลับมามีสติอีกครั้ง ในขณะที่หั่นผักวางไว้บนจาน เธอก็ตอบรับว่า “อืม แม่จะเร่งมือจะทำอาหารตอนนี้เลย”
[1] หนึ่งหมื่นไม่กลัว กลัวหนึ่งในหมื่น หมายถึง กันไว้ดีกว่าแก้
[2] เฉินซื่อเหม่ย ตัวแทนของผู้ชายที่พอได้ดีก็ทรยศภรรยา
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ขออย่างเดียวว่าหลี่ต้านีอย่าปากสว่าง ไม่งั้นแผนหาเงินสะดุดแน่
ม่ายซุ่ยจะแก้ปัญหาที่แม่ต้าเฉียงก่อไว้ยังไงดี
ชิวเฟิง
MANGA DISCUSSION