ตอนที่ 81 ซูเจวียนแอบอ่านจดหมายของสวี่ม่ายซุ่ย
ได้ยินคำพูดของหลินเจี้ยนเยี่ยแล้ว สวี่ม่ายซุ่ยก็ทำได้แค่กลอกตาแบบหมดคำจะพูด และทันใดนั้นก็มีเสียงตะโกนดังขึ้นจากด้านนอก “พี่เจี้ยนเยี่ย พี่อยู่บ้านไหมน่ะ?”
เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่แฝงไว้ด้วยความเสน่หานี้แล้ว สวี่ม่ายซุ่ยก็กลอกตามองบนและทำตัวล้อเลียนมากขึ้น จีบปากจีบคอพูดกับหลินเจี้ยนเยี่ยว่า “พี่เจี้ยนเยี่ย น้องสาวสุดที่รักของคุณมาตะโกนเรียกนั่นน่ะ คุณรีบออกไปดูสิ”
หลินเจี้ยนจวินที่อยู่ข้าง ๆ มองสถานการณ์น่าหัวเราะของพี่ชายและพี่สะใภ้ก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ และทันใดนั้นก็รู้สึกถึงสายตาอำมหิตของพี่ชายที่มองมา
จากนั้นเขาก็เห็นพี่ชายจ้องมองพี่สะใภ้ด้วยสีหน้ามืดมน ก่อนตบแป้งบนมือพลางเดินออกไปข้างนอก ตัวเขาจึงหันไปมองพี่สะใภ้ที่ยังรักษาท่าทางสงบ และถามด้วยความกังวล “พี่สะใภ้จะไม่ออกไปดูหน่อยเหรอ?”
ฝ่ายพี่สะใภ้ของเขายังคงนวดแป้งซาลาเปาแล้วตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ไม่ต้องดูหรอก ต่อให้พี่ชายของนายจะเป็นคนกล้าหาญ แต่เขาไม่กล้าทำเรื่องเสื่อมเสียหรอก”
ทันทีที่หลินเจี้ยนเยี่ยเดินออกมา ซูเจวียนก็รีบวิ่งเข้ามาหาเขาด้วยความกระตือรือร้น “แย่แล้วพี่เจี้ยนเยี่ย พี่รีบอ่านจดหมายนี้เร็ว ๆ หน่อยได้ไหม?”
หลินเจี้ยนเยี่ยรับจดหมายจากมือของซูเจวียนแล้วถามด้วยสีหน้าสงสัย “ทำไมเหรอ?”
ซูเจวียนอธิบาย “ป้าหลินเข้าโรงพยาบาล ในจดหมายนี้ขอให้สวี่ม่ายซุ่ยกลับบ้านไปดูแลหล่อน งั้นพี่ก็รีบบอกให้ม่ายซุ่ยกลับไปเถอะ”
หลินเจี้ยนเยี่ยเลิกคิ้วถาม “แม่ฉันไม่สบาย แล้วทำไมต้องส่งจดหมายถึงเธอด้วย”
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้หลุดออกมา ซูเจวียนก็รู้สึกมีความผิด หล่อนจึงก้มหน้าลงและแสดงอาการลังเล ไม่กล้าบอกหลินเจี้ยนเยี่ยสักที ทำให้เขาจับพิรุธได้ มองไปที่ด้านนอกของซองจดหมาย และเห็นว่าจดหมายจ่าหน้าถึงสวี่ม่ายซุ่ยชัดเจน
“เธอขโมยจดหมายของม่ายซุ่ยเหรอ?”
ได้ยินแบบนี้แล้วซูเจวียนก็รีบอธิบาย “ฉันไม่ได้ขโมยนะ ตอนที่บุรุษไปรษณีย์มาส่งจดหมาย ม่ายซุ่ยไม่อยู่บ้าน ฉันเลยเก็บไว้ให้น่ะ”
หลินเจี้ยนเยี่ยถามต่อ “แล้วไงต่อ?”
ซูเจวียนตอบว่า “ฉันคิดว่ามันเป็นจดหมายจากหมู่บ้าน กลัวว่าจะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น ฉันเลยเปิดอ่านให้ม่ายซุ่ยก่อน พี่เจี้ยนเยี่ยต้องเชื่อคำพูดของฉันนะ ฉันพูดเรื่องจริงหมดเลย ประเด็นสำคัญคือป้าหลินป่วยหนัก ซึ่งม่ายซุ่ยในฐานะลูกสะใภ้ ถ้าไม่กลับไปดูแลแม่สามี แล้วเกิดมีใครรู้ก็จะถูกนินทาลับหลังเอาได้”
หลินเจี้ยนเยี่ยพูดว่า “นี่เป็นเรื่องภายในครอบครัวเรา เธอไม่ต้องกังวลแทนหรอก”
ซูเจวียนมองหลินเจี้ยนเยี่ยซึ่งมีใบหน้าเย็นชา ทันใดนั้นหล่อนก็รู้สึกกระวนกระวายใจขึ้นมา “พี่เจี้ยนเยี่ย เกิดอะไรขึ้นกับพี่ แล้วทำไมพี่กลายเป็นแบบนี้ด้วย หรือว่าสวี่ม่ายซุ่ยพูดยุยงอะไรพี่?”
“ฉันรู้ว่าหล่อนไม่เคยมีเจตนาดีเลย อีกทั้งยังไม่อยากกลับไปดูแลป้าหลินด้วย ป้าหลินไปทำอะไรให้หล่อน ทำไมหล่อนถึงใจร้ายใจดำขนาดนี้นะ”
สวี่ม่ายซุ่ยได้ยินเสียงโวยวายข้างนอกจึงเดินออกมาดู ขณะที่ยืนพิงกรอบประตูและปั้นแป้งซาลาเปาในมือก็พูดสั้นๆ ว่า “เธอลองบอกหน่อยสิว่าฉันใจร้ายยังไงมิทราบ?”
ทันทีที่ซูเจวียนเห็นสวี่ม่ายซุ่ยเดินออกมา หล่อนก็หันปากกระบอกปืนใส่ทันที “ยังไม่เรียกว่าเธอโหดร้ายอีกเหรอ ฉันไม่เคยเห็นใครใจร้ายเท่าเธอเลย ตอนนี้แม่สามีของเธอกำลังจะป่วยตาย แต่เธอไม่พูดว่าจะกลับไปดูแล มิหนำซ้ำยังมีแก่ใจมาทำซาลาเปาเนี่ยนะ”
สวี่ม่ายซุ่ยย้อนกลับ “แม่สามีของฉันกำลังจะป่วยตาย แล้วทำไมฉันถึงไม่รู้เลยล่ะ?”
ซูเจวียนพูดไม่ออก “เธอ…”
สวี่ม่ายซุ่ยพูดต่อ “และเธอบอกว่าแม่สามีของฉันกำลังจะตาย แล้วทำไมฉันจะต้องกลับไปดูแลด้วยล่ะ”
ซูเจวียนรีบพูด “ถ้าเธอไม่ดูแลแล้วใครจะดูแล?”
สวี่ม่ายซุ่ยตอบว่า “แม่ใคร คนนั้นก็ไปดูแลสิ”
เมื่อซูเจวียนได้ยินแบบนี้ก็ตวาดเสียงดังทันที “สวี่ม่ายซุ่ย เธอบ้าไปแล้วเหรอ พี่เจี้ยนเยี่ยงานยุ่งมาก เขาจะกลับไปได้ไง และที่สำคัญคือเขาเป็นผู้ชายนะ”
สวี่ม่ายซุ่ยมองหล่อนตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าแล้วพูดว่า “แม่เขาใกล้จะตายแล้ว สถานการณ์แบบนี้ยังแบ่งแยกชายหญิงอีกเหรอ ใครกำหนดว่าลูกสาวต้องดูแลแม่เวลาป่วยอยู่ฝ่ายเดียว เมื่อตอนที่เขายังเด็ก เขาไม่ได้รับการดูแลจากพ่อนะ เขาก็ถูกเลี้ยงดูมาจากแม่ ก็ไม่เห็นต้องแยกหน้าที่ชายหญิงเลยนี่”
ตอนนี้หลินเจี้ยนเยี่ยที่อยู่ข้าง ๆ ก็พูดแทรกขึ้นมาด้วยเสียงเย็นชา “หล่อนไม่ได้เลี้ยงผมมา แต่ลุงใหญ่เป็นคนเลี้ยงผม”
สวี่ม่ายซุยพูดต่อ “ถ้างั้นพวกเราก็ไม่ต้องสนใจแล้วละ เรื่องนี้เธอไปถามหลินเจี้ยนกั๋วเองแล้วกันนะ” พูดจบแล้วเธอก็เดินกลับเข้าบ้าน
ซูเจวียนมองตามแผ่นหลังที่แล้งน้ำใจของสวี่ม่ายซุ่ยและหันไปมองหลินเจี้ยนเยี่ยด้วยความเหลือเชื่อ “พี่เจี้ยนเยี่ย คือหล่อน…”
หลินเจี้ยนเยี่ยแค่พูดว่า “เราจะจัดการเรื่องนี้กันเอง เธอกลับไปเถอะ” พูดจบแล้วเขาก็เดินเข้าบ้านไปด้วย
ซูเจวียนยืนอยู่ที่เดิมพลางมองทั้งสองคนเดินจากไป ทันใดนั้นใบหน้าของหล่อนก็เต็มไปด้วยความเกลียดชัง และมือก็กำจดหมายจนยับย่น
หลังจากนั้นไม่นาน ซูเจวียนก็คลายมือที่กำแน่นออกแล้วแค่นหัวเราะเบา ๆ จากนั้นก็หันหลังและเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามองอีก
หลินฟานหมอบอยู่ที่ประตูและเฝ้ามองอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเขาเห็นอีกฝ่ายเดินออกไปแล้ว เขาก็วิ่งมารายงานในบ้านทันที “แม่ครับ น้าคนนั้นไปแล้ว”
สวี่ม่ายซุ่ยตอบรับ “ก็สมควรไปอยู่”
“เจี้ยนจวิน นายออกไปเรียกหลินเซียวหน่อยเถอะ เจ้าเด็กคนนี้ไม่รู้จักเวลากลับมากินข้าวเสียแล้ว”
หลินเจี้ยนจวินปัดแป้งบนมือออกแล้วเดินออกไปทันที
เมื่อหลินเซียวถูกเรียกกลับบ้าน ซาลาเปาก็นึ่งเสร็จแล้ว “มัวแต่ไปเหลวไหลที่ไหนจนไม่กลับบ้านตอนเที่ยงน่ะ?” สวี่ม่ายซุ่ยมองหลินเซียวที่เหงื่อท่วมกายและดุเขาด้วยความโมโห
หลินเซียวเช็ดเหงื่อแล้วตอบว่า “ผมไปจองที่นั่งน่ะสิครับ ไม่งั้นแค่พริบตาเดียวก็จะไม่มีที่ว่างสักที่”
หลินเจี้ยนเยี่ยพูดว่า “ลูกโง่ไปแล้วเหรอ แม่ของลูกเป็นนักบัญชีของกลุ่ม ยังต้องให้ลูกไปจองที่หรือไง”
สำหรับผู้ปฏิบัติงานหมู่บ้านเช่นพวกเขา ก็มักจะได้รับการจัดเตรียมที่นั่งด้านหน้าไว้ให้อยู่แล้ว
หลินเซียวยกมือตบหัวตัวเองด้วยความหงุดหงิด “ผมลืมเรื่องนี้ไปซะสนิทเลย”
สวี่ม่ายซุ่ยรีบแย้ง “อย่าไปฟังพ่อเด็ดขาด ปีนี้ไม่มีที่นั่งมากพอ ใครไปก่อนก็ได้ไปนั่งก่อนนั่นแหละ”
เมื่อได้ยินแบบนี้แล้ว หลินเซียวก็หันไปพูดกับหลินเจี้ยนเยี่ยว่า “พ่อครับ ถ้าพ่อไม่รู้ก็อย่าพูดเหลวไหลดีกว่า”
หลินเจี้ยนเยี่ยเห็นความเย่อหยิ่งของหลินเซียวแล้วเขายกมือขึ้นเพื่อจะตี แต่หลินเซียวรีบก้มลงมุดหนีไปทันทีราวกับปลาไหล
หลังมื้ออาหาร สวี่ม่ายซุ่ยก็พาลูก ๆ ไปชมการแสดง ส่วนหลินเจี้ยนเยี่ยเป็นคนเดียวในบ้านที่ถือกระเป๋าออกไปทำงานต่อ
เมื่อไปถึงสถานที่แสดงก็มีคนเยอะมากแล้ว ซึ่งทุกคนเกาะกลุ่มกันอยู่รอบ ๆ เวทีแสดง เนื่องจากยุคนี้ไม่มีโทรทัศน์หรือโทรศัพท์มือถือ ทำให้กิจกรรมความบันเทิงเดียวสำหรับทุกคนคือการรอคณะสันทนาการในเมืองเดินทางมาแสดงเพื่อให้กำลังใจหรือปลอบขวัญ บางครั้งก็มาจัดฉายภาพยนตร์
เนื่องจากไม่มีกิจกรรมแบบนี้มาจัดนานแล้ว จึงมีผู้คนมากมายมาที่ลานบ้าน ซึ่งต่างก็แบกเก้าอี้มาเองและมองหาจุดนั่งชม
“หลินเซียว ทางนี้!” ทันทีที่หู่จือเห็นพวกเขาเดินเข้ามา ก็รีบโบกมือและตะโกนเรียก
หลังจากที่หลินเซียวได้ยิน เขาก็ดึงสวี่ม่ายซุ่ยไปทางนั้น สวี่ม่ายซุ่ยเหลือบมองไปยังสถานที่ที่หู่จือจับจองไว้ ก็เห็นว่าเทียบได้กับโรงฉายภาพยนตร์แถวที่สองถือได้ว่าทำเลค่อนข้างดี
สวี่ม่ายซุ่ยเอ่ยว่า “พวกลูกไปนั่งก่อนนะ เดี๋ยวแม่จะไปดูว่าสามารถช่วยงานอะไรได้บ้าง”
หลินเซียวรู้ดีว่าแม่งานยุ่งมาก เขาจึงพาหลินฟานวิ่งไปยังที่นั่งโดยไม่ชะลอฝีเท้า ส่วนหลินเจี้ยนจวินก็ติดตามพวกเขาไป เพราะกลัวว่าเด็กทั้งสองจะโดนฝูงชนเบียดจนล้ม
สวี่ม่ายซุ่ยเดินไปหลังเวทีคนเดียว จากนั้นเธอก็เห็นพวกซ่งเจียกำลังแต่งหน้าและเตรียมตัวรอขึ้นเวทีการแสดง
“มีใครต้องการความช่วยเหลือบ้างไหม?” สวี่ม่ายซุ่ยเดินไปหาซ่งเจียพลางเอ่ยถาม
ซ่งเจียเห็นสวี่ม่ายซุ่ยเดินเข้ามาก็รีบยิ้มให้เธอและตอบว่า “ฉันกำลังอยากได้ความช่วยเหลือจากพี่จริง ๆ แหละ”
สวี่ม่ายซุ่ย “ให้ช่วยไงล่ะ?”
ซ่งเจียชี้ไปทางไต้ฉิงซึ่งนั่งอยู่ตรงมุมห้องแล้วพูดว่า “พี่สาว พี่ช่วยหาที่นั่งให้ไต้ฉิงนั่งชมการแสดงข้างหน้าเวทีหน่อยเถอะ”
สวี่ม่ายซุ่ยเหลือบมองที่เท้าของไต้ฉิงแล้วถามด้วยความสงสัย “ให้หล่อนนั่งที่นี่ไม่ดีกว่าเหรอ?”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ว้ายยยย คราวนี้นกบินจิ๊บ ๆ เต็มหัวเลยนะยัยบัวเน่า จะอ่อยเค้าแต่เค้าไม่เล่นด้วยแล้ว
เห็นการเปลี่ยนแปลงของเจี้ยนเยี่ยแล้วค่อยยังชั่วหน่อย ก่อนหน้านี้แกเป็นบ้าอะไรฟะปล่อยให้ลูกเมียโดนข่มเหง
ชิวเฟิง
MANGA DISCUSSION