ตอนที่ 76 ไต้ฉิงเท้าแพลง
“พวกเธอกลับมาจนได้นะ ไปเอารถลากมาจากไหนกันล่ะ” หลังไต้ฉิงเห็นเกวียนเทียมวัวก็ถามด้วยนัยน์ตาวาววับ
ผู้จัดการหลาน “หายืมพวกเขามาน่ะ พวกเธอเก็บของเสร็จแล้วใช่ไหม รีบขนใส่รถเร็ว ฟ้ามืดหมดแล้ว”
ไต้ฉิงเป็นคนตรงไปตรงมา ได้ยินผู้จัดการหลานเร่งรัดพวกหล่อนก็รีบทักคนให้รีบใส่ของ สวี่ม่ายซุ่ยกับผู้จัดการหลานเห็นแล้วก็รีบไปช่วยขนขึ้นรถ
สวี่ม่ายซุ่ยเห็นกล่องที่วางด้านข้างก็เผลอคิดจะขนขึ้นรถ ใครจะรู้ว่าพึ่งยื่นมือไปก็โดนไต้ฉิงร้องเรียก “พี่สาว พี่สาว ของอันนี้หนัก มาให้ฉันเอง”
พูดแล้วก็วิ่งไปอุ้มรับกล่องจากสวี่ม่ายซุ่ย หัวหน้าที่อยู่ด้านข้างเห็นเข้าก็รีบอธิบายสวี่ม่ายซุ่ย “ในกล่องของหล่อนมีแต่เครื่องฉายหนังหนัก ๆ พวกเราย้ายไม่ไหว เด็กผู้หญิงคนนี้ฟ้าประทานกำลังวังชาดี ของนี้ก็ให้หล่อนยกเถอะ”
สวี่ม่ายซุ่ย “เห็นหล่อนผอมขนาดนั้น มีแรงขนาดนี้เชียว”
“ก็ไม่เชิง หล่อนไม่ใช่แค่ผอม แต่กินก็เยอะ แต่ไม่ค่อยมีเนื้อหนังไม่เหมือนฉันที่กินนิดเดียวก็อ้วนไม่ไหว”
สวี่ม่ายซุ่ย “คุณสวยพอแล้ว ถ้าคุณยังอิจฉาแล้วเราจะทำยังไง”
“ห่อผ้าบนเตียงเตาต้องเอาไปไหม ฉันจะช่วยพวกคุณ”
หัวหน้าทีมสันทนาการ “เอาไป รบกวนพี่สาวด้วย”
สวี่ม่ายซุ่ย “เรื่องเล็กน้อยต้องขอบคุณอะไรกัน”
คนในทีมสันทนาการของพวกหล่อนล้วนเป็นสาวน้อย รอบหนึ่งใช้เวลาหลายสิบนาทีถึงขนเสร็จ เพราะมีรถแค่สองคัน ผู้จัดการหลานเลยรับผิดชอบขับเกวียนวัวบรรทุกของ สวี่ม่ายซุ่ยรับผิดชอบนำทางพวกหล่อน
“พี่สาว พี่สาว พวกเรารีบเดินหน่อย ที่ทรุดโทรมแบบนี้ฉันไม่อยากอยู่แม้แต่นิดเดียว” ไต้ฉิงวิ่งมาอยู่ด้านข้างผู้จัดการหลาน พูดเร่งรัดอย่างรังเกียจ
เพราะไต้ฉิงเป็นคนโผงผาง มีอะไรก็พูดเลย สวี่ม่ายซุ่ยกับผู้จัดการหลานถึงชอบหล่อน ผู้จัดการหลานได้ยินก็สะบัดแส้ฟาดก้นวัว วัวที่โดนฟาดก็เจ็บจนร้องคำรามวิ่งไปด้านหน้า
สวี่ม่ายซุ่ยขี่จักรยานนำหน้าสาวน้อยที่อยู่ด้านหลัง พอถึงหน่วยแล้ว ก็เห็นกลุ่มคนที่สงบนิ่งพูดออกมาทันใด “พวกเราเดินบนถนนใหญ่ ปณิธานสั่นไหวใจห้าวหาญ ประธานเหมาผู้นำกลุ่มปฏิวัติ พิชิตขวากหนามทะยานก้าวไป ไปข้างหน้า…”
สวี่ม่ายซุ่ยพลันสะดุ้งตกใจยกใหญ่กับเสียงที่ดังขึ้นมาทันใดของพวกหล่อน หันไปมองก็เห็นทุกคนยิ้มตาหยีแผดเสียงร้องให้หน่วยเค่าชาน ไม่รู้ว่าผู้จัดการหลานไปเข้าร่วมร้องเพลงด้วยสีหน้าฮึกเหิมกับพวกหล่อนตั้งแต่ตอนไหน
สวี่ม่ายซุ่ยนวดขมับอย่างจนใจ ยังคงเป็นสาวน้อยที่โผงผางไม่ดูสถานการณ์ตามคาด หัวหน้าในหน่วยใหญ่กับผู้จัดการฝ่ายสตรีได้ยินเสียงเพลงพวกหล่อน ทำได้แค่ขบเขี้ยวฟันกลืนความโกรธลงไป
พอออกจากหน่วยเค่าชาน สาวน้อยกลุ่มนี้ถึงได้เงียบลง เห็นภูเขาโดยรอบทอดยาวเรียงต่อกัน สาวน้อยทั้งหลายก็กลัวจนล้อมกันเข้ามา “พี่สาว พวกเราต้องเดินนานแค่ไหนกว่าจะถึง”
สวี่ม่ายซุ่ยเงยมองท้องฟ้าพลางตอบ “ประมาณสองชั่วโมงน่ะ”
ไต้ฉิง “นานขนาดนั้นเลย? พื้นที่เกาะนี้ไม่ใหญ่ไม่ใช่เหรอ ระยะห่างระหว่างหน่วยชุมชนก็ใกล้กันหมด”
ผู้จัดการหลานได้ยินก็ตอบกลับ “ใครว่าเกาะพวกฉันไม่ใหญ่ เกาะของพวกฉันนี่ใหญ่อยู่นะ ตอนนี้ฉันยังเดินไปไม่ถึงต้นเกาะเลย”
ไต้ฉิงพูดด้วยสีหน้าประหลาดใจ “จริงเหรอ”
“พี่สาว ใหญ่ขนาดนั้นจริงเหรอ”
สวี่ม่ายซุ่ยได้ยินไต้ฉิงถามก็ก้มหน้ายิ้ม เกาะพวกเธอนี่ก็ไม่ใหญ่ จริง ๆ แค่อยู่มานานก็เลยคิดว่าที่ตัวเองอยู่ใหญ่เป็นพิเศษ
“ก็ได้อยู่ รอวันไหนเธอมีเวลาว่างก็มาเดินเล่นได้”
ไต้ฉิงฟังจบก็พลันผิดหวัง “พวกเราแสดงเสร็จก็ต้องกลับไป คงเดินเล่นไม่ได้”
หน่วยชิงชานของพวกหล่อนคือสถานีสุดท้ายบนเกาะ หลังพวกหล่อนแสดงเสร็จ พวกหล่อนต้องนั่งเรือขึ้นฝั่งทันที
สวี่ม่ายซุ่ยอดไม่ได้ที่จะปลอบใจ “ไม่เป็นไร รอพวกเธอพักผ่อนค่อยมาก็ได้”
เพราะระหว่างทางน่าเบื่อ สาวน้อยทั้งหลายจึงเริ่มส่งเสียงเจื้อยแจ้วถามถึงเรื่องราวบนเกาะ ส่วนใหญ่จะเป็นผู้จัดการหลานที่เล่าให้พวกหล่อนฟัง
ตอนที่เดินไปถึงหนึ่งในสามส่วนก็เป็นเส้นทางที่ชันที่สุดพอดี ฝูงชนเองก็ไม่ได้พูดคุย ช่วยกันพยุงเดินไปตอนนี้เองที่ด้านหน้าปรากฏแสงไฟขึ้น ทำเอาฝูงชนตกใจกลัวไปหมด
จากนั้นก็มีเสียงร้อง “อ๊า” ออกมา ไต้ฉิงก้นจ้ำเบ้าลงกับพื้น
ทีมสันทนาการรีบเข้าไปพยุงหล่อนทันที ถามอย่างร้อนรนว่า “เธอเป็นอะไร”
ไต้ฉิงมองกลุ่มคนตอบกลับน้ำตานองหน้าว่า “หัวหน้า ฉันเหมือนจะเท้าแพลง”
ผู้จัดการหลานอดไม่ได้ที่จะต่อว่า “นกเค้าแมวนั่นเช้าตรู่ไม่อยู่บ้านออกมาวิ่งเพ่นพ่าน”
เพิ่งจะพูดไปก็ได้ยินคนด้านหน้าตะโกนสอบถาม “พี่สะใภ้”
สวี่ม่ายซุ่ยได้ยินเสียงอันคุ้นเคยก็ขมวดคิ้วพูด “เจี้ยนจวิน”
หลินเจี้ยนจวินที่อยู่ด้านหน้าถึงผ่อนลมหายใจ สาวเท้าเข้ามา “พี่สะใภ้ ผมหาพี่เจอจนได้”
สวี่ม่ายซุ่ย “นายไม่รออยู่บ้านเล่า มาได้ไงเนี่ย”
หลินเจี้ยนจวิน “กลางคืนพี่สามไม่ได้กลับมา พี่ก็ไม่ได้กลับมา พวกหลินเซียวไม่วางใจเลยให้ผมออกมาหาพี่” พูดจบหลินเจี้ยนจวินถึงสังเกตว่ารอบด้านมีคนเยอะขนาดนี้
เขาลูบหัวถามอย่างเขินอาย “พี่สะใภ้ เมื่อกี้ผมทำให้พวกพี่ตกใจหรือเปล่า
สวี่ม่ายซุ่ยถึงได้นึกถึงไต้ฉิง หันไปก็เห็นหล่อนมีคนช่วยพยุงขึ้นมาแล้ว พิงด้านข้างหินก้อนใหญ่ โดยมีหัวหน้าพวกหล่อนกำลังตรวจสอบบาดแผล
“หัวหน้าซ่ง ไต้ฉิงเป็นยังไงบ้าง”
หัวหน้าซ่งขมวดคิ้ว “เจ็บหนักมาก กลัวว่าจะเดินต่อไม่ไหว”
พอคำพูดนี้ออกมา บรรยากาศก็หม่นหมองในทันใด เพราะเกวียนเทียมวัวกับจักรยานบรรทุกสัมภาระไว้เต็มแล้ว ไม่มีที่ให้ไต้ฉิงนั่งเลยสักนิด
หลินเจี้ยนจวินก็ตระหนักได้ว่าตัวเองสร้างปัญหาแล้ว เขามองเกวียนเทียมวัวแล้วมองรถจักรยานพูดว่า “พี่สะใภ้ ไม่งั้นให้ฉันถือของบนรถจักรยานแล้วให้หล่อนนั่งด้านหลังดีไหม”
สวี่ม่ายซุ่ยมองห่อผ้าขนาดใหญ่สองถุงท้ายจักรยาน เงียบสักพักก่อนถามไต้ฉิง “ไต้ฉิง เธอรังเกียจที่จะให้เขาแบกไหม”
ไต้ฉิงฟังจบก็พูดออกมาคำหนึ่ง “อา” จากนั้นใบหน้าก็พลันแดงก่ำ
หัวหน้าซ่งที่ช่วยแบกมาตลอดก็รู้ว่านี่คือทางเลือกที่ดีที่สุด หล่อนพูด “ไต้ฉิง เธอให้เขาแบกเธอเถอะ เธอวางใจ พวกเราไม่พูดซี้ซั้วแน่นอน”
ไต้ฉิงมองสวี่ม่ายซุ่ยแล่วมองหัวหน้า ถึงได้ผงกหัว
สวี่ม่ายซุ่ยเห็นเข้าก็รีบผลักหลินเจี้ยนจวิน “ยังไม่รีบไปแบกคนอีก”
หลินเจี้ยนจวินเองก็ไม่ได้เอะอะโวยวาย สาวเท้าไปนั่งยองลงข้างไต้ฉิง
ไต้ฉิงเห็นคนนั่งยองด้านหน้าเป็นชายหนุ่มร่างผอมซูบ ใบหน้าก็พลันแดงขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวอีก
หลังหัวหน้าซ่งพยุงโน้มตัวขึ้นมาก็กะน้ำหนักได้ หลินเจี้ยนจวินถึงวางใจแบกคนขึ้นมาอย่างระมัดระวัง
เพราะมีหลินเจี้ยนจวินอยู่ อีกทั้งรอบข้างก็มีแต่สาวน้อย บรรยากาศจึงพลันเงียบเหงาขึ้นมา ไม่คึกคักเหมือนเมื่อครู่
แค่บางครั้งจะมีเสียงสูดหายใจสองเสียงดังขึ้นข้างหูหลินเจี้ยนจวิน
บรรยากาศนิ่งเงียบไปสักพัก ในที่สุดหลินเจี้ยนจวินก็ห้าวหาญรุดหน้าไปพูดด้านข้างสวี่ม่ายซุ่ย “พี่สะใภ้ ผมว่าสหายคนนี้เจ็บค่อนข้างหนัก ไม่งั้นผมจะพาหล่อนกลับก่อน”
……………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
นึกสภาพในขบวนมีผู้ชายคนเดียว แล้วนอกนั้นเป็นสาว ๆ เจี้ยนจวินเอ๊ยยย
ชิวเฟิง
MANGA DISCUSSION