ตอนที่ 22 เเย่งที่นั่ง
เนื่องจากพวกเธอแบกกระสอบมาด้วยถุงใหญ่ สวี่ม่ายเฉิงจึงไปส่งพวกเธอถึงป้ายรถ
ตอนขากลับพบว่าบนรถมีคนน้อย ทุกคนยืนรออยู่ที่ป้ายหมด เนื่องเพราะพาเด็กสองคนมาด้วย สวี่ม่ายซุ่ยจึงบอกสวี่ม่ายเถียนว่าจะพาเด็กสองคนขึ้นรถล่วงหน้าไปก่อน ให้เขาส่งกระสอบตามมาเมื่อได้ที่นั่งแล้วก็พอ
สวี่ม่ายเฉิงเป็นชายหนุ่มประเภทที่เเย่งชิงที่นั่งกับใครไม่ได้ พอฟังสวี่ม่ายซุ่ยจบก็พยักหน้าเงียบ ๆ
อันที่จริงในความคิดเขานั้น พี่สามผู้อ่อนเเอที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ของเขาก็คงเเย่งที่นั่งไม่ได้
ใครจะรู้ว่าพอรถโดยสารมา พี่สาวผู้เงียบขรึมของเขาจะเปลี่ยนเป็นคนละคน เธอเอาเเขนหนีบหลินฟาน เเล้วดึงมือหลินเซียวพุ่งไปข้างหน้า
เธอเบียดฝ่าผู้คนพลางตะโกน “หลบไป! หลบไป!”
ตอนที่ทุกคนยังตอบสนองไม่ทัน พี่สามของเขาก็ไปถึงด้านหน้านานเเล้ว และครอบครองที่นั่งสองที่ได้สำเร็จ
เขามองสวี่ม่ายซุ่ยจากด้านล่างรถด้วยความตกใจจนพูดไม่ออก จนกระทั่งเธอกวักมือ เขาถึงได้สติกลับมา รีบยกกระสอบเบียดขึ้นไปให้
ไม่ง่ายเลยกว่าจะเบียดไปจนถึงด้านข้างพี่สาว แล้วเขาก็เห็นเธอกำลังโต้เถียงอะไรบางอย่างกับผู้หญิงคนหนึ่งอยู่
“หลบไป ๆ ฉันจะนั่งตรงนี้” เขาเห็นผู้หญิงโหนกแก้มนูนหนังตาตกคนหนึ่งพูดขณะเบียดเสียดกับพี่สาวของเขา
สวี่ม่ายเฉิงกำลังคิดว่าจะไปช่วยเธอ ก็เห็นพี่สาวเขาผลักผู้หญิงคนนั้นออกไปอย่างรุนเเรงด้วยสีหน้าเย็นชา “เธอตาบอดรึไง ไม่เห็นเหรอว่าตรงนี้มีคนนั่งอยู่”
ผู้หญิงคนนั้นสองมือเท้าสะเอว ตะโกนดังลั่น “มีคนเเล้วจะทำไม เธอพาเด็กมาสองคนเเล้วยังมีหน้ามายึดไว้สองที่อีก”
สวี่ม่ายซุ่ยตอบ “ฉันพาเด็กมาสองคนเเล้วทำไม ต่อให้พาเด็กมาสองคน เเต่ฉันก็ซื้อตั๋วให้พวกเขาหมดนะ”
ผู้หญิงคนนั้น “เธอซื้อตั๋วแบบไหน?”
เด็กทั้งสองของสวี่ม่ายซุ่ยตัวสูงกันหมด เธอจึงซื้อตั๋วครึ่งราคาให้พวกเขาในยามขึ้นรถ
ที่จริงเเล้วสำหรับหลินฟานไม่ต้องซื้อตั๋วก็ได้ เเต่เเถบชนบทของพวกเขาไม่เคร่ง ดังนั้นบางครั้งก็ซื้อ บางครั้งก็ไม่ซื้อ
สวี่ม่ายซุ่ย “ตั๋วครึ่งราคาสองใบ…ตั๋วครึ่งราคาสองใบแต่ละใบก็คือตั๋ว เขาสองคนนั่งเเล้วจะทำไม”
ผู้หญิงคนนั้นฟังจบก็หัวเราะเยาะ พูดเหน็บแนมว่า “เขาสองคนไม่ซื้อเเล้วใครจะรู้?”
พวกหล่อนที่เบียดมาขึ้นรถล้วนซื้อตั๋วกันไม่ทัน จึงต้องยึดนั่งที่ก่อนเเล้วค่อยซื้อตั๋ว
สวี่ม่ายซุ่ย “เธอไปหากระเป๋ารถแล้วถามเขาดูก็ได้ ถ้าเขาบอกว่าสองคนนี้ไม่ได้ซื้อตั๋ว ฉันจะอุ้มสองคนนี้ไว้เอง”
ผู้หญิงคนนั้นฟังจบก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ตะโกนเสียงดังลั่นทันที “กระเป๋ารถ ๆ เขาสองคนได้ซื้อตั๋วไหม”
กระเป๋ารถที่ยืนอยู่ด้านหน้ารถกำลังเขย่งมองคนเพราะกลัวว่าคนจะตกหล่นตอนเก็บเงิน
พอเขาได้ยินเสียงผู้หญิงคนนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะกลอกตา “เขาสองคนก็โตขนาดนี้เเล้ว ไม่ซื้อตั๋วเเล้วเธอจะให้พวกเขาขึ้นรึไง”
สวี่ม่ายซุ่ย “ได้ยินรึยัง เขาสองคนซื้อตั๋วกันหมดเเล้ว ถ้าเธอไม่มีอะไรเเล้วก็ถอยไป”
พูดจบเธอก็ยื่นมือไปทางสวี่ม่ายเฉิงพลางพูด “เอาของให้ฉันเถอะ!”
สวี่ม่ายเฉิงเห็นพี่สาวเขาร้ายกาจขนาดนี้ ก็นำของส่งไปให้ทันที เเล้วเดินลงจากรถอย่างวางใจ
ผู้หญิงคนนั้นเห็นสวี่ม่ายซุ่ยร้ายกาจขนาดนี้ก็กลอกตาด้วยความโกรธ หล่อนเหลือบมองไปยังกลุ่มคน หันไปเห็นผู้หญิงที่ดูรังเเกได้ง่ายก็เบียดเข้าไป
พอหล่อนผละจากไป หลินเซียวกับหลินฟานก็เป่าปากโล่งอก มองสวี่ม่ายซุ่ยด้วยใบหน้าเลื่อมใส เป็นใครก็คงคิดไม่ถึงว่าที่จริงเเล้วเเม่พวกเขาจะร้ายกาจขนาดนี้
สวี่ม่ายซุ่ยไม่ได้สนใจอะไรมาก เธอลูบหัวหลินเซียวพลางพูด “เดี๋ยวถ้าไม่สบายตรงไหนก็ให้เอาหัวพิงหน้าต่าง เเต่ไม่ให้ยื่นออกไปนะ”
ตอนที่มาถึง สามเเม่ลูกต่างเบียดกันอยู่ตรงประตูเหมือนปลากระป๋องที่ไม่มีช่องให้ลมเข้า หลินเซียวถูกเบียดจนหน้าเขียวไปหมด
เดิมทีเขาก็ได้รับบาดเจ็บเเถมยังเมารถ ทำให้สวี่ม่ายซุ่ยปวดใจมาก
เด็กทั้งสองได้ยินก็ผงกหัวอย่างเชื่อฟัง รอจนรถออก เด็กสองคนก็เอียงหัวไปทางหน้าต่าง นั่งกินลมชมวิวด้านอก
รอรถถึงสถานี สภาพจิตใจของเด็กทั้งสองก็ดีขึ้นมากเป็นพิเศษ
พอลงรถแล้วเดินผ่านผู้หญิงสองคน ก็เห็นผู้หญิงที่ดูน่ารังเเกจูงเด็กเดินไปด้วยใบหน้าขาวซีด
เเต่ผู้หญิงที่โหนกเเก้มนูนกลับมีสีหน้าภาคภูมิใจ
สวี่ม่ายซุ่ยถอนหายใจอย่างเวทนาให้กับผู้หญิงหน้าซีดขาวคนนั้น เธอถือกระสอบจูงเด็กทั้งสองลงจากรถ
จากนั้นก็ซื้อตั๋วนั่งเรือ กว่าจะกลับถึงเกาะก็คงประมาณห้าโมงเเล้ว
เวลานี้คนส่วนมากกินข้าวกันเสร็จเรียบร้อยเเล้วเริ่มเอาม้านั่งออกมาตากลม
สวี่ม่ายซุ่ยกับเด็กสองคนถือกระสอบไปพลางเช็ดเหงื่อไปพลางขณะเดินกลับบ้าน
เดิมทีสวี่ม่ายซุ่ยก็อยากจะถือเอง เเต่เด็กสองคนเห็นเธอเหนื่อยขนาดนั้นก็ยืนกรานว่าจะช่วยเธอ
พอหมดหนทาง สวี่ม่ายซุ่ยจึงเลือกถือของที่หนักหน่อย ให้เด็กสองคนถือส่วนที่เบา
เดินไปครึ่งทางก็เห็นผู้ชายในชุดทหารสีขาวบริสุทธิ์ สาวเท้ามาทางพวกเธอ
หลินเซียวตะโกนอย่างกระตือรือร้น “พ่อ! พ่อ!”
หลินเจี้ยนเยี่ยได้ยินก็เร่งฝีเท้ามาสองสามก้าว จากนั้นถึงวิ่งมาหา รับสัมภาระจากมือพวกเขาไปด้วยท่าทางผ่อนคลาย
“ทำไมเอาของมาเยอะขนาดนี้”
สวี่ม่ายซุ่ยยกมือเช็ดเหงื่อที่หน้าผาก หายใจหอบพูดว่า “ทางเเม่เขาเอามันฝรั่งที่พึ่งได้มาใหม่ให้พวกเรานิดหน่อย”
หลินเจี้ยนเยี่ยฟังจบก็พลันมีสีหน้าเคร่งขรึม มองไปรอบ ๆ พลางพูด “ตอนนี้สหกรณ์ยังมีเเบ่งอาหารอยู่เหรอ?”
สวี่ม่ายซุ่ยค่อย ๆ เหลือบมองเขา “คุณคิดอะไรอยู่ อันนี้เเม่เขาปลูกเองในไร่ต่างหาก”
หลินเจี้ยนเยี่ย “งั้นก็ดี”
เด็กสองคนถือโอกาสช่วงที่ทั้งคู่คุยกันวิ่งออกไปไกล สวี่ม่ายซุ่ยเห็นก็ตะโกนอย่างไม่วางใจ “ลูกสองคนช้าหน่อย”
“หลินเซียว ระวังหัวลูกด้วย ถ้าล้มขึ้นมา อย่ามาร้องนะ”
หลินเซียวตอบกลับโดยที่ไม่หันมามอง “ไม่ล้มหรอก”
หลินเจี้ยนเยี่ยเดินตามหลังสวี่ม่ายซุ่ยช้า ๆ เขามองไปที่เธอเเล้วถาม “กลับบ้านรอบนี้เป็นยังไงบ้าง?”
สวี่ม่ายซุ่ยสีหน้านิ่งงัน ตอบอย่างราบเรียบ “ก็ดีนะคะ”
หลินเจี้ยนเยี่ยเลิกคิ้ว เมื่อก่อนสวี่ม่ายซุ่ยไม่ค่อยกล้าพูดกล้าตอบ ทุกครั้งที่กลับมาจากบ้านเเม่มักจะไม่ค่อยสัมผัสได้ถึงอารมณ์ดี ๆ ของเธอ
แต่รอบนี้เธอไม่เเสดงออกแบบนั้นเลยสักนิด ต้องมีบางอย่างผิดปกติ
“เมื่อไม่กี่วันก่อนก็เพิ่งไป ครั้งนี้ก็ไป เเม่ว่าคุณเเล้ว?”
สวี่ม่ายซุ่ยฟังจบก็หันมามองหลินเจี้ยนเยี่ยด้วยสีหน้าจริงจังเเล้วพูดว่า “คุณนี่กลายเป็นหมาไปเเล้วรึไง ถึงได้จมูกดีขนาดนี้”
หลินเจี้ยนเยี่ยฟังจบก็ยิ้มขำ ต่อมาถึงพบว่ามันไม่ปกติ สีหน้าเขาพลันเเข็งค้าง รีบไล่ตามพลางเอ่ย “คุณนี่มันจริง ๆ เลย ผมเป็นห่วงคุณนะ คุณยังไม่ซาบซึ้งอีก”
สวี่ม่ายซุ่ย “เมื่อก่อนทำไมไม่เห็นคุณเป็นห่วงฉันกันนะ”
หลินเจี้ยนเยี่ยขมวดคิ้ว “เมื่อก่อนผมก็เป็นห่วงคุณ คุณนี่ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย”
“ผมเเค่เข้าใกล้คุณ ยังไม่ทันพูดอะไรคุณก็ผวาเเล้ว เป็นแบบนี้ใครจะกล้าไม่ห่วงคุณเหรอ?”
สวี่ม่ายซุ่ย “คุณพูดเเบบนี้แสดงว่าจะโทษฉันอีกเเล้วสินะ เมื่อก่อนตอนคนอื่นรังเเกฉัน ทำไมไม่เห็นคุณโผล่หัวมาเลย”
หลินเจี้ยนเยี่ยตอบกลับอย่างไม่รู้ตัว “ใครบอกว่าผมไม่โผล่หัวมา”
สวี่ม่ายซุ่ยได้ฟังก็รู้สึกไม่ปกติ ชีวิตก่อนเธอไม่น่าเคยได้ยินเรื่องที่หลินเจี้ยนเยี่ยโผล่หัวมาช่วยพวกเธอ
“คุณโผล่หัวมาตอนไหน?”
หลินเจี้ยนเยี่ยสีหน้าเเข็งค้าง เขายิ้มตอบกลับ “ ผมโผล่หัวมาตอนไหนคุณไม่ต้องรู้หรอก รู้แค่ว่าผมโผล่หัวมาก็พอ”
……………………………………………………..
….
สารจากผู้แปล
ม่ายซุ่ยคนใหม่ถือกำเนิดแล้ว อย่าคิดแหย็มเชียว
พี่เยี่ยโผล่มาช่วยเมียตอนไหนคะ ขอหลักฐานด้วยค่ะอย่าทำเป็นเก๊กหล่อแล้วพูดลอย ๆ ภาพลักษณ์พี่ตอนนี้ติดลบมากนะคะ ไหนจะเรื่องลอยตัวคนเดียว ไหนจะเรื่องปล่อยให้ยัยบัวเน่ามาเป็นมือที่สามยุ่งกับครอบครัว
ชิวเฟิง
MANGA DISCUSSION