ตอนที่ 47 ก่อเรื่อง
คนหนุ่มคนหนึ่งฟังสวี่ม่ายซุ่ยอธิบายจบ ก็เบะปากตะโกนอย่างเหยียดหยาม “เสียหายอย่างมีเหตุผล อะไรคือเสียหายอย่างมีเหตุผล ไม่ใช่ว่าเป็นสิ่งที่เธอพูดเองเออเองหรอกเหรอ? เธอที่ไม่เคยทำงานมาก่อนจะแบ่งแต้มให้ชัดเจนได้เหรอ?”
“ทุกคนว่าใช่ไม่ใช่ ให้คนนอกมาเป็นนักบัญชีก็เกินไปแล้ว ตอนนี้ยังมาทำขนาดนี้อีก งานนี้เห็นทีฉันคงทำไม่ได้”
เวลานี้สวี่ม่ายซุ่ยมองเขาราดน้ำมันบนกองไฟด้วยใบหน้าเย็นชา และกำลังคิดว่าจะจัดการอย่างไร แต่ไม่ทันได้เอ่ยอะไรออกไป เสียงเคร่งขรึมจากคนในกลุ่มก็ดังขึ้นมา
“ฟู่เจียง งานนี้ถ้าเธอไม่อยากทำก็ไม่มีใครห้ามเธอนะ”
คำพูดของหัวหน้าหน่วยโพล่งขึ้นมา วัยรุ่นที่ก่อเรื่องก็นิ่งอึ้งทันที หันมามองหัวหน้าหน่วยด้วยสีหน้าเกรง ๆ พลางตอบกลับ “คุณปู่ใหญ่ ปู่พูดแบบนี้ มีงานจะไม่ทำได้ยังไงล่ะ เมื่อกี้ฉันก็แค่สงสัยนิดหน่อย เลยถามนักบัญชีสวี่”
หัวหน้าหน่วยฟังจบก็ทำเสียงฮึดฮัด “เธอมีแผนการอะไรในใจ ฉันจะไม่รู้ได้ไง ไม่ใช่ว่าอาศัยเรื่องที่นักบัญชีสวี่ไม่ใช่คนหมู่บ้านตัวเองมารังแกคนเขาหรือไง ฉันบอกเธอเลยว่านักบัญชีสวี่ไม่ใช่คนที่เธอจะมารังแกได้ ถ้าพวกเธออยากหาเรื่องหล่อน ฉันนี่แหละจะหาเรื่องพวกเธอ พวกเธอไม่ยอมรับกฎนี้เหรอ?”
ฟู่เจียง “ไม่ใช่ไม่ยอมรับ ฉันแค่ไม่เชื่อนักบัญชีสวี่ มองแวบเดียวก็รู้ว่าหล่อนไม่เคยทำมาก่อน งั้นถ้าเห็นเครื่องมือเสียหายแล้ว ถึงเวลาอย่ามาเอาเปรียบพวกเราละกัน”
หัวหน้าหน่วยได้ฟังก็ทำเสียงฮึดฮัดตอบกลับอย่างไม่เกรงใจ “เธอวางใจได้ ฉันจะตรวจความเสียหายของเครื่องมือพวกนี้เอง ทำไม เธอคงไม่วางใจแม้กระทั่งฉันหรอกนะ?”
ฟู่เจียงได้ยินว่าหัวหน้าหน่วยจะมาดูความเสียหาย ก็รีบตอบกลับด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “จะไม่วางใจได้ยังไง! คุณเป็นถึงหัวหน้าหมู่บ้าน ต่อให้ฉันไม่เชื่อใคร ก็ไม่มีทางไม่เชื่อคุณหรอก!”
หัวหน้าหน่วย “ในเมื่อเชื่อก็ไสหัวกลับไปทำงานซะ นักบัญชีสวี่ เธอแจกเครื่องมือต่อเถอะ”
เมื่อได้การสนับสนุนขนาดนี้จากหัวหน้าหน่วย คราวนี้คนในหมู่บ้านก็ไม่มีใครกล้ารังแกเธอ กระบวนการทำงานของสวี่ม่ายซุ่ยจึงเร็วขึ้นมาก
คนในหมู่บ้านได้รับเครื่องมือมาแล้วก็แยกย้ายกันไป ไม่นานทั้งลานก็เหลือแค่สวี่ม่ายซุ่ยกับสะใภ้สามของหัวหน้าหน่วย
พวกหัวหน้าหน่วยคือคนกลุ่มแรกที่ได้เครื่องมือไป เพราะพวกเขาจะไปจัดการเรื่องงานในไร่ก่อน
“น้องสะใภ้ พวกเราเก็บกวาดของพวกนี้แล้วก็ไปกันเถอะ!” สวี่ม่ายซุ่ยพูดกับสะใภ้สามของหัวหน้าหน่วย
สะใภ้สามของหัวหน้าหน่วยเป็นยุวปัญญาชนที่มาจากชนบท ไม่เคยทำงาน มองแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นพวกบอบบางอ่อนแอ
“ได้จ้ะ พี่สะใภ้ ฉันเย่หลานนะคะ พี่มีอะไรก็เรียกชื่อฉันได้”
แม้ว่าเย่หลานจะร่างกายไม่แข็งแรง แต่วาจาของหล่อนก็สดใสร่าเริง
สวี่ม่ายซุ่ย “ได้” พูดจบทั้งสองคนก็เริ่มเก็บของ
เพราะว่าเย่หลานกำลังมีอีกชีวิตหนึ่งอยู่ในท้อง สวี่ม่ายซุ่ยจึงไม่กล้าให้หล่อนทำงานหนักนัก ทำให้เย่หลานรู้สึกเกรงใจมาก “พี่สะใภ้ ร่างกายฉันอ่อนแอก็จริง แต่ไม่ได้ถึงขั้นนั้นหรอกค่ะ งานสบาย ๆ พวกนี้ฉันทำได้หมดเลย”
สวี่ม่ายซุ่ย “เมื่อครู่เธอยุ่งไปตั้งนานขนาดนั้น พักก่อนเถอะแล้วค่อยทำงาน”
เย่หลานมองไปรอบ ๆ ไม่เห็นงานอะไรแล้วก็นั่งข้าง ๆ อย่างไม่เกรงใจ “ขอบคุณนะคะพี่สะใภ้”
รอสวี่ม่ายซุ่ยเก็บกวาดเสร็จ เย่หลานก็พาสวี่ม่ายซุ่ยไปที่ไร่ ตอนไปถึงงานก็ถูกจัดแบ่งเสร็จแล้ว หัวหน้าหน่วยเอาตารางมาให้สวี่ม่ายซุ่ยพลางพูด “ใครมา ใครไม่มาฉันจำไว้หมดแล้ว อีกสักพักงานตอนบ่ายเธอค่อยตรวจอีกรอบ งานทางนี้ก็ส่งให้เธอละกันนะ ฉันจะไปดูทางนั้น”
พูดจบเขาก็ไป
สวี่ม่ายซุ่ยรีบกวาดตามองตารางที่เติมเสร็จแล้ว เธอเข้าไปขวางหัวหน้าหมู่บ้านพลางถาม “ฉันควรตรวจยังไงคะ”
แม้ว่าเธอจะเป็นนักบัญชีของหมู่บ้าน แต่ช่วงเร่งเก็บเกี่ยว งานที่ควรทำก็ต้องทำ ไม่อย่างนั้นแต้มทำงานสิบแต้มของเธอจะทำคนอื่นไม่สบายใจเอาได้
ที่จริงแล้วหัวหน้าหมู่บ้านไม่ได้วางแผนให้เธอทำงาน แต่เธอก็ไม่สามารถนั่งอยู่เฉย ๆ ได้ ไม่อย่างนั้นจะดูเหมือนเจ้าของที่ดิน “เธอกับเย่หลานไปแยกถั่วลิสงแล้วกัน ถ้าทำไม่เป็นก็ให้คนมาสอนเธอ”
ในสายตาของหัวหน้าหน่วย เธอกับเย่หลานต่างก็ดูบอบบาง มองแวบเดียวก็รู้ว่าไม่เคยทำงาน
สวี่ม่ายซุ่ยตอบกลับเสียงดัง “ฉันทำเป็น”
พูดจบก็เดินไปยังลานแยกถั่วลิสง
เย่หลานเห็นแล้วก็ได้แต่ตามไป
สวี่ม่ายซุ่ยไปถึงที่นั่นแล้วเห็นทุกคนนั่งแยกถั่วลิสง ก็เดินเข้าไปโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
ใครจะรู้ว่าถึงเธอไม่ได้สร้างปัญหาให้คนอื่น แต่ดันมีคนเห็นเธอแล้วขัดสายตา
อย่างไรเสียการที่เธอโดดเข้ามาเป็นนักบัญชีกลางคันก็ไปกระทบกับผลประโยชน์คนจำนวนไม่น้อย
“นักบัญชีสวี่ เมื่อก่อนเธอไม่เคยทำงานใช่ไหม ทำไมฉันมองแล้วเธอดูไม่เป็นงานล่ะ”
สวี่ม่ายซุ่ยเงยหน้ามองหล่อน ก็เห็นว่าหญิงสาววัยรุ่น ทว่ารูปโฉมไม่ค่อยดีกำลังมองเธออย่างดุดันเล็กน้อย
“ฉันทำงานนี้แล้วดูไม่ค่อยเป็นงานตรงไหนล่ะ?”
“ฝีมือช้าไปหน่อย เธอดูสิว่าพวกฉันทำไปตั้งเท่าไรแล้ว เธอยังทำได้แค่นิดเดียว ก็ไม่รู้นะว่าตอนนั้นหัวหน้าหน่วยคิดยังไงถึงให้งานนี้เธอ”
“เธอนี่มันโง่จริง ชาวบ้านที่ไหนเขาจะใช้หัวหน้าหน่วยจดแต้มทำงาน คนเขาจำกันเองหมด ยังไงก็ได้สิบแต้มทำงาน!” ผู้หญิงอีกคนที่อยู่ติดกับหล่อนโพล่งขึ้นมา
สวี่ม่ายซุ่ยมองใบถั่วลิสงใต้เท้าพวกหล่อน แล้วมองใต้เท้าตัวเอง อันที่จริงก็ยังน้อยกว่าพวกหล่อนไปมาก แต่พวกหล่อนหลายคนนั่งทำงานมาชั่วโมงกว่าแล้ว ปริมาณงานแค่นี้จึงถือว่าอู้งานเอาเปรียบคนอื่น
ตอนที่ทั้งสองพูดคุยกันนั้นเสียงไม่ได้เบาเลย มิหนำซ้ำยังดังทั้งคู่ สวี่ม่ายซุ่ยมองแวบเดียวก็ดูออกว่าพวกหล่อนคิดจะฉวยโอกาสตอนหัวหน้าหน่วยไม่อยู่มาข่มขู่เธอ
“เธอคิดว่าฉันทำช้ากว่าเธอใช่ไหม? ถ้าไม่งั้นมาแข่งกันไหมล่ะ?” สวี่ม่ายซุ่ยมองกลับแล้วพูดตามที่คิด
ด้านเย่หลานฟังจบก็หยุดสวี่ม่ายซุ่ยไว้ กลัวเธอจะโดนคนอื่นตำหนิว่าไม่ประมาณตัวเอง
ผู้หญิงคนนั้นฟังจบก็เหลือบมองเธออย่างเหยียดหยาม “เธอพูดให้มันจริงเถอะ ถึงเวลาแพ้ขึ้นมาอย่าหาว่าฉันรังแกเธอละ”
สวี่ม่ายซุ่ยลุกขึ้นตอบกลับอย่างเรื่อยเปื่อย “ใครรังแกใครยังไม่แน่เลย เธอเสนอมาว่าจะแข่งยังไง?”
ผู้หญิงคนนั้น “ก็แข่งแยกถั่วลิสง”
สวี่ม่ายซุ่ย “ได้”
ตกลงเสร็จ สวี่ม่ายซุ่ยก็เตรียมการ ใส่หมวกเสร็จก็แบกกระบุงถือย่าม พูดกับหญิงคนนั้นว่า “เธอเตรียมพร้อมหรือยัง?”
ผู้หญิงคนนั้นเห็นสวี่ม่ายซุ่ยแต่งตัวแบบนี้ก็หัวเราะเยาะอย่างเหยียดหยาม “หึ ทำมาเป็นวางท่า เตรียมเสร็จแล้ว มาเริ่มเลยเถอะ”
พอคำพูดนั้นปล่อยออกมา สวี่ม่ายซุ่ยก็เอาใบถั่วลิสงด้านข้างใส่กระบุงออกแรงสะบัด ถั่วลิสงที่อยู่บนลำต้นก็ร่วงลงไปครึ่งหนึ่ง จากนั้นก็ร่วงลงไปสองในสาม พอสะบัดคัดแยกครั้งสุดท้าย ถั่วลิสงบนลำต้นก็ร่วงลงมาหมด
เพราะเสียงเอะอะของทั้งสองคนดึงดูดฝูงชนรอบข้างให้มามุงดูไม่น้อย พวกเขาที่ได้เห็นท่าทางของสวี่ม่ายซุ่ยต่างก็จ้องกันตาค้าง ไม่มีใครคิดว่านักบัญชีที่ดูเหมือนไม่เคยทำงานมาก่อน แท้จริงแล้วจะทำงานยอดเยี่ยมขนาดนี้
ผู้หญิงคนที่แข่งกับสวี่ม่ายซุ่ยยังคงโยนทีละกำ เห็นสวี่ม่ายซุ่ยโยนใบถั่วลิสงออกมาเยอะขึ้นเรื่อย ๆ เหงื่อบนศีรษะของหล่อนก็ยิ่งผุดมากขึ้น กระทั่งใบหน้ายังเปลี่ยนเป็นขาวซีด
สวี่ม่ายซุ่ยที่สะบัดแยกถั่วลิสงออกมาได้เต็มกระบุงโกยก็หันไปพูดกับหล่อนด้วยเสียงเอื่อยเฉื่อย “จะยังแข่งอยู่ไหม?”
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
หาว่าม่ายซุ่ยอ่อนแอทำงานไม่เป็นเหรอ งั้นก็ท้าพิสูจน์กันไปเลย
ชิวเฟิง
MANGA DISCUSSION