บทที่ 7 ให้ฉันลองจับดูหน่อย
เด็กผู้ชายสองคนไม่ได้พิถีพิถันอะไรมาก เมื่อถอดเสื้อผ้าหมดก็ไปล้างตัวที่ลานบ้าน ขณะที่สวี่ม่ายซุ่ยนอนบนเตียงไปฟังเสียงเอะอะของสองพี่น้องไป จากนั้นก็ผล็อยหลับ ครั้งนี้หลับยาวจนถึงตีห้าครึ่งของวันที่สอง
ยังคงเป็นเสียงแตรปลุกชุมนุมที่ทำให้เธอตื่น เวลานี้ฟ้าสว่างแล้ว ในห้องมีลำแสงเล็ก ๆ ลอดผ่าน สวี่ม่ายซุ่ยหยีตามองไปข้างเตียงก็เห็นหลินเจี้ยนเยี่ยกำลังสวมเสื้อผ้า
กลางคืนในหน้าร้อนอบอ้าวยิ่งนัก เวลานอนหลินเจี้ยนเยี่ยเลยสวมแค่กางเกงชั้นในสีฟ้าอมม่วงกับเสื้อตัวในสีขาว ผิวด้านนอกที่เปลือยเปล่าของเขาเป็นสีทองแดงเพราะการออกกำลังตลอดปี สัดส่วนรูปร่างนี้ ดูปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเจริญหูเจริญตาเป็นอย่างยิ่ง
หลินเจี้ยนเยี่ยรู้สึกได้ถึงสายตาของสวี่ม่ายซุ่ยจึงหันมาถาม “มองทั้งวันไม่เบื่อหรือไง?”
ถ้าเป็นสวี่ม่ายซุ่ยคนก่อนจะต้องหน้าแดงเรื่อเพราะคำหยอกล้อที่หาได้ยากของเขาแน่ แต่ผ่านมาชาติหนึ่งแล้วเธอจึงเรียนรู้ที่จะหน้าหนา ไม่ใช่แค่ไม่หลบแต่ยังจ้องเขาตาใสอีกด้วย “มองทั้งวันก็พอได้อยู่ แต่ไม่ได้จับนี่สิ มานี่สิ ให้ฉันลองจับดูหน่อย”
ตอนที่พูดประโยคนี้ เธอก็เปลี่ยนเป็นนอนตะแคงข้าง มือหนึ่งสอดใต้หมอน อีกมือยื่นไปทางหลินเจี้ยนเยี่ย
หลินเจี้ยนเยี่ย “…”
“ผมอยากให้คุณทำตัวหนักแน่นกว่าเดิมหน่อย ไม่ใช่ให้ทำตัวไร้ยางอายแบบนี้”
สวี่ม่ายซุ่ยโต้ “คุณนั่นแหละที่หน้าไม่อาย”
หลินเจี้ยนเยี่ยหยิบกางเกงขึ้นมา เมื่อใส่เสร็จแล้วก็หันไปมองภรรยาที่นอนอยู่แล้วกำชับอย่างไม่วางใจ “คุณไม่ได้กำลังจะเปลี่ยนไปเป็นคนไม่ดีหรอกใช่ไหม”
สวี่ม่ายซุ่ยรู้ว่าหลินเจี้ยนเยี่ยหมายถึงอะไรจึงตอบกลับอย่างมั่นใจ “ไม่ใช่”
เมื่อได้รับคำยืนยันแล้ว ใจที่กระสับกระส่ายของหลินเจี้ยนเยี่ยก็ผ่อนคลายลง ในที่สุดก็ไม่ต้องคอยเป็นห่วงว่าจะมีใครรังแกเธออีกต่อไปแล้ว
“ผมไปทำงานนะ คุณจะนอนต่อก็ได้” หลินเจี้ยนเยี่ยพูดจบก็หยิบหมวกสาวเท้าออกจากบ้าน
พอเขาไปแล้ว สวี่ม่ายซุ่ยก็พลิกตัวนอนหงายบนเตียง มองหลังคาบ้านพลางคิดว่าดีแล้วที่เธอยังอยู่ที่นี่
เมื่อนอนอยู่บนเตียงได้ครึ่งชั่วโมง เธอก็อดที่จะลุกขึ้นมาไม่ได้ ชีวิตก่อนเธอขี้ขลาด แถมยังขี้เกียจ บ้านช่องไม่รู้จักเก็บกวาดจนทุกที่มีแต่ฝุ่นจับ เด็กสองคนทั้งวันใส่แต่เสื้อผ้าสกปรกพาลให้คนข้างนอกหัวเราะเยาะ
ในเมื่อได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง เธอจะต้องแก้นิสัยเสียในชีวิตก่อนและใช้ชีวิตต่อไปอย่างเปล่งประกายรุ่งโรจน์ พอคิดมาถึงตรงนี้ก็รู้สึกฮึกเหิมมากขึ้น
ก่อนอื่นเธอต้องขนผ้านวมกับปลอกผ้าห่มในห้องลูกชายออกไป จากนั้นก็คัดเสื้อผ้าในตู้ออกมาดู อันไหนควรซักก็ซัก อันไหนควรตากก็ตาก
ช่วงเวลายุ่ง ๆ แบบนี้ผ่านไปเร็วราวกับติดปีก หันมาดูนาฬิกาอีกอีกทีก็เก้าโมงแล้ว สวี่ม่ายซุ่ยเดินมาจากลานบ้านได้ยินเสียงนาฬิกาปลุกจึงลุกขึ้นถูมือกับผ้ากันเปื้อน ก้าวฉับ ๆ มุ่งไปที่ห้อง
เดินไปถึงห้องโถงก็เหลือบมองนาฬิกาปลุกแล้วตรงดิ่งไปที่ห้องของพวกหลินเซียว เด็กสองคนกำลังหลับสนิทนอนก้นโด่งอยู่บนเตียง สวี่ม่ายซุ่ยเห็นดังนั้นก็ให้รางวัลเป็นฝ่ามือไปคนละที “ลุกได้แล้ว ๆ กี่โมงแล้วยังไม่ลุกอีก”
หลินเซียวกับหลินฟานที่ถูกสวี่ม่ายซุ่ยปลุกต่างมองเธออย่างงงงวย
สวี่ม่ายซุ่ย “ในบ้านไม่มีข้าวแล้ว แม่จะไปสหกรณ์ พวกลูกจะไปไหม”
หลินเซียวกับหลินฟานได้ยินก็รีบลุกขึ้นจากเตียง พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “ไป!”
สวี่ม่ายซุ่ย “งั้นก็รีบใส่เสื้อผ้า”
พูดจบเธอก็ออกไปจากห้อง
ชุดที่ใส่ตอนเช้าก็คือชุดสำหรับใส่ทำงาน หากจะออกจากบ้านเธอต้องไปเปลี่ยนชุด
กว่าเธอจะจัดการทุกอย่างเรียบร้อย เด็กสองคนก็หาวหวอดใหญ่ไปไม่รู้กี่ครั้ง เมื่อสวี่ม่ายซุ่ยเห็นสองพี่น้องใส่เสื้อผ้าไม่สะอาดก็ขมวดคิ้ว “เสื้อผ้านี่สกปรกไปหมดแล้ว ทำไมไม่รู้จักเปลี่ยน”
หลินเซียวก้มหน้ามองเสื้อผ้าตัวเอง ตอบกลับอย่างไม่เข้าใจ “ยังใส่ได้อยู่นี่ครับ ไม่เห็นสกปรกเลย”
สวี่ม่ายซุ่ย “…”
“เสื้อผ้าของลูกซีดจนจะสะท้อนแสงได้อยู่แล้ว ยังไม่เรียกว่าสกปรกอีกเหรอ”
หลินเซียวฟังจบก็รีบดึงชายเสื้อขึ้นมาส่องดู ก่อนจะตอบกลับด้วยความสงสัย “ไม่นี่ ยังไม่เห็นสะท้อนออกมาเลย”
สวี่ม่ายซุ่ยเดินไปตีก้นเขาหนึ่งที “รีบไปเปลี่ยนให้แม่ อย่ามาทำตัวอนาถาแถวนี้”
หลินเซียวขมวดคิ้ว “แม่ ทำไมแม่ร้ายขึ้นทุกทีล่ะ ไม่ใช่ว่าเสพติดการทะเลาะกับคนอื่นไปแล้วนะ”
สวี่ม่ายซุ่ย “อืม ติดแล้ว ต่อไปนี้ถ้าลูกกล้าเกเรกับแม่อีก แม่จะตีให้ก้นลายเลย!”
หลินเซียวทำหน้าเหยเก ร้องไห้ไม่ออกพลางตะโกนว่า “แม่ แม่น่ะร้ายกาจยิ่งกว่าแม่เสือเสียอีก!”
สวี่ม่ายซุ่ยรู้ว่าเขาแกล้งจึงไม่ได้จัดการอะไร เมื่อหันไปมองทางหลินฟาน อีกฝ่ายที่เดิมทีทำหน้าตื่นเต้นก็ตัวแข็งทื่อ วิ่งเอามือปิดก้นไปที่ห้องนอนทันที
“ผมจะไปเปลี่ยนแล้ว อย่าตีก้นผมเลยนะครับ”
สวี่ม่ายซุ่ยขมวดคิ้ว พูดเร่งอย่างอดรนทนไม่ไหว “พวกลูกสองคนเร่งมือหน่อย!”
ไม่ทันไรสองพี่น้องซึ่งเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดที่ดูสะอาดหน่อยก็ออกมา สวี่ม่ายซุ่ยเห็นแล้วก็พออกพอใจ รอจนพวกเขาแปรงฟันล้างหน้าเสร็จถึงจะพาออกไปข้างนอก
ออกไปได้ไม่ไกล ก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งหาบตะกร้ายิ้มตาหยีมองมา เข้าไปใกล้หน่อยถึงเห็นว่าเป็นภรรยาจ้าวเป่ากั๋ว
“น้องสะใภ้ พวกเธอจะไปทำอะไรกัน”
สวี่ม่ายซุ่ย “พี่สะใภ้ พวกเราจะไปดูของที่สหกรณ์ นี่พี่จะไปไหน”
ภรรยาจ้าวเป่ากั๋วตอบ “พอดีเลย ฉันกำลังจะไปที่บ้านเธอ”
ขณะที่ทั้งสองคนกำลังคุยกันอยู่ หลินฟานก็ปล่อยมือเธอวิ่งไปด้านข้างพร้อมกับหลินเซียว สวี่ม่ายซุ่ยเห็นแล้วก็รีบตะโกนเสียงดัง “ลูกสองคนเล่นกันแถวนี้นะ อย่าวิ่งไปไกล”
เวลานี้เองที่ภรรยาจ้าวเป่ากั๋วมองเธออย่างแปลกใจ และเห็นว่าเธอไม่เหมือนเดิมแล้วจริง ๆ “นี่เธอ…”
สวี่ม่ายซุ่ยหันมายิ้มให้อีกฝ่าย “พี่สะใภ้ แต่ไหนแต่ไรฉันก็เป็นแบบนี้ แค่หลังแต่งกับหลินเจี้ยนเยี่ยมีเรื่องให้กังวลขึ้นมากถึงได้เป็นแบบนั้น”
พริบตาเดียวภรรยาจ้าวเป่ากั๋วก็เข้าใจ อีกฝ่ายรู้ว่าผู้ชายของตัวเองเป็นถึงเจ้าหน้าที่ในกองทัพ หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาย่อมเป็นเธอที่ได้รับผลกระทบก่อน ด้วยเหตุนี้จึงเสียเปรียบไม่น้อย
“เฮ้อ เธอเข้าใจก็ดีแล้ว”
สวี่ม่ายซุ่ย “รอบนี้ฉันเพิ่งคิดได้ว่า สิ่งที่กังวลไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย อย่างมากก็แค่ให้หลินเจี้ยนเยี่ยเปลี่ยนงาน แล้วกลับบ้านไปทำไร่ทำสวนกับพวกเรา ถึงยังไงก็ไม่อดตายหรอกค่ะ”
เมื่อเห็นสวี่ม่ายซุ่ยยังส่งเสียงพร่ำบ่น ภรรยาจ้าวเป่ากั๋วก็รีบเตือน “ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก ไม่ถึงขนาดนั้น เจี้ยนเยี่ยทำงานในกองทัพได้ดีมาก ใครจะเปลี่ยนงานยังไงก็คงไม่วนมาถึงเขาหรอก”
สวี่ม่ายซุ่ยไม่อยากคุยเรื่องนี้มากนักเลยเปลี่ยนหัวข้อ “พี่สะใภ้ พี่บอกว่าจะไปบ้านฉัน มีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ?”
ภรรยาจ้าวเป่ากั๋วฟังแล้วถึงคิดขึ้นมาได้ หล่อนกล่าว “มัวแต่คุย จนเกือบลืมเรื่องสำคัญไปเลย”
“เหล่าจ้าวบอกว่าบ้านเธอปีนี้ไม่ปลูกผัก ให้ฉันส่งไปให้สักหน่อยดีไหม” หล่อนว่าพลางแง้มตะกร้า ด้านในมีผักอยู่เต็มไปหมด ทั้งแตงกวา มะเขือเทศ มะเขือยาว
สวี่ม่ายซุ่ยเอ่ยอย่างเกรงใจ “พี่สะใภ้ นี่มันมากไปแล้ว”
“มากเกินไปอะไรกัน เหล่าจ้าวกับเจี้ยนเยี่ยเป็นพี่น้องร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน นับว่าเป็นคนบ้านเดียวกันตั้งนานแล้ว ต่อไปนี้เธอก็ไม่ต้องมาเกรงใจฉัน มีอะไรขาดเหลือก็ขอให้บอก” ภรรยาจ้าวเป่ากั๋วพูดพลางส่งตะกร้าให้
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เมียพี่เปลี่ยนไปแล้วนะคะ พี่เตรียมรับมือกับความร้ายกาจให้ดี
อย่างน้อยก็ยังดีที่มีกัลยาณมิตรคอยช่วยอยู่บ้าง เฮ้อ
ชิวเฟิง
MANGA DISCUSSION