ตอนที่ 21 ปลอบโยน
สวี่ม่ายเถียนเห็นหลิวเจาตี้ยังดื้อดึงไม่ยอมรับผิด ก็พูดอย่างโกรธเคืองว่า “คุณเอาของกลับบ้านได้ แล้วมีเหตุผลอะไรที่น้องสาวผมมาเอาของไปไม่ได้”
หลิวเจาตี้เดิมทีก็คิดว่าจะตอกกลับ แต่พอคิดถึงคำพูดของสวี่ม่ายเถียนแล้ว ก็พลันหยุดนิ่ง
สวี่ม่ายเถียนเห็นหลิวเจาตี้เป็นแบบนี้ก็รู้ว่าหล่อนฟังเข้าหูแล้ว เขาเดินไปข้างหน้าจับไหล่หล่อนแล้วปลอบใจ “คุณลองคิดถึงนิสัยน้องสาวคนเล็กเราดู แล้วลองคิดถึงแม่ยายหล่อน หล่อนเองก็ลำบาก ถ้าเราไม่ช่วยหล่อน คุณจะให้หล่อนทำยังไง จะให้หล่อนพาเด็กสองคนกินแกลบเหรอ?”
“แล้วตอนที่คุณกลับมาไม่เห็นสภาพหลินเซียวเหรอไง”
“เด็กคนนั้นหัวแตกเป็นแผลใหญ่ ที่หัวยังพันผ้าไว้อย่างกับมัมมี่ คุณว่าแม่ผมจะไม่ปวดใจเหรอ?”
พอคำพูดนี้ออกมา หลิวเจาตี้ก็ถ่อมตัวขึ้น อันที่จริงตอนกลับมาหล่อนก็เห็นผ้าก๊อซบนหัวหลินเซียวแล้ว แต่ความโกรธจากงานในวันนี้ทำให้หล่อนควบคุมตัวเองไม่อยู่ พอเปิดปากก็เปลี่ยนเป็นคนหยาบคายทันที
สวี่ม่ายเถียนเห็นหลิวเจาตี้เป็นแบบนี้ ก็พยายามพูดต่อไป “คุณคิดดูว่าถ้าจวินจวินหัวแตกเป็นแผลขนาดนี้ คุณจะปวดใจไหม?”
หลิวเจาตี้ “ฉันมัวแต่โกรธ เลยไม่ได้ถามเขา นี่มันเกิดอะไรขึ้น มีคนรังแกน้องสาวเหรอ ถ้าจะให้ฉันพูดนะ ม่ายซุ่ยมีนิสัยยอมคนเกินไป คนมารังแกถึงบ้านแล้วยังไม่กล้าโต้กลับ ถ้าเป็นฉันนะ จะตีหล่อนกลับไปบ้านย่ามันตั้งนานแล้ว”
สวี่ม่ายเถียนรีบพูดกลั้วหัวเราะ “ใช่ ๆ ถ้าน้องสาวได้สักครึ่งหนึ่งของคุณ ผมคงไม่เป็นห่วงขนาดนี้”
“ยังมีแม่อีกคน ท่านเป็นคนปากร้ายแต่ใจดี ที่ท่านพูดกับทำไม่เหมือนกัน คุณลืมแล้วเหรอว่าครั้งก่อนจวินจวินป่วยอยากกินของดี ๆ ก็ได้แม่เราที่ไปแลกของในตลาดมืดมา อีกนิดเดียวก็จะถูกจับแล้ว เรื่องพวกนี้คุณลืมหมดแล้วหรือไง”
ยิ่งสวี่ม่ายเถียนพูด หลิวเจาตี้ก็ยิ่งใจอ่อนลง หล่อนก้มหัวพูด “นี่ เรื่องพวกนี้ฉันรู้ทั้งหมด แต่พอโกรธขึ้นมาเลยอยากพูดอะไรก็พูด”
สวี่ม่ายเถียน “ผมรู้ว่าว่าช่วงนี้คุณกดดันมาก แต่เราก็คือคนบ้านเดียวกันหมด คุณไม่จำเป็นต้องกดดันตัวเองขนาดนั้น”
“เรารู้กันหมดว่าของในบ้านเป็นคุณที่หามา หากคุณอยากเอาของไปให้ฝั่งแม่คุณ ก็พูดออกมาได้เลย ไม่ต้องปากหนัก แบบนั้นใครก็ไม่สบายใจ”
หลิวเจาตี้ “นี่ไม่ใช่ว่าฉันกลัวคนในบ้านคิดมากหรือไง”
สวี่ม่ายเถียนกล่าว “ตอนที่ผมแต่งกับคุณ ผมก็รู้สถานการณ์ในบ้านคุณแล้ว”
พอจิตใจที่กำลังร้อนรุ่มถูกสวี่ม่ายเถียนปลอบก็รู้สึกดีขึ้นมาในพริบตา หล่อนมองสวี่ม่ายเถียนอย่างละอายใจ “งั้นเมื่อกี้แม่คงโกรธฉันมากเลยใช่ไหม?”
สวี่ม่ายเถียนกล่าว “แม่น่ะไม่มีอะไร แค่น้องสาวคิดจะจากไป”
หลิวเจาตี้ “งั้นฉันจะทำยังไงดี?”
สวี่ม่ายเถียนมองไก่บนโต๊ะพลางพูด “งั้นเราอาศัยช่วงที่น้องสาวยังไม่ไป ให้คุณยกอาหารเข้าไป พูดกับน้องสาวดี ๆ สอนหล่อนว่าทำยังไงถึงจะไม่โดนคนรังแก”
หลิวเจาตี้เป็นคนประเภทใจเร็วด่วนได้ เห็นสวี่ม่ายเถียนพูดขนาดนี้ ก็ยกถาดออกไปด้านนอก
สวี่ม่ายเถียนยืนมองเงาหลังของหล่อนที่จากไปแล้วก็ถอนหายใจเบา ๆ ตอนแรกที่แต่งกับหลิวเจาตี้ นอกจากเห็นว่าหล่อนเก่งแล้วก็ยังมีอีกหน่อยคือหล่อนเชื่อฟัง เป็นประเภทปากร้ายแต่ใจดี
หลิวเจาตี้เดินเข้ามาในห้องก็ยิ้มแย้มเหมือนดอกไม้บาน พุ่งเข้าไปหาสวี่ม่ายซุ่ย “น้องสาว นี่กำลังเขียนอะไรอยู่เหรอ?”
สวี่ม่ายซุ่ยเดิมทีคิดจะเขียนสัญญาหนี้ให้พวกเขา พอเห็นใบหน้าที่ยิ้มแย้มของหลิวเจาตี้ก็ตะลึงไปขั่วขณะ ไม่ทันได้ตอบโต้
เป็นแม่สวี่ที่ตอบโตได้เร็ว เห็นใบหน้าที่ยิ้มแย้มของหลิวเจาตี้ก็ทำเสียงฮึดฮัด ตอบกลับอย่างไม่สบอารมณ์ “เขียนสัญญาหนี้ให้พวกเธอน่ะสิ”
เพราะทางบ้านของหลิวเจาตี้ยากจน หล่อนจึงได้เรียนแค่ไม่กี่วัน ดังนั้นหล่อนจึงดูไม่ออกว่ากำลังเขียนอะไร ส่วนแม่สวี่มีความรู้ไม่สูง แต่ยังมีความฉลาดทางอารมณ์สูง นางจึงทายถูกว่ามันคืออะไร
ใบหน้าหลิวเจาตี้ปรากฏความเก้อกระดากชั่วครู่ หล่อนรีบแย่งเอามา “นี่เธอทำอะไร เป็นคนบ้านเดียวกันหมดแล้วยังต้องเขียนสัญญาหนี้อะไร”
สวี่ม่ายซุ่ยเห็นหลิวเจาตี้พูดอย่างนั้น เธอจึงตอบอย่างถ่อมตน “พี่สะใภ้ ฉันทำแค่ขออาหารไปเปล่า ๆ ไม่ได้หรอกค่ะ เลยต้องทำสัญญาหนี้เอาไว้”
หลิวเจาตี้ “ปีนี้เธอมากี่ครั้งเอง เมื่อกี้พี่สะใภ้เป็นคนผิดเอง ต้องขอโทษเธอด้วย เธอเป็นคนมีอารยะ อย่าได้ถือสาฉันเลย”
สวี่ม่ายซุ่ยฟังจบก็ชำเลืองมองแม่สวี่ รู้สึกไม่เข้าใจสถานการณ์อยู่บ้าง ดูเหมือนหลิวเจาตี้ในชีวิตก่อนจะไม่ใช่แบบนี้
กลับเป็นแม่สวี่ที่ชินเสียแล้ว “พี่สะใภ้แกก็เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายแบบนี้แหละ”
หลิวเจาตี้ยิ้มอย่างใจกว้าง “ยังเป็นแม่ของพวกเราที่เข้าใจฉัน เธอก็รู้ว่าช่วงนี้พวกเราต้องรีบเก็บเกี่ยว แต่ฉันดันไปเจอไอ้เวรตะไลโก่วเชิ่งเข้า เขากับพี่ชายเธอไม่ถูกกันตั้งแต่เด็ก พอได้โอกาสก็สร้างความลำบากให้ฉัน เดิมทีฉันควรได้แต้มทำงานสิบแต้มแเต่ดันได้แค่แปดแต้ม พอฉันโกรธขึ้นมาก็เลยน้อยใจเธอ”
สวี่ม่ายซุ่ยฟังจบก็ยิ้มอย่างประดักประเดิด “แค่เรื่องเล็กน้อยเองค่ะ”
หลิวเจาตี้ได้ยินก็วางถาดทันที พุ่งเข้าไปหาทั้งสองคน “อาหารทำเสร็จแล้ว รีบมากินข้าวเถอะ!”
พูดจบหล่อนก็ตะโกนเรียกคนอื่นในลานบ้าน
บ้านนี้นอกจากสวี่ม่ายซุ่ยกับเด็กสองคนแล้ว คนอื่นล้วนชินกับการทำในสิ่งที่ควรทำ แต่การกระทำเมื่อสักครู่ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาทำเป็นปกติ
หลินเซียวรู้สึกงงงวยเล็กน้อย แอบชำเลืองมองสวี่ม่ายซุ่ยอยู่บ่อย ๆ
จากนั้นก็เห็นป้าสะใภ้คีบอาหารให้เขาอย่างบ้าคลั่งเหมือนคนบ้า “รีบกิน กินให้เยอะ ๆ เลยนะ ดูหัวเธอสิ พวกเราจะบำรุงให้กลับมาดีขึ้นเอง”
จวินจวินเห็นแม่เขาคีบขาไก่สองน่องอีกทั้งปีกไก่สองปีกให้หลินเซียวกับหลินฟาน ก็ร้องไห้ตะโกนด้วยใบหน้าไม่สบอารมณ์ “แม่ แม่ ผมก็อยากกินบ้าง”
หลิวเจาตี้เห็นก็ตบหัวจวินจวินไปหนึ่งที ตอบกลับอย่างไม่สบอารมณ์ “กิน ๆ อะไรกัน แกดูซิว่าหัวน้องชายแกแตกขนาดแล้ว แกยังจะแย่งอีก ถาดนี้ไม่พอให้แกกินรึไง”
หลินเซียวฟังจบก็รีบมองสวี่ม่ายซุ่ย เธอจึงส่งสายตาให้เขา ก็เห็นหลินเซียวคีบน่องไก่ชิ้นใหญ่ในชามไปใส่ชามของจวินจวินอย่างใจเย็น แล้วพูดอย่างใจกว้างว่า “พี่ชาย พี่กินสิ”
หลินฟานเลียนแบบบ้าง คีบน่องไก่ในชามตัวเองส่งไปให้ซิ่วซิ่ว ใบหน้าอวบกลมยิ้มแป้นแล้วพูดว่า “พี่สาว พี่ก็กินด้วยสิ”
พอหลินเซียวยอมให้ขนาดนี้ จวินจวินกลับรู้สึกเขิน “ให้นายแล้วก็กินสิ นายกำลังเจ็บนี่”
พูดจบก็คีบกลับไป
สวี่ม่ายซุ่ยเห็นก็รีบดึงมือเขา “น้องชายให้แล้ว เธอก็รับเถอะ”
“เธอช่วยพ่อแม่มาทั้งเช้าแล้ว ควรให้รางวัลตัวเองด้วยน่องไก่ชิ้นใหญ่นะ ซิ่วซิ่วเองก็ด้วย”
จวินจวินกับซิ่วซิ่วฟังจบก็ตาเป็นประกาย แต่ก็ยังคีบกลับไป สุดท้ายสวี่ม่ายซุ่ยต้องเอ่ยปากให้หยุด
หลังกินข้าวแล้ว สวี่ม่ายซุ่ยก็ต้องพาเด็กสองคนกลับไป แม่สวี่เห็นก็ยัดกระสอบใส่มือสวี่ม่ายซุ่ยอย่างเปิดเผย “ถ้าที่บ้านมีปัญหาก็มาที่นี่ะ แม่ไม่ให้แกอดหรอก”
สวี่ม่ายซุ่ยยิ้มรับ แต่ในใจคิดว่าจะมารบกวนพวกเขาให้น้อยกว่านี้
เวลานี้เองสวี่ม่ายเฉิงก็เข็นจักรยานออกมา มองพวกเขาแล้วพูดว่า “ฉันไปส่งพวกพี่เอง”
…………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
พอสงบศึกกันแล้วบรรยากาศก็อบอุ่นน่าอยู่ขึ้นนะ ขอให้เป็นแบบนี้นาน ๆ นะคะ
ชิวเฟิง
MANGA DISCUSSION