ตอนที่ 124 ตกหลุมรัก
ใครจะรู้ว่าขณะเธอทำท่าจะไป ก็ถูกภรรยาหมาจื่อลากกลับมา “เธอจะทำอะไร?”
สวี่ม่ายซุ่ย “ภารกิจฉันสำเร็จแล้ว ฉันกลับไปทำกับข้าวไม่ได้หรือไง”
ภรรยาหมาจื่อ “เธอจะกลับไปทำกับข้าวทำไม วันนี้ก็กินกับพวกฉันนี่แหละ”
สวี่ม่ายซุ่ยมองหล่อนอย่างหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “ใช่ว่าเธอไม่รู้นี่ว่าบ้านฉันมีเด็กสองคน ฉันไม่กลับไปแล้วพวกเขาจะกินอะไร”
ภรรยาหมาจื่อ “ง่ายมาก ก็มากินบ้านฉันสิ”
พูดจบก็ไม่รอให้สวี่ม่ายซุ่ยปฏิเสธ เอ่ยปากตะโกนเรียกลูกสาวหล่อนว่า “ตั่วตั่ว ลูกไปเรียกหลินเซียว หลินฟานมากินข้าวบ้านเรา บอกว่าแม่เขาให้มาเรียก”
ตั่วตั่วที่เดิมทีกำลังเล่นก็ไม่รอให้สวี่ม่ายซุ่ยได้สติกลับมา วิ่งออกไปทันที เมื่อหมดหนทางแล้ว สวี่ม่ายซุ่ยจึงทำได้แค่อยู่ที่นี่ ไม่นานหลินเซียวกับหลินฟานก็ถูกตั่วตั่วร้องตะโกนให้ออกมา
หลินเซียวมีท่าทางค่อนข้างสุขุมเมื่อยังไม่เข้ามา แต่พอเห็นสวี่ม่ายซุ่ย เขาก็รีบพุ่งพรวดเข้ามากระซิบถาม “แม่ เรามากินข้าวบ้านหล่อนได้ยังไง?”
สวี่ม่ายซุ่ยมองเซียงอวิ๋นพลางตอบกลับ “ลูกลืมแล้วหรอว่าอาตั่วตั่วดองกับลุงลูกแล้ว พวกเรานี่ก็ไม่พ้นอาศัยอานิสงส์ของลุงลูก”
หลินเซียวขมวดคิ้ว “หล่อนจะเป็นป้าสะใภ้ผมจริง ๆ เหรอ”
สวี่ม่ายซุ่ย “อืม ต่อไปนี้ก็มีมารยาทกับคนอื่นหน่อย”
หลินเซียว “ได้”
หลังกินข้าวแล้ว สวี่ม่ายซุ่ยก็พาเด็กสองคนวิ่งฉิวกลับบ้านอย่างเร็วที่สุด ไม่ว่าภรรยาหมาจื่อจะเหนี่ยวรั้งยังไงก็ไม่ยอม ซูหมิงเองก็ไม่ได้อยู่นาน กินเสร็จก็พาเซียงอวิ๋นไปตลาด การหมั้นหมายของทั้งสองยังต้องซื้อเสื้อผ้า อะไรต่อมิอะไรอีก เลยกังวลใจไม่น้อย
ออกจากบ้านหมาจื่อมาไม่ไกล หลินเซียวก็นวดท้องพูดกับสวี่ม่ายซุ่ยว่า “แม่ เมื่อกี้ผมยังกินไม่อิ่มเลย”
หลินฟานก็พูดด้วย “แม่ ผมก็ยังกินไม่อิ่ม”
สวี่ม่ายซุ่ยก้มมองสีหน้าอมทุกข์ของเด็กทั้งสอง “แม่ก็ยังกินไม่อิ่ม กลับไปทำบะหมี่ซี่โครงหมูให้พวกลูกดีไหม”
หลินเซียวกับหลินฟานฟังจบก็แทบจะกระโดด “ดีเลย”
กลับถึงบ้านสวี่ม่ายซุ่ยก็มัดผมเข้าครัวเริ่มทำบะหมี่ ทำเอาหลินเจี้ยนจวินที่อยู่ด้านข้างประหลาดใจไม่น้อย “พวกพี่ออกไปกินมาแล้วไม่ใช่เหรอ ยังกินไม่อิ่มอีกเหรอครับ?”
หลินเซียว “กินไม่อิ่ม”
“อาหารแค่ไม่กี่อย่างกินทิ้งกินขว้างไม่ได้”
แม้บ้านหมาจื่อจะให้ความสำคัญกับซูหมิงด้วยการทำอาหารรวมสิบอย่าง แต่ปริมาณก็ยังไม่พอสำหรับคนจำนวนมาก ยิ่งไม่ใช่คนบ้านตัวเองด้วย พวกเธอเองก็เกรงใจไม่กล้ากินทิ้งกินขว้าง อย่างไรเสียอาหารยุคนี้ก็มีค่ามากหมด
อีกอย่างความก้าวหน้าทางฝั่งซูหมิงเองก็เป็นไปอย่างราบรื่น แม้ว่าเซียงอวิ๋นจะถือตัว แต่หล่อนก็เป็นพวกคลั่งรัก เวลานี้ความรู้สึกนึกคิดทั้งหมดของหล่อนล้วนขึ้นอยู่กับซูหมิง
ตั้งแต่ลงจากเรือ เซียงอวิ๋นยังไม่ได้ละสายตาไปจากใบหน้าซูหมิงเลย
“หน้าฉันมีอะไรอยู่เหรอ” ซูหมิงหันไปถามเซียงอวิ๋นด้วยความแปลกใจ
เซียงอวิ๋นส่ายหัวยิ้ม ๆ “ไม่มีนะ”
ซูหมิงถามอย่างขบขัน “งั้นทำไมเธอมองไม่หยุดเลยล่ะ?”
เซียวอวิ๋น “ก็พี่หน้าตาดีนี่”
ซูหมิงได้ยินคำพูดตรง ๆ ของหล่อนก็ยิ้มเจิดจ้า “เธอเองก็หน้าตาดีมากเหมือนกัน”
เซียงอวิ๋นผงะไป ถามอย่างไม่อยากเชื่อ “พี่ไม่รังเกียจกระบนหน้าฉันเหรอ?”
ซูหมิง “แน่นอนว่าไม่รังเกียจ หู ตา จมูก ปากของเธอดูสวยหมดเลย”
เซียงอวิ๋นฟังคำพูดนี้แล้วจู่ ๆ ก็ก้มหน้านิ่งเงียบไม่พูดไม่จาขึ้นมา ทำเอาซูหมิงตกใจจนรีบถาม “เธอเป็นอะไรไป ฉันพูดผิดไปหรือเปล่า?”
เห็นซูหมิงกังวลขนาดนั้น เซียงอวิ๋นถึงได้เงยหน้า ส่ายหัวโดยที่ขอบตามีน้ำตาคลอหน่วย “เปล่า ก็แค่ตั้งแต่ยังเล็กฉันไม่เคยได้ยินใครชมฉันมาก่อนเลย”
ซูหมิงได้ยินหล่อนพูดขนาดนี้ก็เป่าปากโล่งอก “เด็กโง่ ก็นึกว่าเรื่องอะไร เดิมทีเธอก็ดูดีมากอยู่แล้ว เธอต้องมั่นใจในตัวเองหน่อยสิ”
เซียงอวิ๋น “แต่ไหนแต่ไรก็ไม่มีเคยมีคนชมฉันมาก่อนนี่”
“ฉันก็ชมเธออยู่นี่ไง ถ้าเธออยากฟัง ต่อไปฉันจะพูดให้เธอฟังทุกวัน”
พอซูหมิงพูดคำนี้ออกมา เซียงอวิ๋นก็หน้าแดงทันที ติ่งหูซูหมิงเองก็แดงก่ำเหมือนกัน
บรรยากาศความรักอันคลุมเครือแผ่กระจายระหว่างคนทั้งสองไม่หยุด จนลงเรือถึงดีขึ้นหน่อย
ซูหมิงเดินนำลงเรือไปก่อน ตอนที่หันมามองเซียงอวิ๋นก็มีลมทะเลพัดมาสายหนึ่ง เห็นหล่อนยืนอย่างไม่มั่นคง ซูหมิงก็เอื้อมมือไปดึงหล่อนทันเวลา
ทั้งสองเพิ่งจะกำหนดความสัมพันธ์แน่ชัด ซูหมิงกลัวว่าการรุกของตนจะทำให้หล่อนตกใจ รอหล่อนยืนได้มั่นคงแล้วจึงเก็บมือกลับมา ใครจะรู้ว่าเซียงอวิ๋นกลับจับมือเขาไว้
ซูหมิงมองไปที่หล่อนอย่างประหลาดใจ ก็เห็นเซียงอวิ๋นพูดกับเขาด้วยสีหน้าเขินอาย “ไม่เดินเหรอ?”
ซูหมิงรีบพยักหน้าตอบรับ “เดินสิ”
หลังจากมีฉากพิเศษแทรกเข้าไป ความสัมพันธ์ของทั้งสองจึงแน่นแฟ้นยิ่งกว่าเก่า
รอให้เซียงอวิ๋นเลือกเสื้อผ้าเสร็จ ซูหมิงก็พาหล่อนไปที่เคาน์เตอร์ขายนาฬิกาข้อมือ
เซียงอวิ๋นเห็นนาฬิกาสวยงามละลานตา ก็ถามอย่างสงสัย “พี่บอกว่าของชิ้นใหญ่สองชิ้นคือจักรเย็บผ้ากับจักรยานไม่ใช่เหรอ ทำไมยังซื้อนาฬิกาข้อมืออีก?”
ซูหมิงก้มหน้าหานาฬิกาที่เหมาะกับหล่อนพลางตอบกลับ “พิธีมงคลกับของชิ้นใหญ่สองชิ้นเป็นแม่ฉันที่ซื้อให้เธอ ส่วนฉันอยากซื้อให้เธอโดยเฉพาะหนึ่งชิ้น”
เซียงอวิ๋นฟังจบก็ซาบซึ้งอย่างเต็มเปี่ยม ลากแขนซูหมิงพลางออดอ้อน “พี่ไม่ต้องซื้อให้ฉันหรอก อะไร ๆ ฉันก็มีหมดแล้ว พี่ซื้อให้ตัวเองก็พอ”
ซูหมิงฟังจบก็เงยหน้าขึ้นมาพูดด้วยสีหน้ารักใคร่ “ได้ยังไงเล่า บอกดิบดีแล้วว่าจะซื้อให้เธอ อีกอย่างฉันใส่ก็ไม่มีประโยชน์อะไร”
เซียงอวิ๋น “ฉันใส่ก็ไม่มีประโยชน์อะไรเหมือนกันแหละ”
ซูหมิง “เธอใส่แล้วดูดี”
สุดท้ายซูหมิงก็ยังซื้อของให้เซียงอวิ๋นหนึ่งชิ้น หล่อนมองนาฬิกาบนข้อมือ ในใจหวานล้ำยิ่งว่าน้ำผึ้ง
ทั้งสองเดินเล่นจนเรือเที่ยวสุดท้ายกลับเกาะถึงแยกจากกัน เซียงอวิ๋นยืนอยู่บนเรือมองชายหนุ่มชุดดำผู้สง่างามบนท่าเรือ ในใจก็พองโตไม่หยุด
เมื่อกลับถึงเกาะและเพิ่งจะเดินไปที่หน่วยข่าวกรอง ก็เห็นสายตาพวกหล่อนมองมาที่หล่อนอย่างพร้อมเพรียงกัน
เซียงอวิ๋นเลือกที่จะเดินผ่านหน้าซุนหมิงอย่างหยิ่งยโส เดินฝ่ากลุ่มคนด้วยท่าทีเมินเฉย
พอผ่านไปก็มีคนถาม “เซียงอวิ๋น เธอออกไปกับคู่หมั้นเธอแล้วซื้ออะไรมาล่ะ”
เซียงอวิ๋นไม่พูดอะไรทั้งนั้น ทำแค่ยื่นข้อมือที่ใส่นาฬิกาออกไป นำมาซึ่งสายตาอิจฉาจากผู้คน
“ไอหยา คู่หมั้นซื้อให้เธอเหรอ ช่างใจกว้างจริง ๆ มีเงินไม่น้อยเลยสินะ?”
เซียงอวิ๋นฟังจบก็ตอบอย่างภาคภูมิใจ “หนึ่งร้อยหยวนน่ะ”
“งานหมั้นเธอยังมีของอีกสองชิ้นใหญ่ไม่ใช่เหรอ คู่หมั้นเธอคงไม่ใช่ว่าให้นาฬิกาข้อมือเธอหนึ่งชิ้นแล้วก็จากเธอไปหรอกนะ”
ได้ฟังคำพูดจิกกัดเช่นนั้น เซียงอวิ๋นก็ไม่พอใจ ตอกกลับไปตรง ๆ ว่า “เธอวางใจเถอะ มันไม่ใช่ของหมั้น แล้วก็ไม่ใช่ของชิ้นใหญ่สองชิ้น แต่เป็นของขวัญที่คู่หมั้นฉันให้เอง”
“พอแล้ว พวกเธอยังมีเรื่องอะไรอีกไหม ไม่มีอะไรฉันจะกลับแล้วนะ” พูดจบหล่อนก็เดินวางท่าออกไป
พอหล่อนเดินจากไป สวี่ม่ายซุ่ยก็กลายเป็นหัวข้อสนทนาในกลุ่มทันที “ฉันได้ยินมาว่านักบัญชีสวี่เป็นคนแนะนำคู่ให้หล่อนไม่ใช่เหรอ?”
“ก็ใช่น่ะสิ เหมือนจะเป็นลูกพี่ลูกน้องคนโตของนักบัญชีสวี่”
“นักบัญชีสวี่คงเกลียดลูกพี่ลูกน้องของหล่อนมากสินะถึงได้แนะนำอะไรให้เขาก็ไม่รู้”
“เฮ้อ เธอพูดอย่างนั้นก็ไม่ถูก ถึงหล่อนจะวางอำนาจบาตรใหญ่ต่อหน้าเรา แต่กับคู่หมั้นแล้วหล่อนอาจจะอ่อนโยนก็ได้”
“อ่อนโยนอะไร เสแสร้งละสิไม่ว่า นักบัญชีสวี่ออกจะรู้จักคนที่ดีขนาดนี้ แล้วทำไมไม่แนะนำคนให้ลูกเราบ้างล่ะ”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
คนพวกนี้ก็พูดไปเรื่อย ม่ายซุ่ยกลายเป็นแม่สื่อจำเป็นเพราะมีคนทาบทามจนต้องตกกระไดพลอยโจนต่างหาก
ชิวเฟิง
MANGA DISCUSSION