ตอนที่ 20 ทะเลาะวิวาท
“ก็ช่วงนี้พี่สะใภ้ใหญ่แกไม่รู้เป็นอะไร อารมณ์ร้อนมาก อีกนิดเดียวก็ไหม้แล้ว”
สวี่ม่ายซุ่ย “เป็นเพราะเรื่องพ่อของพี่สะใภ้ใหญ่หรือเปล่าคะ?”
แม่สวี่ “ใครจะไปรู้ล่ะ หล่อนไม่พูดเราก็ไปยุ่งไม่ได้”
สวี่ม่ายเถียนที่อยู่ในห้องรอพวกเขาออกไปก็พลันมีสีหน้าหนักอึ้งทันที เขามองหลิวเจาตี้ด้วยสีหน้าจริงจังแล้วถามว่า “คุณเป็นอะไรไป?”
หลิวเจาตี้เห็นสวี่ม่ายเถียนถามตนดังนั้น ก็ตอบกลับด้วยสีหน้าน้อยใจ “ทำไมมาถามว่าฉันเป็นอะไร ทำไมคุณไม่ว่าน้องสาวคุณบ้าง เมื่อวันก่อนก็มาแล้ว นี่ก็มาอีก ถ้าไม่มารบกวนแล้วมาทำอะไร? แล้วไหนจะแม่คุณอีก รู้ทั้งรู้ว่าไก่นี่ฉันจะเอาไปบำรุงร่างกายพ่อฉัน ท่านก็ยังจะกิน แต่ไหนแต่ไรท่านก็ไม่เคยเห็นหัวฉันอยู่แล้ว”
สวี่ม่ายเถียนฟังหลิวเจาตี้พร่ำบ่น สีหน้าก็มืดครึ้มแทบจะกลั่นฝนออกมา “หลิวเจาตี้!”
หลิวเจาตี้ถูกสวี่ม่ายเถียนตะคอกจนผงะ จากนั้นตะโกนเสียงดังลั่นอย่างไม่ยินยอม “คุณจะตะคอกฉันทำไม?”
สวี่ม่ายเถียนโกรธจนสองมือเท้าเอว ด่าด้วยสีหน้าผิดหวังที่ไม่สามารถหลอมเหล็กให้กลายเป็นเหล็กกล้าได้ “หลิวเจาตี้ นี่ถือว่าผมไว้หน้าคุณแล้วนะ สวี่ม่ายซุ่ยเป็นใคร นั่นคือน้องสาวแท้ ๆ ของผม ตอนคุณยังไม่มาบ้านนี้ หล่อนใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านนี้มาสิบแปดปีแล้ว”
“นี่!”
“นี่มันก็คือบ้านของหล่อน” สวี่ม่ายเถียนพูดไปชี้นิ้วไป “อะไรคือการรบกวน? หล่อนอยากกลับบ้านตัวเองอยากเอาของอะไรก็เอาไป ฉัน พ่อฉัน แม่ฉัน น้องชายฉัน พวกเขามีความสุขหมด ถ้าคุณไม่มีความสุข คุณก็ไปซะ!”
หลิวเจาตี้ฟังคำพูดสวี่ม่ายเถียนจบ น้ำตาก็หยดลงเผาะ ๆ “ก็ได้! สวี่ม่ายเถียน ในที่สุดคุณก็พูดความในใจออกมาแล้วสินะ พวกคุณทั้งบ้านกำลังรังแกคน!”
สวี่ม่ายเถียนย้อนถามหลิวเจาตี้ด้วยสีหน้าเย็นชา “รังแกคน ใครรังแกใคร? ไก่ที่แม่เลี้ยง คุณบอกว่าจะเอาไปก็เอาไปเลย มีมาถามไถ่กันบ้างหรือยัง? แต่พอแบ่งอาหาร ครั้งนั้นไม่ใช่ว่าคุณสู้จะเอาใส่ถุงเล็กถุงใหญ่ไปบ้านแม่หรือไง ผมว่าคุณไหม? แม่ผมว่าคุณไหม? บ้านผมรู้กันหมดว่าบ้านคุณลำบาก ใครก็ไม่ว่าคุณ แล้วคุณล่ะ พอมาถึงก็วางอำนาจบาตรใหญ่ใส่ทุกคน ทำไมกัน บ้านเราติดหนี้คุณกันหมดหรือไง หลิวเจาตี้…ผมจะบอกคุณให้ คุณเอาไปคิดดูแล้วรีบบอกผมมาตามตรง คุณว่าเราสองคนควรหย่ากันตั้งแต่เนิ่น ๆ ไหม?”
พูดจบสวี่ม่ายเถียนก็สาวเท้าไปจากห้อง
หลิวเจาตี้ได้ฟังก็ลนลาน คุกเข่าร้องไห้อย่างไม่เป็นตัวของตัวเอง
แม่สวี่เห็นสวี่ม่ายเถียนเดินออกมาด้วยใบหน้ามืดครึ้ม ก็ถามว่า “เป็นยังไง พูดสำเร็จไหม”
สวี่ม่ายเถียนพูดกับแม่สวี่ด้วยใบหน้าถมึงทึง “อะไรที่ควรพูด ผมก็พูดไปหมดแล้ว ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับหล่อนแล้ว”
แม่สวี่ฟังจบก็ถอนหายใจยาว ๆ “เฮ้อ แต่ก่อนนิสัยของหล่อนไม่ใช่แบบนี้!”
สวี่ม่ายเถียน “แม่ก็รู้ว่าหล่อนเป็นคนยังไง หยิ่งในศักดิ์ศรีมาก ทุกครั้งที่เอาของไปบ้านก็กลัวเราว่า นาน ๆ เข้าก็กลายเป็นแบบนี้ ยังมีอีกเรื่องที่ผมต้องคุยกับแม่ เจาตี้ก็พูดกับแม่ไปชัด ๆ แล้วนี่ว่าจะเอาไก่ตัวนั้นไปบำรุงให้พ่อกิน ทำไมแม่ยังฆ่าอีก”
แม่สวี่มีสีหน้าถมึงทึง ตะโกนไปที่ห้องครัวอย่างไม่เกรงใจ “ใครบอกว่าฉันฆ่าไก่ตัวนั้นเพื่อให้พ่อหล่อน ไก่สองตัวในบ้านก็ให้พ่อหล่อนหนึ่งตัวแล้วไง ฉันฆ่าไปหนึ่งตัวทำไมถึงไม่ได้ ทำไมล่ะ หล่อนจะเอาทั้งสองตัวเลยเหรอ?”
สวี่ม่ายเถียนฟังคำพูดที่น่าปวดหัวนี่แล้วนวดหว่างคิ้ว “ตัวนั้นไม่ใช่ว่าแม่เก็บไว้เอาไข่เหรอ?”
แม่สวี่ “เอาไข่อะไร แกไม่เห็นเหรอว่าหลานคนโตแกหัวแตก ฉันบำรุงให้เขาแล้วมันทำไม?”
คราวนี้สวี่ม่ายเถียนถึงได้ว่างมาชำเลืองมองหลินเซียว ตอบด้วยสีหน้าจำใจ “งั้นแม่ก็ควรบอกเจาตี้สักนิด! แม่ก็รู้ว่าหล่อนใส่ใจไก่ตัวนั้นมาก”
แม่สวี่มองลูกชายที่เข้าข้างลูกสะใภ้ ไฟที่มอดไปจู่ ๆ ก็ติดขึ้นมาใหม่ “หล่อนกลับมาก็เหมือนประทัดติดไฟจะให้ใครพูด… ได้! แกสองคนเป็นบ้านเดียวกัน ฉันจะไม่เข้าไปยุ่งกับแก ไม่ได้พวกเราก็แยกบ้าน”
พูดจบก็ลากสวี่ม่ายซุ่ยออกจากห้อง
สวี่ม่ายซุ่ยไม่คิดว่าตนกลับมาเพียงครั้งเดียว จะสร้างความเคลื่อนไหวมากขนาดนี้ เธอพูดกับสวี่ม่ายเถียนด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “พี่ใหญ่ พี่ไปเตือนพี่สะใภ้หน่อยเถอะ”
สวี่ม่ายเถียนชำเลืองมองสวี่ม่ายซุ่ย เขาพูดด้วยสีหน้ารู้สึกผิด “ขอโทษนะน้องสาว ต้องให้เธอมารองรับอารมณ์ แล้วช่วงเก็บเกี่ยวนี้ พี่สะใภ้เธอรู้สึกกดดันมาก อารมณ์มุทะลุไปหน่อย เธออย่าไปถือสาเขาเลยนะ”
สวี่ม่ายซุ่ยฟังจบก็ส่ายหัว “ไม่เป็นไรพี่ ช่วงปีนี้ใคร ๆ ก็ลำบาก ถึงฉันจะแค่กลับมาเอาอาหารก็ดูไม่ดีจริง ๆ”
เสียงนี้แว่วไปถึงหูแม่สวี่ที่ตอนนี้กำลังตะโกนลั่นอยู่หน้าประตู “ทำไมกัน แกเป็นลูกสาวแม่ กลับมาเอาอาหารแล้วมันทำไม? ไม่ต้องไปพูดกับหล่อน”
สวี่ม่ายซุ่ยตะโกนอย่างจนใจ “แม่!”
แม่สวี่มองค้อนเธอด้วยสีหน้าถมึงทึง จากนั้นก็เดินเข้ามาโดยที่ไม่หันมามอง
สวี่ม่ายซุ่ยพุ่งไปพูดกับสวี่ม่ายเถียน “พี่ใหญ่ พี่ไปง้อพี่สะใภ้ใหญ่เถอะ ฉันจะไปดูแม่” พูดจบก็เดินเข้าด้วยความลนลาน
พอเดินเข้าห้องก็เห็นแม่สวี่กำลังนั่งเช็ดน้ำตา ทำให้สวี่ม่ายซุ่ยตกใจมาก
ชีวิตก่อนกับชีวิตนี้รวมกันเธอยังไม่เคยเห็นแม่สวี่ร้องไห้มาก่อน “แม่… แม่เป็นอะไร?”
แม่สวี่มองสวี่ม่ายซุ่ย น้ำตาที่คลอหน่วยก็กลั้นไว้ไม่อยู่ “ฉัน… ฉันก็แค่ตะโกนเพราะน้อยใจแทนแก แกว่าผู้หญิงนี่แค่เพราะลูกสาวแต่งออกไปเหมือนน้ำที่สาดออก ก็มีเหตุผลที่จะยกของให้แต่ลูกชาย ในเมื่อแกให้แต่ลูกชาย ตอนแกแก่ตัวไปทำไมถึงให้ลูกสาวมาออกเงินให้ล่ะ พวกเขาก็เป็นลูกบ้านตัวเองทั้งหมดไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงปฏิบัติเหมือนกันไม่ได้?”
สวี่ม่ายซุ่ยได้ยินก็รู้ว่าแม่สวี่ร้องไห้เพราะอะไร เธอตบหลังพลางปลอบโยน “ยายทำให้แม่ลำบากใช่ไหมคะ?”
แม่สวี่ได้ยินก็ได้สติกลับคืนมา หล่อนเช็ดน้ำตาพลางพูดว่า “ไม่ ท่านไม่ได้ทำอะไรหรอก”
สวี่ม่ายซุ่ย “แม่ไม่ต้องมาหลอกฉันเลย ไก่ตัวนี้เดี๋ยวฉันหาวิธีซื้อคืนให้แม่สักตัว แม่ไม่ต้องไปแลกที่บ้านยายหรอก”
ยายของสวี่ม่ายซุ่ยเข้มงวดเรื่องชายเป็นใหญ่มาก นางแทบจะรีดไถของจากลูกสาวจนหมด แล้วยกทุกอย่างให้ลูกชาย
เพราะว่าอยู่ในครอบครัวแบบนี้ตั้งแต่เด็ก แม่สวี่จึงปฏิบัติต่อลูกสาวทั้งสองอย่างใจกว้างเป็นพิเศษ แทบทุกอย่างที่ลูกชายมี ลูกสาวก็จะมีเช่นกัน
ไม่อย่างนั้นเวลาขาดเสบียง สวี่ม่ายซุ่ยคงไม่มาบ้านแม่
แม่สวี่ “พอ แกไม่ต้องยุ่งแล้ว ลำพังแกแค่อาหารก็ไม่มีกินแล้วจะเอาจากไหนไปซื้อไก่ แกนั่งอยู่ตรงนี้นะ เดี๋ยวฉันจะไปตักอาหาร จะนั่งรอจนไก่สุกได้ที่ไม่ได้หรอก”
สวี่ม่ายซุ่ยฟังจบก็ดึงแม่สวี่ไว้ ด้วยกลัวว่าหล่อนจะไปทะเลาะกับหลิวเจาตี้อีก “แม่ ไม่ต้องไปแล้ว แม่ไปหากระดาษให้ฉันหน่อย”
แม่สวี่ “แกจะเอากระดาษไปทำอะไร?”
สวี่ม่ายซุ่ย “ฉันมีวิธีอยู่ แม่รีบไปเถอะ”
แม่สวี่ถูกสวี่ม่ายซุ่ยมัดมือชกเล้วก็ทำได้แค่ไปหากระดาษให้เธอ
ทางฝั่งห้องครัว สวี่ม่ายเถียนออกมาด้านนอกสักพักแล้วก็กลับเข้าไปด้านใน เห็นหลิวเจาตี้ที่ยังร้องไห้อยู่ก็พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เมื่อกี้คุณก็ได้ยินที่แม่พูดแล้วนี่ ไก่ตัวนั้นไม่ได้ไปไหนเลยสักนิด คุณเข้าใจผิดแล้ว”
หลิวเจาตี้ได้ยินทั้งสองคุยกันเมื่อครู่จึงพูดด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล “ถ้าถือซะว่าไม่ได้ฆ่าไก่ งั้นที่น้องสาวคุณมาเอาของไปนี่ไม่ใช่เรื่องจริงหรือไง?”
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ม่ายซุ่ยจะทำอะไรต่อไปนะ ถึงต้องใช้กระดาษ?
บ้านนี้วุ่นวายดีแท้ มีบ้านไหนวุ่นวายเรื่องแบ่งของกินของใช้ขนาดนี้บ้างเนี่ย
ชิวเฟิง
MANGA DISCUSSION