ตอนที่ 85 ตัดปัญหา
“ฉันไม่เคยได้ยินเลยว่าครอบครัวที่มีลูกชายลูกสาวอยู่แล้วจะขอให้ภรรยาของหลานชายกลับมาดูแลยามเจ็บป่วย”
หลังจากได้ยินแบบนี้แล้ว ภรรยาของผู้บังคับการโหวก็ค่อย ๆ ยิ้มประดักประเดิดให้สวี่ม่ายซุ่ย “นั่น…”
เด็กที่ได้รับการเลี้ยงดูเป็นบุตรบุญธรรมในพื้นที่ชนบทจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับครอบครัวแท้ ๆ ของตน หากหล่อนยังคงโต้เถียงและไม่อาจหาคำอธิบายให้ชัดเจนได้ ก็จะเป็นตัวเองที่หน้าแตก และไม่มีใครยอมเดือดร้อนเพื่อคนอกตัญญูคนหนึ่งหรอก
ภรรยาของผู้บัญชาการเจิ้งก็พูดว่า “คนบ้านเจี้ยนเยี่ย แล้วเธอแน่ใจเหรอว่าสามีของเธอมีลุงใหญ่ของเขาเป็นคนเลี้ยงดู?”
สวี่ม่ายซุ่ยพยักหน้าด้วยท่าทางหนักแน่น “พี่สะใภ้ ฉันแน่ใจค่ะ และสามีของฉันได้ผ่านพิธีการต่าง ๆ อย่างถูกต้องเมื่อตอนที่ถูกลุงใหญ่รับเลี้ยง ซึ่งเรื่องนี้ไปสอบถามในหมู่บ้านได้ และทะเบียนบ้านปัจจุบันของเขาก็เป็นที่บ้านลุงใหญ่ด้วย”
แต่เดิมภรรยาของผู้บัญชาการเจิ้งมาจากครอบครัวที่ร่ำรวย ซึ่งในยุคนี้หล่อนเสี่ยงต่อการถูกวิพากษ์วิจารณ์มาก แต่บรรพบุรุษของหล่อนมองการณ์ไกล ในขณะนั้นจึงทำการบริจาคเงินและยาให้กับพวกพ้อง และหล่อนก็ถือเป็นแนวหน้าในการปฏิวัติโดยก่อตั้งองค์กรสิทธิสตรีของประชาชนขึ้นมา ทำหน้าที่ให้การรักษาผู้บาดเจ็บ ส่งอาหารและยา ทั้งยังช่วยดูแลลูก ๆ ให้กับทหาร เรียกได้ว่าความสำเร็จของหล่อนก็ไม่ด้อยไปกว่าผู้บัญชาการเจิ้งเลย
หลังจากทำตัวเองให้ยากลำบากต่อสายตาทุกคนในวันนั้นแล้ว หล่อนก็ถอยมาอยู่เบื้องหลัง และกลายเป็นผู้สนับสนุนอันแข็งแกร่งของผู้บัญชาการเจิ้ง
“เอาละ เธออย่าเถียงกันเลย และเรื่องนี้เธอก็พูดถูก ในเมื่อหล่อนมีลูกชายลูกสาว ทางองค์กรก็จะไม่ทำให้หลินเจี้ยนเยี่ยลำบากเพราะเรื่องประเภทนี้ด้วย”
ดวงตาของสวี่ม่ายซุ่ยเป็นประกายทันที “พี่สะใภ้พูดจริงใช่ไหมคะ?”
ทันทีที่เธอพูดจบ หลี่ต้านีก็ผลักเธอแล้วพูดว่า “เธอเสียสติไปแล้วเหรอ ใครบ้างจะไม่รู้ว่าพี่สะใภ้เจิ้งของเรามีวาจาศักดิ์สิทธิ์ และรักษาคำพูดมาก ๆ จะยังหลอกเธอได้ไงล่ะ ถึงขั้นนี้แล้วทำไมเธอยังไม่รีบขอบคุณพี่สะใภ้เจิ้งอีก”
เมื่อหลี่ต้านีพูดแบบนี้แล้ว สวี่ม่ายซุ่ยก็รีบเอ่ยอย่างเชื่อฟัง “ขอบคุณค่ะพี่สะใภ้”
ภรรยาของผู้บัญชาการเจิ้งพูดว่า “พวกเธอพอได้แล้ว ที่พวกเธอเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยแบบนี้คิดว่าฉันไม่รู้จุดประสงค์แท้จริงของพวกเธอเหรอ”
เมื่อสวี่ม่ายซุ่ยโดนรู้ทัน เธอก็เลิกแสดงท่าทางโกรธเคือง และยิ้มขัดเขินให้อีกฝ่ายแทน
ภรรยาของผู้บังคับการโหวที่อยู่ข้าง ๆ เห็นว่าหล่อนเข้ามาแทรกแซง สายตาจึงฉายแววไม่พอใจ “พี่สะใภ้ แต่ฉันไม่คิดว่าจะจัดการแบบนี้ได้หรอกนะ”
“ต่อให้หลินเจี้ยนเยี่ยจะถูกคนอื่นเลี้ยงดู แต่ยังไงแม่เฒ่าก็เป็นมารดาผู้ให้กำเนิดของเขา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าพวกเขาเพิกเฉยก็จะอกตัญญูเกินไปหน่อย และมันไม่เป็นผลดีต่องานการเมืองในอนาคตด้วย ถ้าคนอื่นเลียนแบบขึ้นมามันจะเละเทะขนาดไหนเชียว?”
พี่สะใภ้เจิ้งได้ยินสิ่งที่ภรรยาของผู้บังคับการโหวพูดแล้ว จึงขมวดคิ้วโดยอัตโนมัติ “หงเสีย ฉันจำได้ว่าแม่สามีของเธอก็ปฏิบัติไม่ดีต่อเธอใช่ไหม? เธอก็เถียงว่าไม่อยากเลี้ยงหล่อนยามบั้นปลายใช่ไหม?”
ภรรยาของผู้บังคับการโหวยิ้มแห้ง “นั่นเป็นคำพูดของเด็ก ตอนนั้นฉันยังไม่บรรลุนิติภาวะด้วยซ้ำ”
พี่สะใภ้เจิ้งย้อนถามว่า “แล้วเธอคิดว่าสหายสวี่แก่กว่าเธอเหรอ? เป็นเรื่องจริงที่องค์กรสอนให้เรามีความกตัญญู แต่ก็มีขอบเขตของคำว่ากตัญญูระบุเอาไว้ ถ้าพ่อแม่อยากให้เธอตาย แล้วเธอยังทำตาม นั่นก็เรียกว่าความกตัญญู แต่เป็นความกตัญญูที่โง่เขลาไงละ เอาละ… เธอกลับไปบอกผู้บังคับการโหวว่าเขาควรวางมือจากเรื่องนี้ไปซะ”
แม้ภรรยาของผู้บังคับการโหวได้ยินแบบนี้แล้วยังอยากจะพูดต่อ แต่เมื่อเห็นว่าพี่สะใภ้เจิ้งเบือนหน้าหนีไปมองเวทีแสดงอย่างตั้งใจ หล่อนก็อึดอัดราวกับไฟสุมทรวง
เมื่อเห็นว่าภรรยาของผู้บังคับการโหวแพ้ย่อยยับ หลี่ต้านีก็สะกิดสวี่ม่ายซุ่ยพลางขยิบตาให้ “เธอสุดยอดเลย! ปัญหาที่ทั้งเหล่าจ้าวและเจี้ยนเยี่ยแก้ไขไม่ได้ เธอกลับแก้ไขได้แบบง่ายดาย”
สวี่ม่ายซุ่ยชี้ไปที่ศีรษะของหลี่ต้านีแล้วถามว่า “รู้ไหมว่านี่คืออะไร?”
หลี่ต้านีย้อนถาม “อะไร?”
สวี่ม่ายซุ่ยตอบสั้น ๆ ว่า “สมองไงละ”
หลี่ต้านี “…”
หลังจากได้รับคำมั่นสัญญาจากพี่สะใภ้เจิ้งแล้ว อารมณ์ของสวี่ม่ายซุ่ยก็ดีขึ้นมาแบบทันตาเห็น เธอจึงจะกลับไปนั่งชมการแสดงต่อ แต่ไม่คาดคิดว่าทันทีที่เดินผ่านมาก็เห็นหลินเจี้ยนจวินมองมาที่เธอด้วยสายตากังวล “พี่… พี่สะใภ้”
เมื่อเห็นเขาเป็นแบบนี้ สวี่ม่ายซุ่ยก็ตระหนักได้ว่าเมื่อครู่เธอทำให้เขากลัว และในตอนที่เธอกำลังจะอธิบาย ไต้ฉิงก็เอื้อมมือมาดึงเขาลงทันที
“นายโง่หรือเปล่าเนี่ย เมื่อครู่นี้ก็แค่การแสดงบทหนึ่งเท่านั้น”
หลินเจี้ยนจวินเงียบทันที เขารู้ว่าพี่สะใภ้กำลังเสแสร้งอยู่ แต่ก็ยังแอบกลัวว่าพี่สะใภ้จะรำคาญจริง ๆ แล้วอยากไล่เขาออกไป
เมื่อสวี่ม่ายซุ่ยสังเกตเห็นอาการเศร้าหมองของหลินเจี้ยนจวินแล้ว ในจังหวะที่กำลังจะเดินผ่านเขาไป เธอก็ตบไหล่เขาแล้วพูดว่า “อย่าเก็บมาใส่ใจเลยนะ”
เมื่อได้ยินแบบนี้แล้ว หลินเจี้ยนจวินก็เงยหน้าขึ้นมองสวี่ม่ายซุ่ยทันที และเห็นว่าพี่สะใภ้เดินเข้ามาแล้วไปนั่งอยู่ข้าง ๆ แม่หู่จือพลางสนทนากัน
ไต้ฉิงสังเกตเห็นว่าหลินเจี้ยนจวินกำลังฟุ้งซ่าน หล่อนจึงปลอบใจเขา “เอาละ อย่าคิดมากเลยนะ พี่สาวไม่ใช่คนแบบนั้นเด็ดขาด”
หลินเจี้ยนจวินพูดว่า “ฉันรู้แล้ว”
ไต้ฉิงถามต่อ “งั้นนายช่วยเล่าหน่อยได้ไหมว่าแม่ของนายเป็นคนแบบไหน? ทำไมพี่สาวถึงเกลียดหล่อนมากขนาดนั้น?”
หลินเจี้ยนจวินกำลังอยากได้หน้าต่างระบายความในใจพอดี หลังจากได้ยินคำถามของไต้ฉิงแล้วเขาก็เล่าเรื่องครอบครัวให้หล่อนฟังทุกเรื่อง
“นี่มันยุคไหนแล้วยังมีคนจิตใจเลวทรามขนาดนี้อีกเหรอ นายสองคนเป็นลูกแท้ ๆ ของแม่หรือเปล่าเนี่ย?” ไต้ฉิงกำหมัดแน่นพลางก่นด่าด้วยความโกรธ
ได้ยินแบบนี้แล้วหลินเจี้ยนจวินก็ยิ้มขมขื่น เพราะเขาไม่ใช่คนแรกที่ถามตัวเองด้วยคำถามนี้ ถึงแม้เขาจะเคยสงสัย แต่ผลลัพธ์ก็ตรงกันข้ามกับที่คาดไว้ คือเขาและพี่ชายต่างก็เป็นลูกแท้ ๆ ทางสายเลือด
“เป็นลูกแท้ ๆ น่ะ”
หลังจากได้ยินคำตอบแล้ว ไต้ฉิงก็มองเขาด้วยความเห็นอกเห็นใจ “ถ้าพี่สาวไม่เรียกนายมาที่นี่ ตอนนี้นายก็ยังทำงานหนักที่บ้านนั้นใช่ไหม?”
มากกว่าการทำงานหนักคืออาจจะตายได้เลย
“อืม”
“นายน่าสงสารมากจริง ๆ ที่มีแม่แบบนี้” ไต้ฉิงพูดแบบนี้แล้วก็ยกมือตบไหล่ของเขาเพื่อปลอบใจ จากนั้นก็พูดเสริมด้วยรอยยิ้มว่า “แต่นายก็โชคดีมาก ๆ ที่มีพี่สะใภ้แสนวิเศษแบบนี้”
เมื่อหลินเจี้ยนจวินหวนนึกถึงว่ารองเท้าคู่แรกและเสื้อผ้าใหม่ชุดแรกของเขาล้วนเป็นฝีมือของพี่สะใภ้ ทันใดนั้นหัวใจก็อุ่นซ่านขึ้นมาทันที
“นั่นนับว่าโชคดีจริง ๆ”
ไต้ฉิงยิ้มเอ่ย “แล้วตอนนี้นายสบายใจหรือยัง?”
หลินเจี้ยนจวิน “ดีขึ้นแล้ว เธอมีอะไรเหรอ?”
ไต้ฉิงขมวดคิ้วพลางเอ่ย “ฉันเจ็บเท้านิดหน่อย อยากกลับไปก่อนแล้วน่ะ”
หลินเจี้ยนจวินฟังด้วยความกังวลใจแล้วถามทันที “ร้ายแรงมากไหม ต้องไปศูนย์อนามัยหรือเปล่า?”
ไต้ฉิงหัวเราะผ่อนคลาย “ก็ไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้น ฉันแค่อยากกลับไปพักผ่อนน่ะ”
หลินเจี้ยนจวินขันอาสา “ถ้างั้นฉันจะพาเธอไปส่งนะ” พูดจบแล้วเขาก็ช่วยประคองไต้ฉิงให้เดินจากไปด้วยความระมัดระวัง
แม่หู่จือก็มองตามภาพนั้นไปด้วย หล่อนกระทุ้งศอกไปทางสวี่ม่ายซุ่ยแล้วถามว่า “นี่… ความสัมพันธ์ระหว่างน้องสามีของเธอกับสาวน้อยคนนั้นเป็นยังไงกันแน่?”
สวี่ม่ายซุ่ยมองไปยังทิศทางที่แม่หู่จือจ้องมอง เธอจึงเห็นทั้งสองคนเดินเคียงข้างกันไปพลางก้มหน้ากระซิบกระซาบกันด้วย ดูสนิทสนมกลมเกลียวเป็นอย่างมาก
สวี่ม่ายซุ่ยตอบว่า “ฉันจะรู้ได้ไง ทำไมเธอไม่ไปถามเองล่ะ?”
แม่หู่จือกลอกตาใส่เธอด้วยความเบื่อหน่าย “พี่สะใภ้แบบพี่ยังไม่ถามเลย แล้วทำไมฉันต้องถามล่ะ”
“แต่ทั้งสองคนทำเช่นนี้ หมายความว่าซุ่ยซุ่ยและน้องสามีของพี่หมดหวังแล้วใช่ไหม?”
สวี่ม่ายซุ่ยแย้งว่า “เธออย่าพูดเหลวไหลเชียว เธอก็รู้ทั้งรู้ว่าพี่สะใภ้หลิวดูถูกเจี้ยนจวินขนาดไหน”
แม่หู่จือพึมพำบ่น “เมื่อก่อนหล่อนไม่ชอบ ก็ไม่ได้หมายความว่าในอนาคตจะไม่ชอบเหมือนเดิมนะ”
สวี่ม่ายซุ่ยขมวดคิ้วพลางเอ่ยถาม “เธอหมายความว่าไง?”
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
โดนแม่ใหญ่สั่งสอนไปหนึ่งดอก หน้าสั่นเลยไหมป้า ก็นั่นแหละ ป้าไม่เคยเจอชีวิตดี ๆ มันก็จะตกใจบ้างเวลาคนอื่นเขามีชีวิตดี ๆ เป็นอิสระจากแม่สามีตัวร้ายอะ
ชิวเฟิง
MANGA DISCUSSION