ตอนที่ 134 แม่ครับ ลูกอมละลายหมดแล้ว
“จะให้คนอื่นเห็นทำไมล่ะคะ เรารู้อยู่แก่ใจก็พอแล้ว”
เมื่อเห็นว่าโน้มน้าวสวี่ม่ายซุ่ยไม่ได้ แม่สวี่จึงเอื้อมมือไปขยี้ผมของเธอพลางเอ่ย “แกนี่มันโง่จริง ๆ นะ แกไม่อยากได้หน้า แล้วพ่อกับแม่ไม่อยากได้หน้าหรือไง?”
“ก็ได้ค่ะ ก็ได้ พี่ใหญ่ พี่ยังจะไปไหมเนี่ย?”
“พวกแกไปกันสี่คนพ่อแม่ลูกนั่นแหละ อย่าให้พี่ใหญ่ของแกไป ถ้าเขาไปก็จะพูดกันไม่จบไม่สิ้น ส่วนพวกแกไปแล้วก็อย่าอยู่นานล่ะ รีบกลับมากินข้าวที่บ้านด้วย”
สวี่ม่ายซุ่ยตอบรับ “เข้าใจแล้วค่ะ”
เธอขอให้หลินเจี้ยนเยี่ยถือเหล้า เนื้อและปลา ส่วนเธอถือขนมแล้วเดินไปบ้านลุงใหญ่สวี่
“ลุงใหญ่… ลุงใหญ่! ลุงอยู่บ้านไหมคะ?” สวี่ม่ายซุ่ยตะโกนสุดเสียงทันทีที่มาถึงหน้าประตู
“อยู่สิ! อยู่!” ป้าสะใภ้ใหญ่สวี่ตอบรับพลางวิ่งออกมา
เมื่อเห็นว่าเป็นครอบครัวของสวี่ม่ายซุ่ยมาเยือน หล่อนก็ยิ้มกว้างทันทีชนิดที่หุบไม่ได้แล้ว
“ทำไมพวกเธอถึงว่างมานี่ได้ล่ะ?”
สวี่ม่ายซุ่ยตอบด้วยรอยยิ้มกระตือรือร้น “เราก็ถือโอกาสใช้วันหยุดมาเยี่ยมพวกคุณนี่แหละค่ะ”
“เจี้ยนเยี่ยได้หยุดพักผ่อนด้วยเหรอ? ถึงเวลาพักผ่อนก็ต้องพักผ่อนสิ ต่อให้ร่างกายทำจากเหล็กกล้าก็รับไม่ไหวหรอกนะ อย่ายืนตรงนี้เลย เข้ามาคุยกันในบ้านเถอะ”
พูดจบแล้วหล่อนก็ปล่อยให้พวกเธอเข้ามาในบ้าน
สวี่ม่ายซุ่ยเดินนำลูก ๆ ทั้งสองคนไปข้างหน้า “ป้าสะใภ้ใหญ่คะ พี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ของฉันอยู่ไหนเหรอ?”
“กลับบ้านเกิดน่ะ”
พูดจบแล้วนางก็มองข้าวของในมือหลินเจี้ยนเยี่ยแล้วพูดด้วยความไม่พอใจ “พวกเธอจะมาก็มาสิ ทำไมต้องเอาของมาด้วย”
สวี่ม่ายซุ่ยพูดว่า “ฉันไม่ได้มาที่นี่นานกว่าครึ่งปีแล้ว จะมามือเปล่าได้ไงคะ ก็แค่อยากจะความกตัญญูต่อคุณบ้าง”
“เห็นไหมว่าคุณผอมแค่ไหน ดังนั้นคุณต้องกินทั้งเนื้อและปลาให้มาก ๆ อย่าเสียดายที่จะกินแล้วปล่อยให้มันเน่าเสียนะคะ”
คนในวัยเดียวกับอีกฝ่ายมักจะเคยชินกับความยากจนและไม่เต็มใจที่จะกินอาหารดี ๆ จึงได้แต่เก็บซ่อนจากลูก ๆ ที่บ้าน ซึ่งกว่าจะมีแขกมากิน ของดี ๆ ก็เน่าเสียหมดแล้ว
แม้ว่าป้าสะใภ้ใหญ่สวี่กำลังคิดจะทำแบบนั้น แต่นางก็ไม่สามารถพูดต่อหน้าสวี่ม่ายซุ่ยได้ จึงตอบด้วยความยินดี “กินสิ หลานสาวคนโตให้มาเป็นของขวัญ ทำไมจะไม่กินล่ะ เธอไม่ต้องห่วงนะ ป้าสะใภ้จะกินให้หมดแน่นอน”
หลังจากพูดจบแล้วนางก็ตะโกนเรียกไปทางบ้านว่า “ตาเฒ่า รีบออกมาดูสิว่าใครมาหา”
ลุงใหญ่สวี่เดินออกจากบ้านพลางตอบว่า “ใครมากันนะ ใครทำให้คุณดูมีความสุขขนาดนี้”
“คุณก็ดูสิ” ทันทีที่ป้าสะใภ้ใหญ่สวี่พูดจบ ก็เห็นลุงใหญ่สวี่มองพวกเธอด้วยความตื่นตะลึงแล้ว
“หลานเขยก็มาด้วยเหรอเนี่ย รีบเข้ามาเถอะ” ขณะที่เขาพูดก็ยื่นมืออันสั่นเทาออกไปหาหลินเจี้ยนเยี่ย
ป้าสะใภ้ใหญ่สวี่คว้าข้าวของในมือของหลินเจี้ยนเยี่ยมาถือไว้ ส่วนหลินเจี้ยนเยี่ยก็รีบเดินไปหาลุงใหญ่สวี่และจับมือของเขาพลางพูดว่า “ลุงใหญ่ ให้ผมช่วยประคองเถอะครับ”
ลุงใหญ่สวี่พูดว่า “ไม่ต้องช่วยหรอก เธออย่ามองว่ามือฉันสั่นเลย จริง ๆ แล้วร่างกายของฉันแข็งแรงมากนะ”
“เธอได้ออกมาจากเกาะสักที ฉันได้ยินมาว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนบ้านของเธอเกิดเรื่องวุ่นวายนี่นะ แล้วเป็นยังไงบ้าง จะมีภัยคุกคามต่อพวกเราไหม?”
หลินเจี้ยนเยี่ยตอบด้วยรอยยิ้ม “ไม่มีการคุกคามใด ๆ แน่นอน คุณต้องเชื่อในกองทัพปลดปล่อยประชาชนของเรานะครับ”
“ฉันเชื่อสิ ฉันเชื่อในกองทัพปลดปล่อยประชาชนของเรามากที่สุด ฉันยังจำได้ดี ตอนที่พวกกุ้ยจื่อ*[1]น้อยนั่นรุกรานเข้ามา ฉันกับพ่อของนายก็ได้ช่วยกองทัพสายที่แปดด้วย” ทั้งสองเดินไปที่บ้านพลางคุยกันไปด้วย
ป้าสะใภ้ใหญ่สวี่เดินตามหลังพลางหัวเราะพูดว่า “เธอเห็นไหมว่าลุงใหญ่เจอใครก็เล่าแต่เรื่องนี้แหละ เขาไม่กลัวจะทำตัวน่าอายต่อหน้าเจี้ยนเยี่ยเลย”
เมื่อได้ยินแบบนี้แล้ว ลุงใหญ่สวี่ก็หันขวับมามองและพูดว่า “คุณคิดว่าเจี้ยนเยี่ยจะเหมือนคุณเหรอ เขาเคยอยู่ในสนามรบมาแล้ว แน่นอนว่าเขาเข้าใจความตึงเครียดในเวลานั้นดี ใช่ไหมเจี้ยนเยี่ย?”
หลินเจี้ยนเยี่ยก็หันมามองสวี่ม่ายซุ่ยแล้วพูดว่า “ใช่ครับ เวลาอยู่ในสนามรบนั้นไม่มีช่วงไหนไม่รู้สึกประหม่า ถ้าคุณไม่ระวัง ก็อาจเสียชีวิตได้เลย”
ลุงใหญ่สวี่พูดว่า “คุณเห็นไหมว่ายังเป็นเจี้ยนเยี่ยที่เข้าใจที่สุด เจี้ยนเยี่ย งั้นช่วยเล่าเรื่องเกี่ยวกับกองทัพของนายบ้างได้ไหม?”
เมื่อเห็นหลินเจี้ยนเยี่ยมีท่าทางกระอักกระอ่วนใจ เขาก็รีบพูดทันที “ไม่เป็นไร เล่าเท่าที่นายบอกได้ก็พอ ฉันยังเข้าใจกฎของกองทัพเราดี”
หลินเจี้ยนเยี่ยถอนหายใจด้วยความโล่ง จากนั้นเขาก็บอกเล่าเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เล่าได้ให้ลุงใหญ่สวี่ฟัง
ทางด้านสวี่ม่ายซุ่ยก็พาลูกทั้งสองคนมานั่งลงข้าง ๆ เพื่อคุยกับป้าสะใภ้ใหญ่สวี่
ระหว่างที่สนทนากันอยู่นั้น ป้าสะใภ้ใหญ่สวี่ก็ลุกขึ้นยืนและพูดว่า “ฉันลืมไปเลยว่าที่บ้านมีลูกอมอยู่ ฉันจะเอามาให้พวกเด็ก ๆ นะ”
หล่อนพูดแล้วเดินเข้าไปในบ้าน
สวี่ม่ายซุ่ยรีบพูดว่า “ป้าสะใภ้ใหญ่ อย่าเอามาให้พวกเขาเลย พวกเขาเริ่มมีฟันแท้ เลยไม่ให้กินของหวานน่ะค่ะ”
ป้าสะใภ้ใหญ่สวี่พูดว่า “กินคนละเม็ดสองเม็ดก็ได้นะ”
สวี่ม่ายซุ่ยเห็นว่าไม่สามารถคัดค้านป้าสะใภ้ใหญ่สวี่ได้ เธอจึงหันไปหาหลินเซียวกับหลินฟานแล้วพูดว่า “เดี๋ยวคุณยายจะให้ลูกอมกับลูกนะ”
หลินเซียวพูดว่า “แม่ครับ งั้นอีกเดี๋ยวแม่ก็ช่วยปรามพวกเราสิครับ”
สวี่ม่ายซุ่ย “เวลาที่ออกมาข้างนอกแม่จะควบคุมลูกได้เหรอ? อย่าเอาแต่บอกให้แม่ดูแล มิฉะนั้นต่อให้ลูกอายุเจ็ดสิบแปดสิบ แม่ก็ยังต้องคอยดูแลไม่เลิกนั่นแหละ”
หลินเซียวได้ยินแบบนี้ก็ยกมือตบหน้าผากด้วยความคิดไม่ตก “แล้วจะแก้ปัญหานี้ยังไงดีครับ”
สวี่ม่ายซุ่ยพูดว่า “ลูกคิดว่าไงล่ะ?”
หลินเซียว “…”
ในเวลานี้ป้าสะใภ้ใหญ่สวี่ก็เดินออกมาพร้อมลูกอม หลินเซียวจึงลุกขึ้นนั่งตัวตรงพลางมองไปทางป้าสะใภ้ใหญ่สวี่
เขาเห็นป้าสะใภ้ใหญ่สวี่ถือห่อผ้าเช็ดหน้าสีน้ำเงินลายเทาแล้วเปิดผ้าออกทีละชั้น ปรากฏให้เห็นว่าข้างในมีลูกอมหกหรือเจ็ดเม็ดที่ใกล้จะละลายหมดแล้ว
สวี่ม่ายซุ่ยเห็นว่าดวงตาของเด็กทั้งสองคนเบิกกว้างเป็นประกาย เธอจึงแอบเอื้อมมือออกไปและหยิกบริเวณเนื้อที่กำลังเต้นระริกของหลินเซียว
หลินเซียวตัวแข็งทื่อทันที ทว่าภายใต้สายตาเปี่ยมด้วยความรักของป้าสะใภ้สวี่ เขาจึงค่อย ๆ ยื่นมือไปหยิบมาหนึ่งเม็ด
หลินฟานก็ยื่นมือตามมาและหยิบด้วยหนึ่งเม็ด เมื่อป้าสะใภ้ใหญ่สวี่เห็นดังนั้น หล่อนก็รีบจัดแจง “เอาไปอีกเม็ด อยากจะกินก็กินเลย มียายอยู่ตรงนี้ แม่ของพวกหลานไม่กล้าว่าหรอก”
เมื่อได้ยินแบบนี้แล้ว หลินเซียวก็หันไปมองสวี่ม่ายซุ่ยและยิ้มด้วยความขมขื่น “ไม่ครับคุณยาย แค่เม็ดเดียวก็พอแล้ว”
เมื่อเห็นว่าหลินเซียวไม่เปลี่ยนใจ ป้าสะใภ้ใหญ่สวี่จึงวางผ้าเช็ดหน้าและนั่งข้างสวี่ม่ายซุ่ยพลางเอ่ย “ลูกทั้งสองคนของเธอเชื่อฟังมากจริง ๆ นะ ต่างจากเด็ก ๆ ในครอบครัวของฉันที่ซนเป็นลิงเชียวละ”
สวี่ม่ายซุ่ย “เด็กซนคือเด็กฉลาดและเป็นเด็กแข็งแรงด้วยค่ะ”
เมื่อเห็นว่าใกล้จะถึงเวลาแล้ว เธอก็ลุกขึ้นยืนและพูดว่า “ป้าสะใภ้ใหญ่ เราต้องไปบ้านอาเล็กต่อแล้ว คงอยู่นานไม่ได้นะคะ”
เมื่อหลินเจี้ยนเยี่ยได้ยินดังนั้น เขาก็ลุกขึ้นทันทีและพูดกับป้าสะใภ้ใหญ่สวี่ว่า “รบกวนเวลาคุณสักพักแล้วจริง ๆ”
“ค่อยไปหลังกินข้าวเสร็จเถอะ อาเล็กของพวกเธอไม่หนีไปไหนหรอก”
สวี่ม่ายซุ่ยบอกว่า “ไม่ได้หรอกค่ะ เราต้องใช้วันหยุดนี้เยี่ยมให้ครบ”
ลุงใหญ่สวี่พูดว่า “ไม่ต้องรีบไปบ้านอาเล็กของเธอหรอก นาน ๆ ทีพวกเธอจะมาที่นี่ ไว้กินข้าวเสร็จแล้วค่อยไป”
สวี่ม่ายซุ่ยพูดว่า “ไม่ได้จริง ๆ ค่ะ แม่ของฉันทำอาหารรอไว้แล้ว” เมื่อพูดจบแล้วเธอก็จูงมือลูกทั้งสองคนและวิ่งออกไปข้างนอกทันที
ป้าสะใภ้ใหญ่สวี่เดินตามหลังโดยไร้ทางเลือกอื่น นอกจากตะโกนว่า “เธอช้าลงหน่อย แล้วเอาของพวกนี้กลับไปด้วยสิ!”
สวี่ม่ายซุ่ยโบกมือพลางเอ่ย “ไม่ได้ค่ะ ไม่ได้ คุณกับลุงใหญ่เก็บไว้กินเถอะค่ะ”
หลังจากเดินออกมาได้ระยะหนึ่งแล้ว เธอก็เห็นหลินเซียวยื่นมือมาทางเธอพลางเอ่ย “แม่ครับ ลูกอมของบ้านคุณยายละลายหมดแล้ว”
“วันที่อากาศร้อนขนาดนี้จะไม่ละลายได้ไง เดี๋ยวค่อยกลับไปกินนะ”
ไม่ว่าพวกเธอจะมีเงินหรือไม่ก็ตาม สวี่ม่ายซุ่ยจะไม่สอนให้ลูก ๆ สุรุ่ยสุร่าย เมื่อก่อนตอนที่พวกเธอไม่มีเงิน เด็ก ๆ จะถือว่าลูกอมที่ละลายแล้วยังเป็นสมบัติล้ำค่า และถึงแม้ว่าตอนนี้ชีวิตจะดีขึ้นกว่าเดิม แต่พวกเขาต้องไม่ลืมรากเหง้าของตน
ทันทีที่พวกเธอกลับถึงบ้าน ก็ได้ยินเสียงแม่สวี่พูดว่า “กี่โมงกี่ยามแล้ว ทำไมเพิ่งจะกลับมา?”
สวี่ม่ายซุ่ยตอบว่า “เราเสียเวลานั่งคุยกันที่บ้านลุงใหญ่น่ะค่ะ”
จากนั้นแม่สวี่ก็มอบของอีกส่วนให้พลางเอ่ย “ยังไม่ถึงเวลากินข้าว งั้นก็รีบไปบ้านอาเล็กเร็ว ๆ เถอะ”
ด้วยเหตุผลนี้ ทั้งสี่คนพ่อแม่ลูกจึงถูกไล่ออกมาอีกครั้ง และเมื่อได้ประสบการณ์จากบ้านลุงใหญ่สวี่แล้ว การไปบ้านอาเล็กสวี่คราวนี้จึงทำเวลาได้ดีกว่ามาก ทันทีที่เพิ่งจะได้นั่งคุยกัน พวกเธอก็อ้างว่ามีงานรออยู่ที่บ้านและรีบกลับออกมา
เมื่อสวี่ม่ายซุ่ยกลับถึงบ้าน เธอก็ไปช่วยสะใภ้ใหญ่สวี่กับแม่สวี่ทำอาหาร ส่วนหลินเจี้ยนเยี่ยไปช่วยพ่อสวี่กับสวี่ม่ายเถียนจัดการตู้ให้ซูหมิง
[1] 鬼子 กุ้ยจื่อ เป็นสแลงที่ชาวจีนใช้เรียกคนต่างด้าวที่เข้ามารุกราน
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
บ้านญาติของม่ายซุ่ยมีแต่คนดี ๆ นะเนี่ย ควรผูกมิตรเอาไว้ให้มากขึ้น
ชิวเฟิง
MANGA DISCUSSION