ตอนที่ 142 เหยียบเรือสองแคม
สวี่ม่ายซุ่ยหันไปมองหลินเซียวผู้น่าสงสารและหัวใจของเธอก็อ่อนยวบ ต่อให้ครอบครัวของเธอจะได้กินเนื้อสัตว์ทุกวัน แต่เธอก็ยังรู้สึกสงสารเขาอยู่ดี
“พรุ่งนี้ลูกอยากกินอะไรล่ะ? แม่จะทำให้นะ”
หลินเซียวได้ยินแล้วก็ตาเป็นประกาย “ผมอยากกินกุ้งทอดครับ”
หลินเจี้ยนเยี่ยหัวเราะเยาะ “เพ้อฝันไปหรือเปล่า”
หลินเซียวหันไปฟ้องแม่ทันที “แม่ดูพ่อสิครับ”
สวี่ม่ายซุ่ยพูดสั้น ๆ “ไม่ต้องสนใจเขาหรอก”
ขณะที่กำลังพูดกันอยู่ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นมา “หัวหน้าหลิน”
เมื่อหลินเซียวได้ยินว่ามีคนมาหาหลินเจี้ยนเยี่ย เขาก็กระโดดลงจากเก้าอี้แล้ววิ่งออกไปข้างนอกทันที
สวี่ม่ายซุ่ยเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย “มาตามหาคุณเหรอ?”
หลินเจี้ยนเยี่ยก็ลุกขึ้นยืนพลางเอ่ย “ผมจะออกไปดู”
ทันทีที่เขาเดินมาถึงประตูก็เห็นหมาจื่อยืนถือตะกร้าไว้ในมือ
“หัวหน้าหลิน” หมาจื่อกล่าวทักทายหลินเจี้ยนเยี่ยด้วยรอยยิ้ม
หลินเจี้ยนเยี่ยรีบเบี่ยงไปด้านข้างเพื่อให้เขาเข้ามา “นายมาทำไม?”
หมาจื่อตอบว่า “นี่คือขนมมงคลของงานวันนี้ ผมแบ่งมาให้พวกคุณน่ะ”
เมื่อได้ยินคำตอบแล้ว หลินเจี้ยนเยี่ยก็เหลือบมองสวี่ม่ายซุ่ยเพื่อให้เธอรับช่วงต่อทันที
“พวกคุณเก็บไว้กินเองเถอะ ไม่ต้องลำบากหรอก”
หมาจื่อ “มันเยอะมาก เรากินไม่ไหวหรอก”
เมื่อได้ยินเขาพูดแบบนี้แล้วสวี่ม่ายซุ่ยก็ไม่เกรงใจ “ก็ได้ งั้นพวกเราจะรับไว้ครั้งหนึ่งนะ” พูดจบก็หยิบขนมเปี๊ยะออกจากตะกร้า
แต่ใครจะคิดว่าเมื่อมองในตะกร้า แล้วจะได้เห็นว่าข้างในไม่ได้มีแค่ขนมเปี๊ยะเท่านั้น เพราะยังมีเนื้อหมูชิ้นใหญ่ บุหรี่สองซอง ขนมหวานและไข่ไก่จำนวนมาก
สวี่ม่ายซุ่ยอุทาน “หมายความว่าไงเนี่ย?”
หมาจื่อยิ้มและเกาหัวแกรก ๆ พลางเอ่ย “เนื้อหมูกับบุหรี่เป็นของน้องเจี้ยนจวินน่ะ เราอยากขอบคุณเขาเรื่องวันนี้”
หลินเจี้ยนจวินที่กำลังกินข้าวอยู่ได้ยินเข้าแล้วก็ชะงัก จากนั้นรีบลุกขึ้นยืนแล้วพูดว่า “ไม่ต้องหรอกครับ คุณไม่จำเป็นต้องสุภาพขนาดนั้น”
หมาจื่อยิ้มและตอบว่า “นี่คือธรรมเนียมของเรา ยังไงนายต้องยอมรับไว้นะ”
หลินเจี้ยนจวินได้ยินแล้วก็หันไปมองสวี่ม่ายซุ่ยโดยอัตโนมัติ ซึ่งสวี่ม่ายซุ่ยไม่เข้าใจธรรมเนียมนี้เหมือนกัน แต่ขณะที่เธอกำลังลังเล หลินเจี้ยนเยี่ยก็พูดว่า “เราจะรับไว้ ขอบคุณนะ”
หลังจากได้ยินคำตอบรับของหัวหน้าหลินแล้ว หมาจื่อก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ผมควรจะเป็นคนที่พูดคำขอบคุณต่างหาก ถ้าไม่ใช่เพราะน้องเจี้ยนจวิน ผมก็ไม่รู้ว่าเรื่องวันนี้จะจบลงยังไงเลย”
“น้องเจี้ยนจวินคงได้เรียนรู้แล้วใช่ไหม?”
“ได้รู้บ้างครับ”
ขณะที่พวกเขากำลังคุยกันอยู่นั้น สวี่ม่ายซุ่ยก็นำของทุกอย่างออกจากตะกร้า
เมื่อหมาจื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเก็บของทุกอย่างไว้หมดแล้ว เขาจึงกล่าวคำอำลากับหลินเจี้ยนเยี่ย
หลังเขาจากไปแล้ว สวี่ม่ายซุ่ยก็มองไปที่หลินเจี้ยนเยี่ยและถามด้วยความสงสัย “ทำไมเขาถึงสุภาพกับคุณขนาดนี้ล่ะ?”
หลินเจี้ยนเยี่ยพูดว่า “ไม่ได้อยู่กลุ่มเดียวกันน่ะ”
สวี่ม่ายซุ่ยจึงเข้าใจว่าพวกเขาไม่คุ้นเคยกันนัก
เพราะสัญญาว่าจะทำกุ้งทอดให้หลินเซียว เช้าวันต่อมาสวี่ม่ายซุ่ยจึงไปที่สหกรณ์เพื่อซื้อวัตถุดิบ
ไม่ว่าจะยุคใดก็ตาม วัตถุดิบที่วางขายในตอนเช้ามักจะมีความสดใหม่ที่สุด
เมื่อสวี่ม่ายซุ่ยเดินออกไปพร้อมกับตะกร้าในมือ หลินเจี้ยนเยี่ยก็บังเอิญไปออกกำลังกายด้วย เขามองไปที่ตะกร้าในมือของสวี่ม่ายซุ่ยและพึมพำว่า “ตามใจจนเคยตัวแล้ว”
สวี่ม่ายซุ่ยมองตามแผ่นหลังของเขาแล้วตอบอย่างแง่งอน “ก็ฉันพอใจนี่นา”
พูดจบแล้วก็เดินไปในทิศทางตรงกันข้ามกับเขา
เมื่อไปถึงสหกรณ์ก็มีคนจำนวนมากอยู่แล้ว สวี่ม่ายซุ่ยจึงเดินฝ่าฝูงชนพร้อมมองหาวัตถุดิบที่เธอต้องการไปด้วย
หลังจากมองไปรอบด้านแล้ว เธอก็ซื้อแต่วัตถุดิบที่ไม่มีในบ้านเท่านั้น จำพวกมะเขือยาว แตงกวาและมะเขือเทศ ที่บ้านมีถั่วฝักยาวกับมันฝรั่งเหลืออยู่แล้ว แต่ไม่มีผักกาดเขียว สวี่ม่ายซุ่ยจึงซื้อมาจำนวนหนึ่ง
ทันใดนั้นเธอก็ได้ยินเสียงคนตะโกนอยู่ไม่ไกลว่า “สด ๆ ใหม่ ๆ เพิ่งจับจากทะเล รีบเข้ามาดูกันเร็ว!”
เมื่อสวี่ม่ายซุ่ยได้ยินแบบนี้ เธอก็รีบไปที่ร้านขายอาหารทะเลทันที เนื่องจากทั่วทั้งเกาะมีสหกรณ์เพียงแห่งเดียวและทุกคนก็มาซื้อของที่นี่ แม้ว่าหลายครอบครัวจะยากจน แต่ก็ยังมีครอบครัวอีกจำนวนมากที่สามารถจ่ายไหว
เมื่อสวี่ม่ายซุ่ยเบียดตัวเข้าไปดู ก็เห็นว่ามีกุ้งกระโดดขึ้นมา พวกมันยังเป็น ๆ อยู่ สวี่ม่ายซุ่ยเห็นแล้วก็สั่งกุ้งสองชั่งทันที
เธอยังซื้อปลาอินทรีอีกสองตัวสำหรับไว้ทำเกี๊ยวปลาอินทรีเป็นอาหารกลางวันด้วย
เนื่องจากอยู่ใกล้ทะเลมาก จึงทำให้การซื้ออาหารทะเลที่นี่ไม่ต้องใช้คูปองและมีราคาถูกมาก เรียกว่าราคาถูกเป็นส่วนใหญ่จริง ๆ
สวี่ม่ายซุ่ยเลือกซื้อของดี ๆ เอาไว้ เพราะคิดว่าอีกสักพักก็จะถึงฤดูหนาวแล้ว เธอยังวางแผนจะไปซื้อฝ้ายที่ร้านขายผ้าด้วย
แต่ไม่คาดคิดว่าทันทีที่เธอเข้าไปใกล้ ๆ ร้าน เธอก็เห็นซูเจวียนกำลังคุยอยู่กับผู้ชายคนหนึ่ง และเมื่อลองเข้าไปใกล้อีกนิดก็พบว่าเขาคือชายฟันเหลืองซี่ใหญ่
สวี่ม่ายซุ่ยถึงขั้นผงะ เธอไม่คิดว่าเวลาผ่านไปนานขนาดนี้ แต่ทั้งสองก็ยังพบกันอยู่
ตอนนี้ยังไม่ถึงเจ็ดโมงเช้าด้วยซ้ำ ซูเจวียนจึงเป็นพนักงานขายเพียงคนเดียวในร้าน ซึ่งคนอื่น ๆ ยังไม่เข้างาน
ซูเจียนกำลังคลอเคลียอยู่กับชายฟันเหลือง เมื่อหล่อนเห็นสวี่ม่ายซุ่ยกำลังเดินมา หล่อนก็ผลักชายฟันเหลืองและไล่ให้เขาออกไปก่อน
สวี่ม่ายซุ่ยไม่เห็นพนักงานขายคนอื่นเลย เธอจึงคิดจะหันหลังกลับและเดินออกไป
แต่ใครจะรู้ว่าซูเจวียนไม่ปล่อยเธอไปง่าย ๆ โดยตะโกนว่า “ในเมื่อมาถึงแล้ว จะวิ่งหนีทำไมล่ะ?”
สวี่ม่ายซุ่ยได้ยินคำพูดนี้แล้วจึงหันหลังกลับมาและเดินไปที่ร้านขายผ้า เธอไม่ใช่คนที่เหยียบเรือสองแคม จึงไม่เห็นต้องกลัว
“มีฝ้ายขายไหม?”
ในขณะที่ซูเจวียนจัดทรงผมอยู่หน้ากระจก หล่อนก็ตอบด้วยเสียงดูแคลนว่า “มี จะเอาแบบไหนล่ะ?”
สวี่ม่ายซุ่ยตอบว่า “เธอเอาออกมาให้ฉันดูก่อน”
ซูเจวียนพูดว่า “เธอบอกแล้วฉันต้องหยิบมาเหรอ”
สวี่ม่ายซุ่ย “ถ้าเธอไม่หยิบให้ฉันดู แล้วฉันจะรู้ไหมว่าอยากได้แบบไหนบ้าง”
ซูเจวียนวางกระจกลงแล้วตอบด้วยความหงุดหงิด “รอเดี๋ยว” เมื่อพูดจบแล้วหล่อนก็หยิบถุงฝ้ายสามถุงออกมาจากใต้เคาน์เตอร์
สวี่ม่ายซุ่ยมองแล้วชี้ไปยังฝ้ายที่คุณภาพดีที่สุดแล้วถามว่า “แบบนี้ขายยังไง?”
“แปดเหมาต่อชั่งกับคูปองผ้า”
สวี่ม่ายซุ่ย “ทำไมเธอไม่ปล้นเลยล่ะ?”
ซูเจวียนพูดว่า “ถ้ามันแพงเกินไปเธอก็เอาแบบถูก ๆ นี่สิ”
“เท่าไรล่ะ”
“สี่เหมา”
สวี่ม่ายซุ่ยลองสัมผัสดูแล้วถามว่า “นี่ล่ะ?”
“หกเหมากับคูปองผ้า”
สวี่ม่ายซุ่ยพูดว่า “ฉันต้องการห้าหยวน”
ซูเจวียนได้ยินแล้วกลอกตาใส่ จากนั้นก็เข้าไปชั่งฝ้ายให้เธอ แล้วเมื่อหล่อนเดินออกมา สวี่ม่ายซุ่ยก็มองดูใบหน้าที่งดงามของหล่อนและอดถามไม่ได้ว่า “หลิวเชิ่งลี่รู้ไหมว่าเธอทำแบบนี้?”
หัวใจของซูเจวียนเต้นผิดจังหวะ จากนั้นหล่อนก็พูดด้วยความโมโห “เธอไม่ต้องมายุ่งเรื่องของฉันหรอก ถ้าเธอกล้าไปพูดเหลวไหลให้หลิวเชิ่งลี่ฟัง ก็อย่าโทษที่ฉันหยาบคายกับเธอแล้วกัน”
สวี่ม่ายซุ่ยตอบว่า “เธอคิดมากไปแล้วมั้ง เพราะฉันไม่สนใจเรื่องของเธอเลยสักนิด”
พูดจบแล้วเธอก็วางเงินและคูปองแล้วเดินจากไป
ซูเจวียนคว้าเงินกับคูปองที่สวี่ม่ายซุ่ยวางทิ้งไว้ ขณะที่มองตามแผ่นหลังของเธอไปนั้น ร่องรอยของความชั่วร้ายก็แวบขึ้นมาในดวงตา
สวี่ม่ายซุ่ยไม่ได้รับรู้ และเมื่อกลับถึงบ้านแล้วเธอก็เริ่มยุ่งทันที
เนื่องจากการกินของทอดในตอนเช้าไม่ดี และเธอไม่มีเวลาพอ เธอจึงทำบะหมี่ราดหน้าซอสเนื้อตุ๋นมะเขือเทศ
หลินเจี้ยนเยี่ยที่เพิ่งกลับมาจากการวิ่งก็ถามว่า “ทำไมหอมขนาดนี้ล่ะ? ใส่เนื้อด้วยเหรอ?”
สวี่ม่ายซุ่ยนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ เธอจึงตอบเสียงกระด้าง “คุณไม่ชอบกินเนื้อไม่ใช่เหรอ?”
หลินเจี้ยนเยี่ยตอบว่า “แล้วผมไม่ชอบกินเนื้อตั้งแต่เมื่อไหร่? ขอให้ผมก่อนชามหนึ่งสิ ผมหิวแล้ว”
แม้ว่าสวี่ม่ายซุ่ยจะชอบแกล้งเขา แต่เธอก็ไม่ได้ปฏิเสธการตักอาหารให้เขา เมื่อรู้ว่าเขาวิ่งเสร็จแล้วก็จะหิวทันที เธอจึงตักบะหมี่ใส่ชามใบใหญ่แล้วยื่นให้เขา
หลินเจี้ยนเยี่ยไม่เกรงใจอยู่แล้ว เขายืนถือชามบะหมี่แล้วซดในห้องครัวเลย จากนั้นบะหมี่ชามโตก็หมดลงภายในไม่กี่คำเท่านั้น
สวี่ม่ายซุ่ยถามว่า “เติมอีกไหม?”
เมื่อได้ยินแล้วหลินเจี้ยนเยี่ยก็ยื่นชามให้เธอทันที ด้านสวี่ม่ายซุ่ยทำแค่กลอกตาใส่และเติมบะหมี่ให้เขาอีกชาม
เพราะวันนี้เป็นวันหยุดของหลินเซียว สวี่ม่ายซุ่ยจึงพาเขาไปที่ริมน้ำหลังมื้ออาหาร
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ยัยบัวเน่านี่ก็ไม่เลิกราวีม่ายซุ่ยน้อ ขอให้เรื่องคาว ๆ ของหล่อนฟุ้งกระจายไปทั่วเกาะจนอยู่ไม่ได้เลย เพี้ยง
เลี้ยงเด็กโข่งอย่างพี่เยี่ยนี่เหนื่อยไหมคะม่ายซุ่ย
ชิวเฟิง
MANGA DISCUSSION