ตอนที่ 48 วางมาด
ผู้หญิงคนนั้นมองใบถั่วลิสงใต้เท้าสวี่ม่ายซุ่ยแล้วเหลือบมองใบไม้ใต้เท้าตัวเอง สีหน้าก็พลันซีดขาวขึ้นมา เพราะหล่อนรู้ดีว่าตัวเองแพ้แล้วโดยไม่จำเป็นต้องแข่งอีกครั้ง
“ฉันไม่ยอม เธอชนะโดยไม่ใช้ฝีมือ เธอใช้เครื่องมือทุ่นแรงด้วย”
สวี่ม่ายซุ่ยรู้นานแล้วว่าหล่อนคงไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ จึงพูดอย่างทนไม่ไหว “งั้นเธออยากแข่งอะไร”
ผู้หญิงคนนั้นส่งสายตากลับ “พวกเรามาแข่งถอนถั่วลิสงกัน”
ถอนถั่วลิสงไม่ต้องใช้เครื่องมืออะไร ยังไงหล่อนก็ไม่เชื่อว่าเธอจะยอดเยี่ยมมากกว่าตน
สวี่ม่ายซุ่ยกลับไม่ได้คัดค้าน พยักหน้าอย่างสบาย ๆ “ได้ งั้นแข่งว่าใครจะถอนจนถึงหินใหญ่ก้อนนั้นได้ก่อนแล้วกัน”
ไร่ถั่วลิสงฝั่งพวกหล่อนยาวเป็นพิเศษ ถ้าแข่งว่าใครจะถอนจนถึงหินก้อนนั้น คนอื่นคงไม่ต้องทำกันแล้ว อีกอย่างหล่อนก็แค่วางมาด ไม่จำเป็นที่จะต้องทำให้ตัวเองจนตรอกเกินไปนัก
ผู้หญิงคนนั้นตอบตกลง “ได้”
พูดจบหล่อนก็เดินไปนั่งยองหน้าแปลงถั่วลิสง
สวี่ม่ายซุ่ยเห็นก็ตามไปนั่งยองลงด้านข้าง พอได้ยินเสียงบอกให้เริ่ม ทั้งสองก็ถอนถั่วด้วยความรวดเร็ว
นี่คือการแข่งเรื่องพละกำลังล้วน ๆ เพราะผู้หญิงคนนั้นแพ้ไปเมื่อครู่ ในใจจึงฮึดสู้ขึ้นมา ตอนเริ่มต้นจึงทำผลงานยอดเยี่ยมมาก ถอนต้นถั่วไม่กี่ทีก็ออกนำทิ้งห่างสวี่ม่ายซุ่ยไปแล้ว
ทว่าสวี่ม่ายซุ่ยกลับรักษาระดับความเร็วก่อนหน้าไว้ หนึ่งคือถ้าใช้แรงเยอะ ตอนกลางคืนจะปวดเมื่อย สองคือถ้าผลาญแรงมากไป อีกสักพักจะหมดแรง
คนในหมู่บ้านเห็นสวี่ม่ายซุ่ยโดนทิ้งห่างอยู่ด้านหลังต่างก็ส่งเสียงซุบซิบนินทา “นักบัญชีสวี่คนนี้ มองแวบเดียวก็รู้ว่าสู้ต้าเหมยไม่ได้ ที่เมื่อกี้ชนะฉันว่า เป็นเพราะหล่อนใช้เครื่องมือล้วน ๆ”
“ใช่ คนที่เคยไม่ทำงานจะมาแข่งกับคนที่เคยทำงานได้ยังไง ฉันว่าที่เมื่อกี้หล่อนชนะต้องเป็นเพราะพึ่งดวงแหง ๆ”
ตอนที่พวกหล่อนซุบซิบกัน ทางฝั่งหัวหน้าหน่วยย่อยกลับมีสีหน้าหนักอึ้ง
“หัวหน้าทำไมคุณไม่พูดล่ะ?”
หลี่โหย่วไฉ “พวกเธอนี่นะ จะดูถูกนักบัญชีสวี่ของพวกเราเกินไปหน่อยแล้ว รอก่อนเถอะ อีกสักพักคอยดูแล้วกัน”
พวกเขาเหล่านี้ที่ได้รับเลือกจากหัวหน้าหน่วยมาเป็นหัวหน้าหน่วยย่อย แน่นอนว่าต้องเป็นคนที่มีความสามารถ การแข่งขันระหว่างสวี่ม่ายซุ่ยกับต้าเหมยสนามนี้ แค่เริ่มต้นมาพวกเขาก็รู้แล้วว่าใครเก่งจริง
ไม่นานนักสวี่ม่ายซุ่ยก็ไล่ตามทันอย่างที่คาด ตอนที่อีกฝ่ายกำลังเข้าใกล้เส้นชัย สวี่ม่ายซุ่ยก็แซงหน้าไปอย่างไม่ร้อนรน
หลังถอนถั่วจนถึงหินใหญ่ก้อนนั้นแล้วสวี่ม่ายซุ่ยถึงได้หยุด เธอเช็ดเหงื่อพลางหันหลังไปมอง ก็เห็นต้าเหมยตามหลังเธออยู่สองก้าว หล่อนนั่งลงหอบหายใจด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า
สวี่ม่ายซุ่ยพักสักครู่ก็ลุกขึ้นมาเดินตรงไปด้านหน้าหล่อน มองจากมุมสูงลงไป พลางถาม “ยังจะแข่งอยู่ไหม? ถ้าเธออยากแข่งหักข้าวโพดก็แข่งได้นะ”
ต้าเหมยเงยหน้าขึ้นมองเธอ เห็นท่าทางกระปรี้กระเปร่าของเธอก็รีบโบกมือตอบอย่างไร้เรี่ยวแรง “ไม่แข่งแล้ว ไม่แข่งแล้ว เธอสุดยอดมาก”
หลังจากที่สวี่ม่ายซุ่ยได้ยินหล่อนพูดขนาดนี้ เธอก็ไม่ได้ตอบโต้ กลับหันหลังไปพูดกับทุกคน “พอแล้ว ไม่ต้องมามุงกันแล้ว รีบไปทำงานเถอะ”
ฝูงชนเห็นสวี่ม่ายซุ่ยแล้วถึงได้จากไปอย่างไม่เต็มใจนัก อย่างไรเสียการแข่งสนุก ๆ แบบนี้ก็ไม่ได้มีให้เห็นมานานแล้ว
หลี่โหย่วไฉยืนอยู่ตรงนั้นมองร่างสะโอดสะองของสวี่ม่ายซุ่ย ถามอย่างประหลาดใจว่า “นักบัญชีสวี่ เธอดูเหมือนไม่เคยทำงานหนักมาก่อนนะ ทำไมถึงได้ดูคุ้นเคยกับงานพวกนี้นัก”
สวี่ม่ายซุ่ยรู้ว่าตนวางมาดสำเร็จก็หันไปตอบกลับหลี่โหย่วไฉ “ใครบอกว่าฉันไม่เคยทำงาน ฉันเจ็ดขวบก็ลงแปลงกับแม่แล้ว จะมีงานอะไรที่ฉันไม่เคยทำล่ะ งานพวกนี้สำหรับฉันน่ะเป็นเรื่องขี้ปะติ๋ว”
หลี่โหย่วไฉ “นักบัญชีสวี่ ถามได้ไหมว่าคุณมาจากที่ไหน?”
สวี่ม่ายซุ่ย “บ้านแม่ฉันอยู่บนฝั่งน่ะ”
ฝูงชนได้ยินก็เข้าใจว่าทำไมเธอถึงยอดเยี่ยมขนาดนั้น พื้นที่บนฝั่งไม่เหมือนกับพื้นที่ติดทะเลของพวกหล่อน แผ่นดินฝั่งพวกหล่อนทางนี้มีแต่ดินด่าง ปลูกพืชได้ไม่กี่ชนิด
อีกอย่างพื้นที่บนฝั่งก็มีข้อจำกัดไม่เหมือนที่นี่ ตัวเลือกพืชของทางนั้นมีเยอะกว่า ปกติแล้วไม่ว่าฤดูกาลอะไรก็จะปลูกตามที่หัวหน้าหมู่บ้านเห็นสมควร ดังนั้นจึงปลูกได้เยอะ
หลังจากการวางมาดครั้งนี้ก็ไม่มีใครกล้าดูถูกเธอเรื่องงานเกี่ยวกับพืชผลการเกษตรอีก ไม่ว่าจะดำเนินการใดต่อจากนี้ก็สะดวกขึ้นมาก
สวี่ม่ายซุ่ยเห็นว่าทุกคนไปทำงานแล้ว ก็มองต้าเหมยที่ดูเหนื่อยล้าพลางพูด “ฉันให้เวลาเธอพักสองชั่วโมง เธอไปพักก่อน พักเสร็จแล้วค่อยมาทำงาน”
ผู้หญิงคนนั้นได้ฟังถามเธออย่างลังเล “งั้นแต้มทำงานของฉัน?”
หล่อนลงแปลงทำงานก็เพื่อหาแต้มทำงาน ถ้าไม่หาแต้มทำงานแล้วหล่อนจะมาทำอะไร
สวี่ม่ายซุ่ย “สองชั่วโมงนี้ถือว่าเธอได้ทำงานไปแล้ว ไม่กระทบกับแต้มทำงานแน่นอน”
ผู้หญิงคนนั้นฟังจบก็มองเธออย่างซาบซึ้ง สวี่ม่ายซุ่ยกลับไม่ได้พูดอะไร แต่ป้อนถัวลิสงเข้าเครื่องคัดแยกต่อ ครั้งนี้เธอไม่เหมือนกับครั้งก่อนที่ทำงานอย่างบ้าคลั่ง แต่ทำอย่างค่อยเป็นค่อยไปด้วยระดับความเร็วเหมือนคนอื่น
ช่วงเวลานี้เองที่เย่หลานลอบมองเธอ เห็นเธอจะไปก็รีบพูดอย่างตื่นเต้น “พี่สะใภ้ เมื่อกี้พี่ดูเท่มากเลย ฉันไม่คิดเลยว่าที่จริงแล้วพี่จะยอดเยี่ยมขนาดนี้ ถ้าพ่อสามีฉันรู้เข้าต้องดีใจมากแน่ ๆ”
หัวหน้าหน่วยไม่เอาคนในหมู่บ้านตัวเอง แต่หาคนจากข้างนอก ก็เลยรับแรงกดดันมาก
สวี่ม่ายซุ่ย “หัวหน้าหน่วยสนับสนุนฉันขนาดนี้ ฉันคงแอบอู้ไม่ได้หรอก”
ไม่นานก็ถึงเวลาเลิกงานแล้ว ทุกคนเข้ามาใกล้สวี่ม่ายซุ่ย รอเธอขานชื่อ
สวี่ม่ายซุ่ยมองคนที่เข้ามารอบ ๆ แล้วมองงานในไร่ ก็ขมวดหว่างคิ้ว ไม่คิดเลยว่าคนมากขนาดนี้ แต่งานทั้งบ่ายกลับสำเร็จเพียงเล็กน้อยอย่างคาดไม่ถึง
หลี่โหย่วไฉเห็นสวี่ม่ายซุ่ยขมวดคิ้วพลางขานชื่อ ก็ถามอย่างประหลาดใจ “นักบัญชีสวี่ เธอเป็นอะไร มีปัญหาอะไรหรือเปล่า”
สวี่ม่ายซุ่ยมองเขาแล้วมองทุกคน พูดตรง ๆ อย่างไม่อ้อมค้อม “ก็ไม่มีอะไร แค่รู้สึกว่าทุกคนมีกันเยอะขนาดนี้ ทำงานไปนิดเดียวมันไม่ถูก”
พอพ่นคำนี้ออกมา สีหน้าของฝูงชนก็เปลี่ยนไป สวี่ม่ายซุ่ยเปิดโปงพวกหล่อนเช่นนี้ ทุกคนก็ไม่กล้าพูดว่าพวกตนไม่เข้าใจ ทำได้แค่หัวเราะพลางพูดว่า “คงเพราะไม่ได้ทำมานานเลยไม่คุ้นชินน่ะ”
แต่สวี่ม่ายซุ่ยกลับรู้ว่าสภาพการทำงานร่วมกันแบบนี้ ทุกคนต้องมีความคิดแอบอู้แน่ ๆ
“ไม่มีอะไร วันแรกยังปรับตัวไม่ได้ก็ปกติ”
“เอาละ ทุกคนกลับไปก่อนเถอะ! มีเรื่องอะไรค่อยคุยพรุ่งนี้”
เพราะระยะเวลาเก็บเกี่ยวนาน ดังนั้นพวกเขาจึงพกเครื่องมือมาเอง งานเสร็จแล้วค่อยส่งคืนด้วยกัน
ทุกคนเห็นเธอไม่ซักไซ้ถึงค่อยผ่อนลมหายใจกลับไปบ้าน
แต่สวี่ม่ายซุ่ยกลับไม่ได้รีบออกไป ดูงานในไร่ทั้งหมดแล้วถึงจากไป เย่หลานเป็นคนพาเธอมา คงไม่ดีถ้าจะกลับคนเดียวจึงรอเธอมาตลอด
“นักบัญชีสวี่ ยังมีปัญหาอะไรอีกไหม?”
สวี่ม่ายซุ่ย “มีปัญหานิดหน่อย แต่ฉันจะกลับไปศึกษาก่อน รบกวนเธอบอกหัวหน้าหน่วยตอนเย็นด้วยนะว่าพรุ่งนี้ฉันจะไปหาเขาล่วงหน้าก่อนหนึ่งชั่วโมง”
เย่หลานแม้จะไม่เข้าใจอยู่บ้างแต่ก็รับปาก “ได้”
“นักบัญชีสวี่ เธอเองก็รีบกลับนะ ยุ่งมาทั้งวันคงเหนื่อยแล้ว”
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
อย่าดูถูกม่ายซุ่ยเชียวนะ เอาจริงขึ้นมาแล้วจะหนาวกันหมด
ชิวเฟิง
MANGA DISCUSSION