ตอนที่ 129 มีแค้นต้องชำระให้ตรงจุด ตบนี้จึงต้องเอาคืน
หลินเจี้ยนกั๋วได้ยินแล้วโกรธมาก “เธอเป็นใคร มีสิทธิ์อะไรมาบอกให้แยกครอบครัวก็ต้องแยกน่ะ”
สวี่ม่ายซุ่ยพูดว่า “หลินเจี้ยนจวินจะออกจากบ้านแต่ตัว เขาไม่ต้องการสิ่งใดเลย แต่ถ้าพวกคุณไม่พอใจก็แค่ลืมมันไปซะ”
สะใภ้ใหญ่หลินได้ยินแบบนี้แล้วตาก็เป็นประกาย “เธอพูดจริงเหรอ?”
สวี่ม่ายซุ่ยตอบสั้นๆ “จริงสิ”
สะใภ้ใหญ่หลินรีบพูด “งั้นแยกเลย พวกเราจะแยก”
สวี่ม่ายซุ่ย “ดี ตอนนี้รองผู้บัญชาการโหวและเลขาธิการซุนก็อยู่ที่นี่ด้วย ดังนั้นก็ขอให้เขาช่วยร่างเอกสารให้เรา โดยจดบันทึกบทสนทนาของเราลงในเอกสารด้วย”
สะใภ้ใหญ่หลินเกิดความลังเลอยู่พักหนึ่ง เมื่อรู้สึกว่ามันจะไม่เป็นภัยต่อตน จึงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ตกลงตามนั้น”
ในขณะที่เลขาธิการซุนกำลังช่วยสวี่ม่ายซุ่ยเขียนเอกสาร กรรมการการเมืองเฉินที่อยู่ข้างๆ ก็ใช้ข้อศอกแหย่กระทุ้งจ้าวเป่ากั๋วพลางพึมพำว่า “คุณคิดว่าเรามาทำอะไรที่นี่?”
จ้าวเป่ากั๋วตอบอย่างไม่ยี่หระ “มาดูความสนุกไง”
ทันทีที่เขาพูดจบ ก็เห็นสวี่ม่ายซุ่ยกำลังยืนโบกมือให้พวกเขาพร้อมกับยิ้มเอ่ย “กรรมการการเมืองจ้าว กรรมการการเมืองเฉิน เชิญพวกคุณทางนี้หน่อยค่ะ”
กรรมการการเมืองเฉินพึมพำด้วยความสงสัย “หล่อนเรียกพวกเราทำไมเหรอ?”
จ้าวเป่ากั๋วตอบ “ใครจะรู้ล่ะ ต้องไปดูกันเองสิ”
ทันทีที่พวกเขาเดินมาสมทบ ก็เห็นสวี่ม่ายซุ่ยยิ้มแล้วยื่นปากกาสองด้ามมาให้พลางเอ่ย “คุณทั้งสองได้โปรดช่วยลงนามเป็นพยานด้วยเถอะค่ะ”
แค่รองผู้บัญชาการโหวคนเดียว สวี่ม่ายซุ่ยยังไม่วางใจ เพราะเขามีสิทธิ์โดนลากลงจากเก้าอี้ได้ทุกเมื่อ
กรรมการการเมืองเฉินยิ้มแห้ง “น้องสะใภ้ จำเป็นต้องทำแบบนี้ด้วยเหรอ?”
“ทำไมจะไม่จำเป็นล่ะคะ คุณเห็นไหมว่ารองผู้บัญชาการก็ลงนามแล้ว”
ขณะที่กรรมการการเมืองเฉินลังเล จ้าวเป่ากั๋วก็ใช้ข้อศอกกระทุ้งเขาแล้วแอบขยิบตาให้ “ลงนามเลย”
กรรมการการเมืองเฉินจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องลงนาม ทางด้านจ้าวเป่ากั๋วนั้นเร็วกว่ามาก เพราะลงนามโดยไม่ได้อ่านรายละเอียดด้วยซ้ำ
หลังจากที่ทุกคนลงนามแล้ว สวี่ม่ายซุ่ยก็หยิบกระดาษที่เป็นของตนขึ้นมาเก็บไว้ เมื่อสะใภ้ใหญ่หลินเห็นแบบนั้นก็รีบหยิบของตัวเองมาเก็บบ้าง
“เธอจะจ่ายเงินค่ารักษาเมื่อไหร่?”
สวี่ม่ายซุ่ยตอบว่า “ฉันจะจ่ายเป็นรายเดือน โดยจะส่งให้คุณเมื่อถึงเวลา”
“ส่งแบบนั้นลำบากมาก ทำไมเธอไม่ให้ฉันคราวเดียวหมดเลยล่ะ” สะใภ้ใหญ่หลินพูดพร้อมชำเลืองมอง
สวี่ม่ายซุ่ยตอบว่า “ครอบครัวของฉันไม่มีเงินมากขนาดนั้นหรอก”
“ถ้างั้นก็ไปยืมมาสิ”
“ไม่มีที่ให้ยืมหรอก”
“ถ้างั้นพวกเราก็จะไม่กลับ เพราะถ้าเธอไม่ให้เงินเราล่ะ”
สวี่ม่ายซุ่ยพูดด้วยความดูแคลน “คุณคิดว่าสัญญาที่เพิ่งลงนามไปน่ะมีแค่เรื่องการแยกครอบครัวเหรอ?”
“ถ้าฉันไม่ให้เงินคุณ คุณก็สามารถมาหารองผู้บัญชาการโหวได้เลย”
สะใภ้ใหญ่หลินไม่เชื่อสวี่ม่ายซุ่ย หล่อนจึงหันไปถามรองผู้บัญชาการโหวด้วยความไม่แน่ใจ “หัวหน้า หล่อนพูดจริงเหรอคะ?”
รองผู้บัญชาการโหวรู้สึกรำคาญกับเรื่องวิวาทในครอบครัวหล่อนนานแล้ว จึงตอบตามตรง “จริงสิ”
สะใภ้ใหญ่หลินก็พอจะมีประสบการณ์อยู่บ้าง แน่นอนว่ามองเห็นความเหลืออดในสายตาของรองผู้บัญชาการโหวได้ดี หล่อนจึงพูดด้วยความระมัดระวัง “ก็ได้ พวกเราเชื่อใจหัวหน้าอยู่แล้ว”
เมื่อพูดจบแล้วหล่อนก็เดินไปหาหลินเจี้ยนกั๋วแล้วพูดว่า “เจี้ยนกั๋ว คุณกับพวกน้าใหญ่ช่วยแบกแม่ไปหน่อย พวกเราจะกลับกันแล้ว”
หลินเจี้ยนกั๋วได้ยินแล้วก็ตะโกนบอกคนอื่นทันที แต่ในขณะที่เขากำลังเคลื่อนไหว ก็ไม่คาดคิดว่าสวี่ม่ายซุ่ยจะตะโกนพร้อมสีหน้าเย็นชาว่า “เดี๋ยวก่อน”
หลินเจี้ยนกั๋วหันกลับมามองและถามเธอด้วยอารมณ์หงุดหงิด “เธอยังมีปัญหาอะไรอีก?”
สวี่ม่ายซุ่ยยกมือชี้ที่ใบหน้าแดงและบวมของเธอพลางเอ่ย “ฉันยังไม่จบเรื่องนี้เลย”
หลินเจี้ยนกั๋วขมวดคิ้วแล้วพูดด้วยท่าทางอันธพาล “เธอแค่โดนตบสั่งสอนไปทีเดียว น้าใหญ่ก็เป็นผู้อาวุโสด้วย เธอคงไม่คิดจะตบคืนหรอกนะ”
“น้าใหญ่มานี่สิ ลองมายืนอยู่ข้างเธอเนี่ย แล้วฉันจะดูว่าหล่อนกล้าตบน้าต่อหน้าคนเยอะแยะหรือเปล่า?”
น้าใหญ่หลินได้ยินแล้วก็เปลี่ยนจากพฤติกรรมขี้ขลาดเป็นมั่นใจ เขามายืนตรงเบื้องหน้าของสวี่ม่ายซุ่ยและลอยหน้าลอยตาพูดว่า “หลานสะใภ้ ฉันผิดไปแล้วจริงๆ ใครใช้ให้เธอมาขวางฉันล่ะ จะโทษฉันไม่ได้หรอกนะ”
เมื่อเห็นรอยยิ้มเย้ยหยันของเขาแล้ว สวี่ม่ายซุ่ยก็กำหมัดแน่นพร้อมสีหน้ามืดครึ้ม ขณะกำลังชั่งน้ำหนักการตบเขานั่นเอง อยู่ๆ เธอก็ได้ยินเสียงดังขึ้นมา และพบว่าสวี่ม่ายเถียนได้ตบเขาแทนเธอแล้ว
“น้าใหญ่หลิน ด้วยสถานะของน้องสาวผม หล่อนตบคุณไม่ได้แน่นอน ดังนั้นเรื่องนี้ให้ผมซึ่งเป็นพี่ชายคนโตของหล่อนจัดการเถอะ”
“ถ้าคุณจะด่าก็ด่าผมนี่ มันไม่เกี่ยวอะไรกับน้องสาวผมเลย”
ไม่มีใครคาดคิดว่าสวี่ม่ายเถียนจะออกหน้าแบบนี้ น้าใหญ่หลินจึงทำได้เพียงยกมือกุมข้างแก้มแล้วมองอีกฝ่ายด้วยความโกรธ “ดี ถ้าตระกูลสวี่ของพวกนายเก่งนัก ก็รอฉันก่อนแล้วกัน”
พูดจบแล้วเขาก็สะบัดหน้าเดินจากไป
พวกหลินเจี้ยนกั๋วเห็นแบบนั้นก็รีบแบกแม่เฒ่าหลินและไล่ตามออกไป
เมื่อพวกเขาออกไปแล้ว บรรดาผู้มาชมความสนุกก็แยกย้ายด้วย เหลือเพียงพวกของรองผู้บัญชาการโหวและครอบครัวสวี่ม่ายซุ่ยเท่านั้น
รองผู้บัญชาการโหวมองสวี่ม่ายซุ่ยและตำหนิเธอด้วยความโกรธ “สหายสวี่ เรื่องในครอบครัวของคุณทำให้งานของเราล่าช้าหลายครั้งแล้วนะ ผมหวังว่าต่อจากนี้คุณจะใส่ใจกับสถานการณ์โดยรวมให้มากขึ้น และหยุดทำตัวเหมือนเด็กได้แล้ว”
พูดจบแล้วเขาก็หันหลังเดินจากไป
จ้าวเป่ากั๋วเดินตามรองผู้บัญชาการโหวและแอบยกนิ้วโป้งให้สวี่ม่ายซุ่ย
ทันทีที่พวกเขาจากไปหมดแล้ว สะใภ้ใหญ่สวี่ก็อดพูดไม่ได้ว่า “น้องสาว เธอทำบ้าอะไรเนี่ย ฉันแนะนำเธอไปมากมาย แต่เธอไม่ฟังฉันเลย”
“พี่สะใภ้ใหญ่ พี่บอกว่าฉันทำไปเรื่อยเหรอ?” สวี่ม่ายซุ่ยตอบโดยแสร้งทำไม่รู้จริงๆ
สะใภ้ใหญ่สวี่พูดว่า “ถ้าฉันไม่คอยปรามเธอไว้ เธอก็คงจะถอดเสื้อผ้ายกให้พวกเขาแล้วมั้ง เธอบอกฉันหน่อยสิ ทำไมเธอถึงยอมให้เงินหล่อนง่ายๆ และให้เยอะขนาดนั้นด้วย”
สวี่ม่ายซุ่ยพูดว่า “ถ้าฉันไม่ให้แล้วจะยังไงล่ะ ต้องยอมให้แม่เฒ่าอยู่ด้วยและคอยปรนนิบัติหล่อนเหรอ ฉันรับไม่ได้หรอกนะ”
สะใภ้ใหญ่สวี่ได้ยินแล้วจึงตอบกลับอย่างไม่ได้ดั่งใจ “เธอหนอเธอ หัวรั้นไม่เข้าเรื่อง เธอไม่ปรนนิบัติยายแก่นั่นก็ให้ฉันทำแทนสิ ถ้าฉันดุด่าหล่อนวันละสามเวลา ฉันก็ไม่เชื่อว่าหล่อนจะอยู่ต่อได้หรอก และเธอจะประหยัดเงินได้ด้วย”
สวี่ม่ายซุ่ยมองท่าทางขุ่นเคืองของสะใภ้ใหญ่สวี่ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอยิ้มให้หล่อนด้วยความจริงใจและเข้าไปกอดไหล่อีกฝ่ายพลางพูดด้วยความเสน่หา “พี่สะใภ้ผู้แสนดี พี่คิดว่ามันจะง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ? ก็เห็นนิสัยหลินเจี้ยนกั๋วแล้วนี่ ถ้าเรายอมเป็นเบี้ยล่างให้ พวกเขาก็อาจจะหาจุดบกพร่องมาเล่นงานเราได้ทุกเมื่อ ดังนั้นจึงควรใช้เงินแก้ปัญหาทั้งหมดในคราวเดียวไปเลยดีกว่า”
“แต่มันง่ายเกินไปสำหรับพวกเขา เธอเองก็ไม่ต่างกันหรอก โดนเอาเปรียบมากขนาดนี้ก็ยังไม่พูดอะไรเลย ถ้าฉันไม่ได้เข้าเมืองและบังเอิญเห็นพวกเขาบนรถ ป่านนี้เธอต้องสู้คนเดียวแล้ว”
สวี่ม่ายซุ่ยที่กำลังจะถามว่าพวกหล่อนบังเอิญมาทันเหตุการณ์ได้ยังไง พอได้ยินแบบนี้แล้วก็เข้าใจแจ่มแจ้ง
“ขอบคุณนะคะพี่สะใภ้”
สะใภ้ใหญ่สวี่ “เธอจะมาเกรงใจพวกเราทำไมกัน”
เมื่อสวี่ม่ายเถียนเห็นว่าสวี่ม่ายซุ่ยจะเป็นพวกเดียวกับภรรยาของเขาแล้ว เขาจึงเข้ามาดึงภรรยาแล้วพูดว่า “ในเมื่อจบเรื่องแล้ว พวกเราก็กลับกันเถอะ”
“เธอก็ไปตรวจแผลตรงหน้าที่ศูนย์อนามัยด้วยนะ อย่าให้ทิ้งรอยแผลเป็นล่ะ”
สวี่ม่ายซุ่ย “พวกพี่เพิ่งจะมาถึงเองนะ ทำไมรีบกลับนักล่ะ งั้นรอกินข้าวด้วยกันก่อนเถอะ ไป ไปนั่งพักที่บ้านสักหน่อย แล้วฉันจะรีบทำอาหารให้”
เมื่อสวี่ม่ายเถียนเห็นเธอหันหลังและกำลังจะเดินไปที่ห้องครัว เขาก็รีบคว้าแขนเธอแล้วพูดว่า “อย่ายุ่งยากเลย เราไม่ใช่คนนอกซะหน่อย”
เมื่อครู่พวกสะใภ้ใหญ่หลินอยู่ตรงหน้า สวี่ม่ายซุ่ยยังทำท่าทางแข็งกร้าวมาก แต่ทันทีที่พวกนั้นจากไปแล้วและอยู่แต่กับครอบครัวของตน จึงได้เห็นว่ากางเกงและรองเท้าของพี่ใหญ่สวี่เต็มไปด้วยโคลน เธอจึงเดาได้ว่าพี่ใหญ่สวี่จะต้องทำงานอยู่ แต่เมื่อได้ยินว่าเธอเกิดเรื่อง เขาก็มาที่นี่ทันทีโดยไม่ได้กลับบ้านด้วยซ้ำ
ทันใดนั้นความสะเทือนใจของเธอก็เพิ่มขึ้นอีก ตอบด้วยเสียงติดสะอื้นว่า “พวกพี่รีบมาที่นี่แล้วจะกลับไปโดยไม่กินข้าวด้วยซ้ำเหรอ”
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ทำดีมากค่ะพี่ใหญ่สวี่ สรุปเคลียร์เรียบร้อยนะ อย่าให้เห็นว่าคนบ้านหลินขึ้นเกาะมารุกรานบ้านม่ายซุ่ยอีกนะ
ชิวเฟิง
MANGA DISCUSSION