ตอนที่ 5 หน้าไม่อาย
หลินเจี้ยนเยี่ยได้ฟังก็เห็นด้วย “คุณยังมีธุระอะไรอีกไหม ถ้าไม่มีผมจะกลับแล้ว”
ซูเจวียนเห็นหลินเจี้ยนเยี่ยจะไป จึงรีบตะโกนทันที “พี่เจี้ยนเยี่ย ฉันขอไปกินข้าวที่บ้านพี่ได้ไหม”
หลินเจี้ยนเยี่ยอึ้งไปชั่วขณะ “ทำไมเหรอ”
ซูเจวียน “วันนี้ตอนเช้าแม่ฉันมาหา”
หลินเจี้ยนเยี่ยฟังแล้วก็รู้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น แม่ของซูเจวียนค่อนข้างให้ความสำคัญกับลูกผู้ชายมากกว่าผู้หญิง ทุกครั้งที่เงินเดือนซูเจวียนออก นางจะมายึดไปจากลูกสาวจนหมด
เพราะทั้งสองเป็นเพื่อนบ้านในหมู่บ้านเดียวกัน หลินเจี้ยนเยี่ยจึงไม่อาจปฏิเสธ เขาลังเลครู่หนึ่งก่อนที่จะตอบ “คุณก็รู้ว่าพี่สะใภ้ของคุณทำอาหารไม่เก่ง”
ซูเจวียนได้ฟังก็รีบตอบทันที “พี่เจี้ยนเยี่ย ฉันไม่เลือกมากหรอกค่ะ แค่กินได้ก็พอ”
หลินเจี้ยนเยี่ยเห็นหล่อนพูดเช่นนี้แล้ว จึงตอบแบบจำใจ “ได้สิ งั้นก็ไปเถอะ”
สวี่ม่ายซุ่ยกำลังล้างมืออยู่ที่บ้าน พอเห็นทั้งสองเดินกลับมาด้วยกัน สีหน้าก็เข้มขึ้น ส่วนหลินเซียวกับหลินฟานก็ตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ก้มศีรษะลงและพึมพำ “หล่อนมาที่นี่ทำไม”
ซูเจวียนไม่รู้ว่าเพราะอะไรเด็กทั้งสองถึงไม่ชอบหล่อน บางทีอาจจะเพราะเห็นหล่อนตำหนิแม่ของพวกเขาในตอนที่พ่อไม่อยู่
พอสวี่ม่ายซุ่ยเห็นซูเจวียน เธอก็หัวเราะเยาะและไม่สนใจ ด้วยจำได้ว่าซูเจวียนเคยมาที่นี่ในชาติที่แล้ว ตอนนั้นเธอเพิ่งถูกรังแกจนสลบไป จะมีเวลาทำอาหารได้อย่างไร หลินเจี้ยนกั๋วเองก็ไม่ว่าง จึงไม่มีทางเลือกนอกจากเดินออกไป
หลินเจี้ยนเยี่ยบอก “ที่บ้านของซูเจวียนไม่มีอาหารแล้ว หล่อนจึงมากินข้าวกับพวกเรามื้อหนึ่ง”
สวี่ม่ายซุ่ยได้ฟังก็เดินตรงเข้าไปในบ้านและแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เมื่อลูกทั้งสองเห็นดังนั้นก็รีบเดินตามเข้าไป
“แม่ จะให้หล่อนกินอาหารที่บ้านพวกเราจริง ๆ เหรอ อาหารจะพอสำหรับครอบครัวเราไหม” หลินเซียวมองไปที่แม่ของเขาและถามอย่างกังวล
สวี่ม่ายซุ่ยตอบ “พ่อของลูกพาคนมาถึงบ้านแล้ว จะไล่ออกไปได้ยังไงล่ะ?”
จากท่าทางของหลินเจี้ยนเยี่ย ถ้าเขาไม่คิดจะช่วยก็น่าจะปฏิเสธแต่แรก การพาคนมาถึงนี่ก็แสดงว่าเขาตัดสินใจที่จะเลี้ยงอาหารแล้ว
เมื่อหลินเซียวได้ฟัง ดวงตาก็ฉายแววผิดหวัง อันที่จริงต้านปิ่งนั้นอร่อยมากเหลือเกิน เขาจึงลังเลที่จะแบ่งให้คนอื่น
สวี่ม่ายซุ่ยมองแวบเดียวก็ดูออกว่าหลินเซียวคิดอะไรอยู่จึงพูดปลอบใจ “สบายใจเถอะ แม่จะแบ่งจากส่วนของพ่อให้หล่อน เท่านี้ลูกก็ได้กินอย่างเต็มที่แล้ว”
เมื่อหลินเซียวกับหลินฟานได้ฟัง แววตาก็เป็นประกายขึ้นทันที ขณะเดียวกันหลินเจี้ยนเยี่ยกับซูเจวียนที่ล้างมือเสร็จแล้วก็เดินเข้ามา เมื่อเห็นอาหารบนโต๊ะ ซูเจวียนก็อุทานอย่างประหลาดใจ “ม่ายซุ่ย เธอทำอาหารได้ดีขนาดนี้เลยเหรอ”
“เมื่อครู่พี่เจี้ยนเยี่ยเพิ่งจะพูดกับฉันว่าเธอทำอาหารไม่ค่อยอร่อย ฉันก็เตรียมจะมาช่วย ไม่คิดว่าเธอจะเก่งขนาดนี้”
หลังจากได้ยินดังนั้น สวี่ม่ายซุ่ยก็เหลือบมองหลินเจี้ยนเยี่ยอย่างเย็นชา เขาถูจมูกไปมาและเอ่ยกับซูเจวียน “มัวแต่พูดอะไรอยู่ รีบกินข้าวเถอะ”
ซูเจวียนเห็นหลินเจี้ยนเยี่ยเป็นแบบนั้นก็หัวเราะออกมาอย่างไม่ตั้งใจและอธิบายให้สวี่ม่ายซุ่ยฟัง “ม่ายซุ่ย เธออย่าคิดมาก พี่ชายเจี้ยนเยี่ยไม่เคยพูดเรื่องไม่ดีของเธอให้ฉันฟัง”
สวี่ม่ายซุ่ยแค่นเสียงเบา ๆ และเอ่ยระหว่างที่ยื่นตะเกียบให้ลูกทั้งสอง “ไม่เป็นไรหรอก ต่อให้จะว่าฉันเลวฉันก็ไม่สน”
หลินเจี้ยนเยี่ย “…”
เมื่อเห็นในมือของสวี่ม่ายซุ่ยเหลือตะเกียบเพียงหนึ่งคู่ หลินเจี้ยนเยี่ยจึงรีบพูดกับซูเจวียน “ไม่รู้ว่าคุณจะมา พี่สะใภ้จึงไม่ได้เตรียมตะเกียบไว้มากขนาดนั้น คุณไปห้องครัวแล้วเอามาอีกคู่เถอะ”
ซูเจวียนอึ้งไป ทำได้เพียงลุกขึ้นไปหยิบตะเกียบอย่างไม่เต็มใจนัก
สวี่ม่ายซุ่ยเห็นถ้วยข้าวต้มสี่ถ้วยบนโต๊ะจึงรีบตะโกนบอกซูเจวียน “ในครัวมีข้าวต้ม เธอตักมาหนึ่งถ้วยสิ”
ซูเจวียนกำหมัดแน่นหลังจากที่ได้ฟังและเดินตรงไปที่ห้องครัว
รอให้แขกหายไปจนลับตา สวี่ม่ายซุ่ยก็พูดจาเหน็บแนมหลินเจี้ยนเยี่ย “หล่อนเป็นแขกนะ คุณทำแบบนี้ได้ยังไง”
หลินเจี้ยนเยี่ย “ซูเจวียนไม่ใช่คนนอก หล่อนไม่ใส่ใจเรื่องนี้หรอก”
สวี่ม่ายซุ่ย “ใช่สิ หล่อนไม่ใช่คนนอก”
หลินเจี้ยนเยี่ยเห็นว่าเวลาสวี่ม่ายซุ่ยเจอซูเจวียนมักจะพูดจาเหน็บแนมอยู่ตลอดจึงอธิบายอย่างจำใจ “ฉันกับหล่อนแค่โตมาด้วยกัน ไม่มีอะไรหรอก”
สวี่ม่ายซุ่ยรู้ว่าที่หลินเจี้ยนเยี่ยพูดมาเป็นเรื่องจริงแต่ก็ตอบกลับไปแบบไม่สบอารมณ์ “ใช่สิ ไม่มีอะไร! ในบ้านก็มีอาหารเท่านี้ ไม่พอกินหรอก”
หลินเจี้ยนเยี่ย “แบ่งส่วนของฉันให้หล่อนก็ได้”
สวี่ม่ายซุ่ย “ตอนแรกฉันก็คิดไว้แบบนั้นเหมือนกัน”
หลังซูเจวียนหยิบตะเกียบมาแล้วก็นั่งลง เมื่อมองต้านปิ่งที่เหลือเพียงสองชิ้น หล่อนก็คีบมากินชิ้นหนึ่งพลางถอนหายใจ “ม่ายซุ่ย ฝีมือเธอดีมากเลย ต้านปิ่งนี่อร่อยมาก ใส่ไข่ไก่ลงไปใช่ไหม”
สวี่ม่ายซุ่ยได้ฟังก็ยิ้มให้แบบส่ง ๆ ไม่ตอบอะไร จากนั้นก็ฟังอีกฝ่ายพูดต่อ “โอ้! พอได้กินต้านปิ่งนี้ ฉันก็คิดถึงป้าหลินแล้ว ท่านบอกว่าที่บ้านเกิดนั้นลำบาก ป้าหลินจะรู้ไหมว่าฉันได้กินต้านปิ่ง”
พูดไปพูดมาก็มีเสียงสะอื้นเจืออยู่ในลำคอ
สวี่ม่ายซุ่ยได้ยินดังนั้นก็เม้มปากดูถูก ถ้าเมื่อก่อนเธอได้ยินคำพูดเช่นนี้ต้องใจฝ่อแน่ แต่เธอเคยเห็นหน้าค่าตานางหลินมาก่อน ย่อมไม่เชื่อเรื่องที่ว่า
สวี่ม่ายซุ่ยคีบต้านปิ่งชิ้นสุดท้ายในจานพลางเอ่ย “วันก่อนป้าหลินของเธอเพิ่งจะเอาไข่จากบ้านฉันไปสิบห้าฟอง หมูสองชั่ง ผักกวางตุ้งหนึ่งตะกร้า แป้งหมี่ขาวสิบชั่ง ฉันก็ไม่รู้ว่าเอาของไปมากมายเพียงนี้ แล้วเหตุใดกับแค่ต้านปิ่ง หล่อนจึงไม่เคยกิน”
ซูเจวียนได้ฟังก็สะอึกไปหนึ่งที สีหน้าดูเขินอายขึ้นมา
หลินเจี้ยนเยี่ยกำลังมองจานที่ว่างเปล่า พูดอย่างจำใจครั้งแล้วครั้งเล่า “พอแล้ว รีบกินข้าวเถอะ”
ซูเจวียนจึงหยุดเสแสร้งและกินข้าวอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อเห็นหลินเจี้ยนเยี่ยกินข้าวต้มเปล่า ๆ ก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ย “พี่เจี้ยนเยี่ย ฉันแบ่งต้านปิ่งให้พี่ครึ่งหนึ่ง” ขณะพูดก็เหลือบตามองสวี่ม่ายซุ่ย ราวกับจะโทษเธอว่าทำไมไม่แบ่งส่วนของตนให้หลินเจี้ยนเยี่ย
หลินเจี้ยนเยี่ยมองไปที่ซูเจวียนและตอบอย่างเย็นชา “ไม่ต้อง ผมกินแค่ข้าวต้มก็พอ”
ไม่รู้ว่าสมองของหล่อนเป็นอะไร ถึงคิดเข้าข้างตัวเองว่าหลินเจี้ยนเยี่ยกลัวหล่อนกินไม่อิ่ม จึงพูดอย่างนุ่มนวล “ขอบคุณนะคะพี่เจี้ยนเยี่ย พี่ใจดีจริง ๆ”
สวี่ม่ายซุ่ยได้ยินแล้วก็ถึงกับแค่นหัวเราะหยัน เธอลุกขึ้นหยิบชามเปล่าแล้วเดินออกไป เมื่อหลินเซียวกับหลินฟานเห็นดังนั้นก็รีบตามไปเช่นกัน
หลังวางชามและตะเกียบใส่กะละมังแล้ว สองพี่น้องก็กำลังจะหาจังหวะหนี แต่มีเสียงตะโกนด้วยความโมโหดังขึ้นเสียก่อน “ลูกสองคนจะไปไหน!”
หลินเซียวตอบ “ไปจับจักจั่นทอง!”
พูดจบก็รีบวิ่งหนีไป
สวี่ม่ายซุ่ยไม่ได้ห้ามแล้วยังตามใจพวกเขา จากนั้นก็พับแขนเสื้อของตัวเองขึ้น เตรียมจะไปซักเสื้อให้ลูกทั้งสอง เมื่อมองไปที่กะละมังข้างหน้าก็พบว่าน้ำในกะลังมังดำหมดแล้ว ทำให้เธอขมวดคิ้วอย่างไม่รู้ตัวและเริ่มซักผ้าอย่างจำยอม
ใครจะไปรู้ว่าขณะที่เพิ่งจะซักเสื้อไปได้สองตัว ซูเจวียนจะเดินปรี่เข้ามาหา “สวี่ม่ายซุ่ย เกิดอะไรขึ้นกับเธอ ทำไมเธอถึงทำมื้อค่ำแบบนี้! อาหารพวกนี้กินไม่อิ่มเลย เธอไม่รู้หรือไงว่าพี่เจี้ยนเยี่ยต้องฝึกซ้อมอย่างหนักแค่ไหน!”
เมื่อได้ฟังซูเจวียนพูดเช่นนี้ เธอก็รู้ทันทีว่าหลินเจี้ยนเยี่ยไม่ได้ตามออกมาด้วย ซูเจวียนผู้นี้เสแสร้งเก่งเป็นที่สุด เมื่ออยู่ต่อหน้าหลินเจี้ยนเยี่ยหล่อนจะทำทีเป็นลูกกระต่ายขาว แต่พออยู่ต่อหน้าเธอกลับกลายเป็นแม่เสือ
สวี่ม่ายซุ่ยชะงักมือที่ซักผ้า เงยหน้าขึ้นมองซูเจวียน จากนั้นก็พบว่าหล่อนกำลังมองมาด้วยสีหน้าบูดบึ้ง บนใบหน้าล้วนเต็มไปด้วยคำถาม เมื่อเห็นอีกฝ่ายทนไม่ไหวจึงหัวเราะออกมา “สหายซู อาหารของบ้านฉันถูกป้าหลินของเธอเอาไปหมดแล้ว เหลือเพียงของพวกนี้ที่พอจะนำมาทำมื้อเย็นได้เท่านั้น!”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
รำคาญยัยดอกบัวขาวเหลือเกิน แปลไปมองบนไป อย่ามาดัดจริตทำตัวเป็นผีไร้ญาติแถวนี้ค่ะ มาหลุมไหนกลับหลุมนั้นไปเลย
ฝ่ายผู้ชายนี่ก็เหลาะแหละเหลือเกิน ถ้าไม่รักม่ายซุ่ยก็หย่าแล้วไปอยู่กับนังดอกบัวขาวนี่ให้จบ ๆ เถอะ
ชิวเฟิง
MANGA DISCUSSION