ตอนที่ 117 ถ้าฟังแต่คุณก็ไม่ได้เจอคู่ดูตัวแล้วละ
ป้าสวี่ตอบด้วยความลังเล “หากฟังจากที่เธอพูด คือสถานะทางครอบครัวค่อนข้างเหมาะสมกับครอบครัวของเรานะ แล้วหล่อนอายุเท่าไรล่ะ?”
สวี่ม่ายซุ่ยตอบว่า “ยี่สิบสามค่ะ”
ทันใดนั้นป้าสวี่ก็ลืมตาขึ้นแล้วถามว่า “หล่อนอายุยี่สิบสามแล้ว น่าจะแต่งงานตั้งนานแล้วไหม แต่การที่หล่อนยังไม่แต่งงาน หรือว่าหล่อนผิดปกติตรงไหน?”
สวี่ม่ายซุ่ยตอบว่า “ไม่มีสิ่งที่ผิดปกติหรอกค่ะ แค่ขี้เกียจนิดหน่อยเอง”
ป้าสวี่ยิ่งไม่มั่นใจขึ้นอีก “ขี้เกียจนิดหน่อยเหรอ?”
แม่สวี่ “ขี้เกียจแล้วทำไม คนขี้เกียจแบบไหนที่เจอพี่แล้วจะไม่โดนปราบบ้างล่ะ”
ป้าสวี่ชอบได้ยินคนอื่นยกย่องตนมากที่สุด หล่อนพูดด้วยความภูมิใจทันที “เธอพูดถูก ฉันน่ะไม่ได้กลัวคนขี้เกียจหรอก แต่ฉันแค่…”
ก่อนที่หล่อนจะทันได้พูดจบ ซูหมิงและพ่อซูก็เดินเข้ามา พวกเขาทั้งคู่ประหลาดใจมากที่เห็นพวกหล่อน “จิ้นจื่อ*[1] ม่ายซุ่ย ทำไมทั้งสองคนมาอยู่นี่ล่ะครับ”
แม่สวี่ก็มีความสุขมากที่ได้เห็นซูหมิง ตอบไปว่า “มาพบแม่ของนายน่ะ กำลังพูดเรื่องของนายอยู่เลย”
เมื่อซูหมิงได้ยินว่าเกี่ยวกับตน ก็รู้สึกเขินอายขึ้นมาทันที “พูดเกี่ยวกับผมยังไงบ้างครับเนี่ย?”
แม่สวี่ “น้องสาวของนายมีคนที่เหมาะสมอยู่น่ะ แต่ไม่กล้าแนะนำให้นายรู้จัก”
เมื่อพ่อซูได้ยินแล้ว เขาก็ยกเก้าอี้มานั่งใกล้ ๆ ทันที “นิสัยของหญิงสาวคนนั้นเป็นยังไงบ้าง?”
ป้าสวี่มองไปที่พ่อซูที่มีท่าทางสนใจออกนอกหน้า จึงแค่นเสียงพูดว่า “พี่สะใภ้เล่าให้ฉันฟังแล้ว คุณจะฟังทำไม”
พ่อซูที่เชื่อฟังมาโดยตลอดก็กลายเป็นคนหัวรั้นทันที “ถ้ารอคุณตัดสินใจเอง ผมคิดว่าเขาไม่จำเป็นต้องหาคู่อีกแล้วล่ะ คงได้อยู่เป็นโสดตลอดชีวิต”
“พี่สะใภ้ คราวนี้ฟังผมบ้างนะ ผมขอตัดสินใจเลยว่าตราบใดที่หล่อนเป็นผู้หญิงที่ดี ทุกสิ่งต่อจากนั้นก็ไม่ใช่ปัญหา”
สวี่ม่ายซุ่ยได้ยินแล้วก็ตอบด้วยความลำบากใจ “ลุงเขย ผู้หญิงคนนั้นก็ไม่ใช่ผู้หญิงที่ดีเป็นพิเศษหรอกนะคะ”
พ่อซูได้ยินแล้วก็มุมปากกระตุกและมีรอยยิ้มแข็งทื่อปรากฏบนใบหน้าทันที ป้าสวี่มองแล้วแค่นเสียงใส่ “ริอ่านจะเป็นหัวหน้าครอบครัวแต่ไร้ความสามารถ”
“พี่สะใภ้ ผมจะไม่ถามมากความแล้วล่ะ เรามานัดดูตัวกันเถอะ”
สวี่ม่ายซุ่ยหันไปมองพ่อซูแล้วพูดว่า “ก็ขึ้นอยู่กับว่าพวกคุณมีเวลาเมื่อไร แล้วจะนัดที่บ้านหล่อนหรือบ้านเราน่ะค่ะ”
เมื่อป้าสวี่ได้ยินก็พูดทันทีว่า “ไม่ใช่ที่บ้านเราแน่นอน”
สวี่ม่ายซุ่ยตอบรับ “ได้ค่ะ แล้วฉันจะบอกพวกเขาทีหลังว่านัดดูตัวที่บ้านพวกเขา คุณคิดว่าเป็นมะรืนนี้จะดีไหม?”
ป้าสวี่ “ได้สิ”
เพื่อเพิ่มความโอกาสในการประสบความสำเร็จมากขึ้น สวี่ม่ายซุ่ยยังพูดกับพ่อซูด้วยว่า “แล้วลุงเขยจะไปด้วยไหมคะ?”
ป้าสวี่แย่งตอบ “พี่ชายของเธอเป็นฝ่ายไปดูตัวไม่ใช่เหรอ?”
สวี่ม่ายซุ่ย “ลุงเขยก็ควรจะไปดูหน่อยไม่ใช่เหรอคะ?”
ป้าสวี่ “แต่การนัดดูตัวเป็นธุระของผู้หญิงทั้งหมด ไม่มีผู้ชายนะ”
สวี่ม่ายซุ่ย “งั้นเอาแบบนี้ ก็แค่บอกว่าลุงเขยไปในฐานะญาติของบ้านฉันไงคะ”
ตอนแรกพ่อซูยังคงลังเลอยู่บ้าง แต่เมื่อได้ฟังแนวทางนี้ ดวงตาของเขาก็เป็นประกายและรีบพูดว่า “ใช่แล้ว ม่ายซุ่ยอาศัยอยู่บนเกาะ ฉันก็จะใช้โอกาสนี้ไปเยี่ยมญาติบนเกาะเสียเลย”
ป้าสวี่ “คุณช่วยรู้สึกอายหน่อยเถอะ”
พ่อซูพูดว่า “ถ้าผมมัวแต่อาย ซูหมิงก็จะกลายเป็นโสดตลอดชีวิตเพราะคุณแน่ ๆ”
“ขอบคุณนะม่ายซุ่ย เธอยังคิดถึงญาติผู้พี่เสมอเลย”
สวี่ม่ายซุ่ยตอบรับ “สมควรจะเป็นแบบนี้อยู่แล้วค่ะ”
“งั้นพวกเรานัดเจอกันวันมะรืนนี้นะคะ ตอนนี้พวกฉันขอตัวกลับก่อน”
พ่อซูรีบทักท้วง “เธอเพิ่งจะมาถึงเอง กินข้าวเสร็จก่อนค่อยกลับนะ”
ป้าสวี่ก็รีบเสริม “ใช่แล้ว ทั้งสองคนรอฉันทำอาหารสักครู่นะ” พูดพลางลุกขึ้นจะเดินเข้าไปในห้องครัว
แม่สวี่เห็นแล้วก็รีบดึงหล่อนมาพูดว่า “เรามันครอบครัวเดียวกันทั้งนั้น ทำไมจะต้องสุภาพขนาดนี้ด้วยล่ะ หลานสะใภ้ของเธอเตรียมอาหารไว้ที่บ้านแล้ว เราจะกลับไปกิน ไม่รบกวนพวกเธอดีกว่า”
ป้าสวี่พูดว่า “แล้วมันต่างกันยังไงล่ะ ถึงไม่กินที่บ้านฉันก็ต้องไปกินบ้านพวกเธอ กินที่ไหนก็เหมือนกันแหละ”
สวี่ม่ายซุ่ยก็ลุกขึ้นทันทีแล้วพูดว่า “ป้าสวี่ ไม่รบกวนจริง ๆ ค่ะ คุณอย่าลำบากเลย พวกเราขอตัวก่อนค่ะ”
ในขณะที่พูด เธอก็จูงมือหลินฟานให้รีบเดินออกไปด้วยกัน
แม่สวี่ก็เดินตามหลังมาติด ๆ เมื่อออกจากบ้านของป้าสวี่แล้วก็กลับบ้านทันที และเมื่อพวกเธอกลับถึงบ้าน พ่อสวี่และสวี่ม่ายเถียนก็กลับมาแล้วทั้งคู่ แต่ไม่เห็นสวี่ม่ายเฉิง
“เจ้าสี่หายไปไหนล่ะ?” แม่สวี่ถามทันทีที่เข้าประตูมา
พ่อสวี่ตอบว่า “เข้าเมืองน่ะ บอกซูหมิงแล้วเหรอ เหมยจื่อเห็นด้วยไหม?”
ดูเหมือนว่าตอนที่พวกเธอไม่อยู่บ้าน สะใภ้ใหญ่สวี่จะเล่าสถานการณ์ทุกอย่างให้พวกเขาฟังหมดแล้ว
แม่สวี่ตอบว่า “เหมยจื่อบอกว่าควรจะไปเจอกันก่อนน่ะ”
พ่อสวี่พูดว่า “ก็น่าจะแบบนั้น แต่คราวนี้จะปล่อยให้หล่อนทำตามใจตัวเองไม่ได้”
แม่สวี่ “ไม่ต้องห่วงนะ เพราะครั้งนี้พ่อของซูหมิงจะไปด้วย”
พ่อสวี่ขมวดคิ้วมุ่น “เขาจะไปทำไม?”
แม่สวี่ตอบ “ไปในฐานะญาติของม่ายซุ่ยไง”
“พอเถอะ ฉันจะไม่คุยกับคุณแล้ว เราเพิ่งเดินแขวนท้องหิว ๆ มาเนี่ย สะใภ้ใหญ่ยังเก็บอาหารไว้ที่บ้านไหม?”
สะใภ้ใหญ่สวี่ได้ยินแล้วก็รีบตอบกลับ “มีค่ะ ฉันเก็บไว้ให้พวกแม่แล้ว”
แม่สวี่ฟังแล้วพาสวี่ม่ายซุ่ยกับหลินฟานเข้าบ้าน เมื่อเปิดฝาชีออกก็เห็นว่ามีชามขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยเนื้ออยู่ในนั้น จึงพูดด้วยความใจเย็น “แค่นี้ก็พอแล้ว”
พูดจบหล่อนก็หันไปจัดการหยิบชามแล้วคีบเนื้อให้หลินฟาน
นับตั้งแต่สวี่ม่ายซุ่ยยืนหยัดขึ้นมาได้ ความเป็นอยู่ของครอบครัวก็ดีขึ้นแบบก้าวกระโดด ได้กินเนื้อเกือบทุกมื้อ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหรืออาหารทะเลก็มีคุณภาพที่ดีกว่าของตระกูลสวี่มาก
หลินฟานเป็นเด็กรู้ความ เมื่อเห็นแม่สวี่คีบเนื้อทั้งหมดให้เขา ส่วนหล่อนกินแค่ผัก เขาจึงเลียนแบบแม่สวี่โดยการคีบเนื้อไปจ่อที่ปากของหล่อน “คุณยายกินบ้างสิครับ”
แม่สวี่เห็นว่าหลินฟานกตัญญูมากขนาดนี้ก็รู้สึกประทับใจมาก “ยายไม่กิน หลานกินเถอะ”
หลินฟางฉีกยิ้มหวานให้แม่สวี่แล้วพูดว่า “ผมกินไม่หมดหรอกครับ เรากินด้วยกันดีกว่า”
หลังมื้ออาหาร สวี่ม่ายซุ่ยกำลังจะกลับไปพร้อมหลินฟาน ส่วนพ่อสวี่พึมพำด้วยความไม่เต็มใจ “ไม่ได้กลับมาที่นี่นานแล้ว จะไม่ค้างสักคืนเหรอ”
แม้ว่าเธอและพี่สาวคนโตจะแต่งงานแล้วทั้งคู่ แต่พ่อสวี่ก็เก็บห้องของเธอและห้องของพี่สาวคนโตไว้ให้เสมอ บางครั้งเขาก็จะขอให้แม่สวี่ไปทำความสะอาด ต่อให้สะใภ้ใหญ่สวี่จะอิจฉาจนอกแตกตาย แต่นี่เป็นคำสั่งของพ่อสวี่ ถึงสะใภ้ใหญ่สวี่จะไม่พอใจ แต่หล่อนก็พูดอะไรไม่ได้
สวี่ม่ายซุ่ยตอบว่า “หลินเซียวยังรออยู่ที่บ้านค่ะ เดี๋ยวถ้ามีวันหยุดฉันจะพาพวกเขากลับมาค้างที่นี่สักสองสามวันนะคะ”
เพราะหลานอีกคนยังอยู่ที่บ้าน พ่อสวี่จึงไม่ได้บังคับ ทำได้แค่เฝ้าดูพวกเธอเดินจากไปด้วยความไม่เต็มใจ
เนื่องจากครั้งนี้เดินทางกันเพียงสองคน สวี่ม่ายซุ่ยจึงสนใจแต่หลินฟานคนเดียว ระหว่างทางกลับ ถ้าหลินฟานอยากให้เธอแบกขึ้นหลัง สวี่ม่ายซุ่ยก็จะแบกเขาเดินไปด้วยกันทุกครั้ง ทำให้หลินฟานรู้สึกถึงความรักของแม่ที่มีต่อเขาคนเดียว
ความรักของพ่อแม่ที่มีต่อลูกคนรองจะแตกต่างจากลูกคนโต ตรงที่ความรักของพ่อแม่ไม่ได้จำกัดอยู่ที่ลูกเพียงคนเดียวแล้ว ทำให้บางครั้งจึงเป็นเรื่องง่ายที่จะเผลอละเลยลูกคนใดคนหนึ่งไปบ้าง แม้ว่าลูก ๆ จะซนเหมือนกัน แต่หลินฟานยังคงมีความซื่อ ๆ นิ่ง ๆ กว่าหลินเซียวที่มีชีวิตชีวากว่ามาก
แถมหลินฟานเชื่อฟังมากด้วย ตอนนี้เขานอนซบไหล่ของสวี่ม่ายซุ่ยที่แบกเขาไว้บนหลัง และเมื่อทั้งสองมาถึงสถานี ก็มีเสียงดังมาจากข้าง ๆ ว่า “พี่สาว?”
สวี่ม่ายซุ่ยหันกลับไปมองและเห็นคนขายตั๋วหนุ่มมองเธอด้วยความตื่นเต้น “เป็นพี่สาวจริง ๆ เหรอเนี่ย?”
หลังจากที่สวี่ม่ายซุ่ยกับหลี่ต้านีขายแอปเปิลชุดสุดท้ายให้เขาไปเมื่อไม่กี่วันก่อน พวกเธอก็ไม่ได้ไปที่ตลาดมืดอีก ทำให้สีหน้าของสวี่ม่ายซุ่ยเย็นชาทันทีเมื่อได้ยินเขาเรียกเธอแบบนั้น
คนขายตั๋วหนุ่มสังเกตเห็นความเย็นชาของสวี่ม่ายซุ่ย เขาจึงรีบอธิบายว่า “พี่สาวอย่าเพิ่งเข้าใจผมผิดนะ ผมแค่เห็นคุณแล้วดีใจ ก็เลยอยากจะทักทายคุณเท่านั้นเอง”
[1] จิ้นจื่อ เป็นคำเรียกภรรยาของพี่ชายหรือน้องชายของแม่ และ ภรรยาของพี่ชายหรือน้องชายของภรรยาตน
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ฝ่ายหญิงจะเป็นที่ประทับใจของฝ่ายชายไหมนะ จะเสียชื่อม่ายซุ่ยไหม อุตส่าห์หาคู่ให้แล้ว
ชิวเฟิง
MANGA DISCUSSION