ตอนที่ 3 ประจันหน้า
หลินเซียวฟังจบแล้วก็ไม่ได้ประหลาดใจอะไร พลางรับต้านปิ่งมากัดคำโต
เมื่อเห็นเขากำลังจะไป สวี่ม่ายซุ่ยก็รีบตะโกน “ยกต้านปิ่งไปไว้ในห้องด้วย”
หลินเซียวฟังจบก็หันมายกจานแล้วเดินจากไป ช่วยไม่ได้ที่ห้องครัวนั้นร้อนเกินเหลือเกิน อยู่ในนั้นแค่ครู่เดียวก็เหงื่อไหลโชก
เมื่อหลินเซียวไปแล้ว สวี่ม่ายซุ่ยก็รีบตั้งไฟทอดจักจั่น หลินเซียวดึงปีกจักจั่นออกไปหมดแล้ว แค่ล้างน้ำสักหน่อยก็เอาลงไปทอดน้ำมันได้เลย ความจริงการทอดแบบนี้สิ้นเปลืองน้ำมันมาก แต่เนื่องจากอากาศร้อนเกินไปและการทอดจักจั่นทีละตัวเป็นเรื่องยุ่งยากเสียเวลา ไม่สะดวกรวดเร็วเหมือนการทอดน้ำมันท่วมในครั้งเดียว
ไม่ทันไรจักจั่นโหลนั้นก็ถูกทอดจนหมด ใส่ในจานได้พอดีหนึ่งจาน
ตอนที่สวี่ม่ายซุ่ยยกจักจั่นทอดมาจากห้องครัว สองพี่น้องที่กินต้านปิ่งในมือเสร็จพอดีต่างก็รีบมองมาตาปริบ ๆ
“แม่ เมื่อไหร่จะเริ่มกิน”
สวี่ม่ายซุ่ยตอบ “รอพ่อกลับมาค่อยเริ่มกิน”
หลินเซียวกับหลินฟานฟังจบก็ซึมไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็นั่งรอหลินเจี้ยนเยี่ยด้วยอาการห่อเหี่ยว สวี่ม่ายซุ่ยที่เพิ่งทำอาหารเสร็จเดิมทีคิดจะเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ใครจะรู้ว่าเมื่อมาถึงประตูห้องนอนแล้วจะได้ยินเสียงตะโกนจากด้านนอก “พี่สะใภ้หลิน พี่สะใภ้หลิน!”
สวี่ม่ายซุ่ยขมวดคิ้ว ชีวิตก่อนคนที่ตะโกนเรียกเธอว่าพี่สะใภ้หลินมีแค่สหายร่วมรบของหลินเจี้ยนเยี่ยเท่านั้น
“แม่ แม่! ลุงไช่ตะโกนเรียกแม่อยู่ข้างนอก” หลินเซียวรีบพุ่งเข้ามาขณะที่ดูดนิ้ว พลางพูดไปด้วย
สวี่ม่ายซุ่ยตะลึงไปชั่วขณะ เมื่อออกไปข้างนอกก็เห็นเสี่ยวไช่ที่เหงื่อโทรมกายมองมาทางตนด้วยท่าทางร้อนใจ
“เป็นอะไรไปคะ หรือว่าเกิดเรื่องขึ้นกับหลินเจี้ยนเยี่ย” สวี่ม่ายซุ่ยเห็นเสี่ยวไช่ดูกระวนกระวาย จึงถามขึ้นทันที
เสี่ยวไช่อยู่กรมเดียวกับหลินเจี้ยนเยี่ย ปกติเวลากรมของหลินเจี้ยนเยี่ยมีเรื่องอะไรก็จะให้เสี่ยวไช่มาแจ้งข่าว
เห็นสวี่ม่ายซุ่ยมีสีหน้ากังวล เสี่ยวไช่ที่กำลังหน้าซีดเซียวก็ลูบหัวอย่างขัดเขิน และตอบไปซื่อ ๆ “พี่สะใภ้ หัวหน้าพวกเราไม่ได้เป็นอะไร”
“เขาให้ผมมาตะโกนเรียกพี่ ดูท่าแล้วรีบมากทีเดียว”
ชีวิตก่อนไม่เคยมีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น ทำให้สวี่ม่ายซุ่ยไม่แน่ใจว่าหลินเจี้ยนเยี่ยมาตามหาตัวเองเพราะเรื่องอะไร จึงตอบอย่างลังเล “งั้นก็ไป!”
พูดจบก็ตะโกนบอกหลินเซียวกับหลินฟาน “แม่จะไปข้างนอกสักพัก ลูกสองคนอยู่บ้านทำตัวดี ๆ ล่ะ”
หลังพูดดังนั้นแล้วก็ตามเสี่ยวไช่ไปทันที
ระหว่างไปที่กรม สวี่ม่ายซุ่ยก็ถามเสี่ยวไช่อย่างเป็นกังวล “นายไม่รู้จริง ๆ เหรอว่าเกิดอะไรขึ้น”
เสี่ยวไช่ตอบอย่างลำบากใจ “พี่สะใภ้ ผมไม่รู้จริง ๆ”
สวี่ม่ายซุ่ยมองเสี่ยวไช่ ไม่รู้จะถามอะไรต่อ เธอเบะปากแล้วเดินตรงไปที่กรม
เมื่อไปถึงก็เห็นเสี่ยวไช่ตะโกนลั่น “รายงานตัวครับ!”
พอเสียงพูดคุยด้านในหยุดไปพักหนึ่ง เสี่ยวไช่ก็พูดกับพวกเขา “พี่สะใภ้หลินมาแล้ว” จากนั้นก็ขยับเปิดทางให้สวี่ม่ายซุ่ย
ตอนแรกสวี่ม่ายซุ่ยกังวลเล็กน้อย แต่พอถึงทางเข้าเธอกลับสงบขึ้นมาทันที เธอไม่ได้ทำอะไรผิดแล้วจะต้องกลัวทำไม? คิดดังนั้นก็เดินตรงเข้าไปด้านใน
ทันทีที่เข้าไปก็พบกับหลินเจี้ยนเยี่ยและจ้าวเป่ากั๋วหัวหน้าของเขายืนอยู่ด้วยกัน โดยมีจางหงเหมยที่หน้าบวมเป็นหัวหมูอยู่ข้างเด็กสาวคนหนึ่ง
พอเห็นสวี่ม่ายซุ่ยเข้ามา จางหงเหมยก็ระเบิดอารมณ์ ร้องตะโกน “ผบ.คะ! คุณต้องตัดสินให้ฉันนะคะ มันนั่นแหละที่ตีฉัน” หล่อนลุกขึ้นมาอย่างเอาเรื่อง ถลาไปชนกับจ้าวเป่ากั๋วจนเซ
เขารีบจับหลินเจี้ยนเยี่ยเพื่อพยุงตัว ยิ้มตาหยีแล้วพูดกับจางหงเหมยว่า “สหายจาง เธอไม่ต้องรีบหรอก ตอนนี้สหายสวี่ก็มาแล้ว พวกเธอค่อย ๆ พูดกันนะ”
จางหงเหมยได้ยินดังนั้นก็ไม่สบอารมณ์ “ผบ. คุณหมายความว่ายังไงคะ ไหนคุณบอกว่าจะตัดสินให้ฉัน อย่าบอกนะว่าคุณเป็นคนไม่รักษาคำพูด!”
ขณะที่จ้าวเป่ากั๋วกำลังทำหน้าลำบากใจ หลินเจี้ยนเยี่ยพลันตะโกนใส่สวี่ม่ายซุ่ย “สวี่ม่ายซุ่ย! คุณเก่งถึงขนาดไปทะเลาะกับชาวบ้านเลยเหรอ พูดสิ! ตกลงเรื่องมันเป็นยังไงกันแน่”
สวี่ม่ายซุ่ยอึ้งไปกับคำพูดของหลินเจี้ยนเยี่ย เพราะในชาติก่อนนอกจากทำสีหน้าถมึงทึงแล้ว อีกฝ่ายก็ไม่เคยตะคอกใส่เธอสักครั้ง
คนที่อยู่ตรงนั้นต่างตะลึงไปกับเสียงคำรามของหลินเจี้ยนเยี่ย มีเพียงซูเจวียนที่เดินไปอยู่ข้างเขาและเอ่ยอย่างใจเย็น “พี่เจี้ยนเยี่ย พี่อย่าเพิ่งโมโหเลย เดี๋ยวจะทำให้ม่ายซุ่ยกลัวเสียเปล่า ๆ”
“อีกอย่างนี่ก็เป็นเรื่องที่ขอโทษขอโพยกันได้ ให้ม่ายซุ่ยขอโทษหงเหมยก็พอแล้ว”
พอซูเจวียนพูดจบ สีหน้าโกรธขึ้งของหลินเจี้ยนเยี่ยก็คลายลงอย่างที่คาด “หล่อนกล้าทะเลาะวิวาทกับคนอื่นแบบนี้ แล้วหล่อนจะกลัวผมได้ยังไง”
สวี่ม่ายซุ่ยยืนอยู่ตรงข้ามทั้งสองคน เมื่อเห็นท่าทางเข้ากันดีเป็นปี่เป็นขลุ่ยและเหมาะสมราวกิ่งทองใบหยกของทั้งคู่ ริ้วความโกรธเคืองสายหนึ่งก็ปะทุขึ้น เธอเงยหน้าต่อว่าหลินเจี้ยนเยี่ยเสียงดัง “หลินเจี้ยนเยี่ย คนขี้ขลาดอย่างคุณน่ะเหรอเป็นถึงผู้บังคับกองร้อย ถุย! อย่างคุณไปเป็นคนครัวยังจะดีเสียกว่า”
“เหอะ! แต่จะให้คุณไปอยู่ในโรงครัวก็ดูจะเป็นการยกยอกันเกินไป คนที่กินบนเรือนขี้บนหลังคาอย่างคุณแม้แต่โรงครัวก็ไม่ต้องการ!”
หลินเจี้ยนเยี่ยพลันมีสีหน้ามืดครึ้มขณะฟังคำพูดจากปากสวี่ม่ายซุ่ย “สวี่ม่ายซุ่ย คุณอย่าล้ำเส้นให้มากนัก!”
สวี่ม่ายซุ่ยกล้าด่าเขาที่นี่ แน่นอนว่าย่อมไม่ได้คำนึงถึงหน้าตาศักดิ์ศรีตั้งแต่แรก พอฟังคำของหลินเจี้ยนเยี่ยแล้ว ไฟในอกเธอก็ยิ่งลุกโชน “ฉันล้ำเส้นเหรอ? คุณต่างหากที่ล้ำเส้น! ใคร ๆ ก็ทำร้ายครอบครัวคุณ ด่าว่าลูกเมียคุณได้ คุณที่แม้แต่สูดหายใจแรงยังไม่กล้า กลับมารังแกคนในบ้านเนี่ยนะ เป็นผู้ชายประสาอะไร!”
“ฉันว่าคุณมันโง่เกินเยียวยาแล้ว!”
หลินเจี้ยนเยี่ยเผยความหนักใจออกมาผ่านใบหน้า “ใครมาทุบตีบ้านเราและด่าทอคุณกับลูก”
สวี่ม่ายซุ่ยชี้ไปที่ด้านข้าง “หล่อนไง! หล่อนดึงหลินเซียวไปด่าตั้งแต่ทางเข้าหมู่บ้านยันบ้านของเรา แถมยังลงไม้ลงมือกับเขาอีก บอกว่าหลินเซียวไม่มีแม่คอยสั่งสอน”
“ดูรอยบนหน้าฉันสิ แล้วไหนจะเสื้อผ้านี่อีก หล่อนเป็นคนทำทั้งหมด ตอนแรกฉันก็ว่าจะปล่อยผ่านเรื่องนี้ไป แต่ในเมื่อหล่อนมาถึงกรมทหารแล้ว ฉันก็จะไม่เกรงใจอีกต่อไป ผบ.จ้าวคะ คุณจะทำยังไงกับเรื่องนี้!” เธอพูดพลางกระชากเก้าอี้ด้านข้างมานั่งลงอย่างไม่สนใจไยดี
หลินเจี้ยนเยี่ยกับจ้าวเป่ากั๋วตะลึงงัน เพราะแต่ก่อนสวี่ม่ายซุ่ยล้วนเป็นฝ่ายที่ยอมขอโทษคนอื่น ไหนเลยจะเคยเห็นตอนที่เธอเอาเรื่องขนาดนี้
ทางด้านซูเจวียนก็คาดไม่ถึงเช่นกัน เมื่อเห็นทุกคนไม่พูดอะไร หล่อนก็อดที่จะเอ่ยออกมาไม่ได้ “ม่ายซุ่ย เรื่องนี้ต่อให้หงเหมยจะบุกไปหาเธอก่อน แต่ก็ไปเพราะต้องการคุยกับเธอเรื่องเด็ก ๆ เธอไม่มีสิทธิ์ไปตีคนอื่นนะ!”
“เดิมทีนี่ก็เป็นเพียงเรื่องของเด็กสองคน เธอทำแบบนี้จะทำให้เรื่องยิ่งแย่ไปใหญ่ แถมยังเพิ่มความยุ่งยากให้ท่านผบ.อีก”
สิ่งที่น่ารำคาญที่สุดในชีวิตก่อนของสวี่ม่ายซุ่ยก็คือซูเจวียนผู้ที่ต่อสู้และเติบโตมาด้วยกันกับหลินเจี้ยนเยี่ย ผู้หญิงคนนี้เจ้ากี้เจ้าการกับบ้านเธอไม่น้อย
ตอนแรกเธอคิดว่าหลินเจี้ยนเยี่ยชอบซูเจวียน แต่ปรากฏว่าผ่านมาชีวิตหนึ่งแล้ว เธอก็ยังไม่เห็นเขาอยากจะหย่าเพื่อแต่งงานกับหล่อน ในเมื่อเป็นแบบนี้ก็ไม่ต้องเกรงใจอะไรให้มากความ แน่นอนว่ากับพวกที่จ้องจะจับสามีตัวเองยิ่งไม่ต้องคิดมาก พอได้ยินคำพูดหล่อน สวี่ม่ายซุ่ยยิ้มหยัน เงยหน้าขึ้มองซูเจวียนแล้วพูดอย่างไม่ไว้หน้า
“มาสั่งให้ฉันขอโทษ เธอเป็นใครไม่ทราบ!”
“เธอเป็นผู้บังคับการหรือเป็นคนบ้านจางหงเหมยเหรอ เรื่องนี้เธอมายุ่งอะไรด้วย!”
ซูเจวียนทำงานที่สหกรณ์บนเกาะ พอได้ยินเรื่องจางหงเหมยก็เข้าข้างอีกฝ่ายทันที หลังฟังคำพูดไม่เกรงใจของสวี่ม่ายซุ่ย หล่อนจึงหน้าแดงด้วยความโกรธ หันไปมองหลินเจี้ยนเยี่ยน้ำตาคลอเบ้า ตะโกนว่า “พี่เจี้ยนเยี่ย ฉันหวังดีนะ ไหนเลยจะคิดว่าม่ายซุ่ย…”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เป็นหัวหน้าครอบครัวก็ให้มันเข้มแข็งหน่อยโว้ยไอ้หนุ่ม ม่ายซุ่ยหย่าแล้วหาสามีใหม่เถอะค่ะ เป็นแต่ทำลูกแต่ปกป้องครอบครัวไม่เป็นก็อย่าเป็นสามีใครเลย
ยัยดอกบัวขาวนี่ เธอเป็นใครคะ มีสิทธิ์อะไรมายุ่งเรื่องครอบครัวเขา เมียเขาก็ไม่ใช่ กิ๊กเขาก็ไม่ใช่
ชิวเฟิง
MANGA DISCUSSION