ตอนที่ 114 บุคคลสำคัญจากหน่วยเฟินสุ่ย
ทันทีที่อีกฝ่ายเห็นเธอเดินเข้ามา ผู้อำนวยการหญิงของหน่วยเฟินสุ่ยก็พูดด้วยน้ำเสียงไม่เป็นมิตร “นักบัญชีสวี่มาแล้วเหรอ ฉันเผลอคิดว่าคุณจะไม่กล้ามาซะแล้วสิ?”
สวี่ม่ายซุ่ยเดินตรงไปหาหัวหน้าใหญ่ของตัวเองแล้วนั่งลง จากนั้นก็ตอบด้วยท่าทางใจเย็น “แล้วมีเรื่องอะไรถึงจะทำให้ฉันไม่กล้ามาล่ะคะ”
“คุณปล่อยให้คนกลับไป แล้วคุณยังกล้าพูดอีกเหรอ?”
สวี่ม่ายซุ่ยพูดว่า “ที่บอกว่าฉันปล่อยให้คนกลับไปน่ะหมายความว่าไงคะ พวกเขาเดินด้วยขาตัวเองทั้งนั้น”
“พวกฉันยังไม่ได้ดูการแสดงเลย ทำไมคุณถึงปล่อยให้คนกลับไปล่ะ?”
สวี่ม่ายซุ่ยตอบว่า “ทำไมคุณถึงคิดแบบนั้น หลังจากการแสดงที่นี่จบลง เราก็ส่งคนไปหาพวกคุณและแจ้งพวกคุณหลายครั้ง แต่คุณส่งใครมารับบ้างไหม? ตอนนี้คนไปแล้ว คุณเพิ่งจะวิ่งมาหาคนกับฉัน คุณจะได้สิ่งที่ต้องการไหมล่ะ”
ผู้อำนวยการหญิงของหน่วยเฟินสุ่ยพูดว่า “หลังจากพวกเขาแสดงที่นี่เสร็จแล้ว ต้องแสดงให้พวกเราดูต่อ แต่พวกเรายังไม่ทันส่งคนมารับ พวกเขาก็ไปแล้ว ถ้าเราไม่ถามจากคุณ แล้วจะไปถามจากใคร”
สวี่ม่ายซุ่ย “ต้องขอโทษด้วย ฉันได้แจ้งให้คุณทราบแล้วว่ามันเป็นความผิดที่คุณไม่สามารถมารับพวกเขาได้ ไม่เกี่ยวกับพวกฉันเลย หากคุณหมดธุระแล้ว เชิญกลับไปเถอะค่ะ อย่ารบกวนเวลางานของเราเลย”
เมื่อเห็นว่าสวี่ม่ายซุ่ยเป็นคนหยิ่งผยอง ผู้อำนวยการหญิงของหน่วยเฟินสุ่ยก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้พลางชี้หน้าเธอและตวาดใส่ “รอฉันก่อนเถอะ ฉันจะเดินทางเข้าเมืองเพื่อยื่นรายงานคุณ”
สวี่ม่ายซุ่ยพูดว่า “พอดีเลยค่ะ ฉันก็จะเดินทางเข้าเมืองเพื่อยื่นรายงานคุณด้วยเหมือนกัน”
“ถึงคราวของพวกคุณแล้ว หากคุณไม่มารับคน ก็หมายความว่าในทุกวันที่พวกเขารอพวกคุณ พวกเขาจะต้องใช้เสบียงของหน่วยชิงซานของเรา ฉันจะถามว่าใครต้องรับผิดชอบเสบียงส่วนนี้”
ผู้อำนวยการหญิงของหน่วยเฟินสุ่ยพูดว่า “ใครให้ก็รับผิดชอบเองสิ พวกเราไม่ได้ดู เราไม่จ่าย”
พูดแบบนั้นแล้วหล่อนก็หันไปพูดกับชายหนุ่มที่มาด้วยกันว่า “เราไปกันเถอะ”
ชายหนุ่มมองทุกคนแล้วรีบลุกขึ้นเพื่อไล่ตามหล่อนออกไป ซึ่งทันทีที่คนอื่นจากไปแล้ว หัวหน้าใหญ่ก็มองสวี่ม่ายซุ่ยแล้วพูดว่า “ถ้าในเมืองตำหนิลงมา เธอก็ให้ฉันรับหน้าเองเถอะนะ”
สวี่ม่ายซุ่ย “หัวหน้าใหญ่ไม่ต้องกังวล เรามีเหตุผลหนักแน่นแล้วจะยอมเสียเปรียบไม่ได้”
หัวหน้าใหญ่ก็พยักหน้าเบา ๆ พลางเอ่ย “หมดเรื่องแล้ว เธอก็คงเห็นว่างานของพวกเราที่นี่เสร็จแล้วเหมือนกัน เธอเคยคิดเรื่องงานเสริมบ้างหรือยัง?”
สวี่ม่ายซุ่ยได้ยินแล้วขมวดคิ้วทันที “หัวหน้าใหญ่ คือช่วงนี้ฉันงานยุ่งจนหัวหมุน ฉันยังไม่มีเวลาคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้หรอกค่ะ”
ได้ยินคำตอบแล้วหัวหน้าใหญ่ก็โบกมือพลางเอ่ย “ไม่ต้องห่วง ๆ เพราะงานเสริมนี้จะทำเฉพาะฤดูหนาวเท่านั้น เหลือเวลาคิดอีกประมาณหนึ่ง”
สวี่ม่ายซุ่ยตอบว่า “ค่ะ รอให้ฉันสะสางงานเสร็จแล้ว ฉันสัญญาว่าจะคิดเรื่องนี้อีกที”
หัวหน้าใหญ่ “ได้สิ”
เมื่อเดินออกจากสำนักงานใหญ่แล้ว สวี่ม่ายซุ่ยกำลังคิดว่าจะพัฒนางานเสริมประเภทใด แต่ในขณะที่เธอจมอยู่กับความคิด จู่ ๆ ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งรีบวิ่งออกมาจากตรอกข้าง ๆ แล้วดึงเธอไปถามว่า “ไอ้หยา ฉันกำลังตามหานักบัญชีสวี่อยู่เลย เธอบอกว่าจะแนะนำคู่รักคนหนึ่งให้น้องสามีฉันไม่ใช่เหรอ?”
สวี่ม่ายซุ่ยเห็นว่าใบหน้าของภรรยาหมาจื่อหมองหม่นเพราะความกังวล เธอจึงรีบพูดว่า “เธออย่าใจร้อนสิ ฉันจะแนะนำให้เธอรู้จักตอนบ่ายนี้แหละ”
ภรรยาหมาจื่อพูดว่า “ถ้างั้นเธอก็รีบหน่อยเถอะ ฉันทนรอไม่ไหวแล้วนะ”
“ไม่ต้องห่วงหรอก อย่าเครียดไปเลย” เมื่อส่งภรรยาหมาจื่อไปแล้ว สวี่ม่ายซุ่ยก็เริ่มคิดว่าจะบอกเรื่องนี้กับอาหญิงใหญ่ของเธอยังไงดี แต่ขณะที่เธอกำลังคิดอยู่นั้น จู่ ๆ ก็มีคนอีกคนวิ่งมาหยุดตรงเบื้องหน้าของเธอ
“สหายสวี่ ฉันกำลังรอเธออยู่พอดี”
สวี่ม่ายซุ่ยมองหลิวเชิ่งลี่ที่มายืนขวางหน้าเธอไว้ จากนั้นก็ถามด้วยความปวดหัว “นายมีธุระอะไร?”
หลิวเชิ่งลี่ตอบว่า “ซูเจวียนเมินฉันอีกแล้วน่ะสิ”
สวี่ม่ายซุ่ย “ครั้งล่าสุดที่ฉันแนะนำวิธีให้นายไปน่ะ นายยังคิดว่าไม่ได้ผลอีกเหรอ?”
เมื่อได้ยินแบบนี้แล้ว หลิวเชิ่งลี่ก็ตอบด้วยความเศร้าใจ “มันได้ผลแค่ระยะหนึ่ง แต่พอเงินหมด ซูเจวียนก็เมินเฉยต่อฉันอีกครั้งน่ะสิ”
สวี่ม่ายซุ่ยตอบด้วยความรู้สึกหมดคำจะพูด “เป็นแบบนี้แล้ว นายยังไม่เข้าใจอีกเหรอเนี่ย”
หลิวเชิ่งลี่ก้มหน้าลงพลางเอ่ยว่า “ต้องเป็นเพราะฉันไม่ดีพอและไร้ความสามารถ ทำให้ซูเจวียนเมินใส่ฉันแบบนี้”
สวี่ม่ายซุ่ย “ก็ถูกนะ นายเป็นคนไม่เอาไหนจริง ๆ”
หลิวเชิ่งลี่ได้ยินแล้วไม่พอใจขึ้นมา “สหายสวี่ เธอพูดออกมาได้ไง ทั้งที่ฉันปฏิบัติต่อเธอเหมือนเป็นคนพิเศษและเล่าให้เธอฟังทุกเรื่องแท้ ๆ”
สวี่ม่ายซุ่ยได้แต่คิดในใจว่า ‘ฉันขอร้องล่ะ อย่าบอกฉันทุกเรื่องเลย เพราะตอนนี้สมองของฉันแทบจะเละเป็นโจ๊กอยู่แล้ว’
“แล้วนายจะทำยังไงต่อ?”
หลิวเชิ่งลี่ “เธอช่วยคิดหาวิธีแก้ปัญหาให้ฉันหน่อยสิ เธอจะกินไก่เหมือนเดิมใช่ไหม?”
สวี่ม่ายซุ่ยตอบอย่างไร้อารมณ์ “ไม่กิน”
หลิวเชิ่งลี่เสนอ “งั้นอยากกินเป็ดไหม?”
สวี่ม่ายซุ่ยที่กำลังก้าวเดินฉับ ๆ ไปข้างหน้าก็หยุดฝีเท้าโดยกะทันหันแล้วถามว่า “เป็ดเหรอ?”
หลิวเชิ่งลี่ตอบ “ใช่”
สวี่ม่ายซุ่ย “งั้นขอฉันคิดดูก่อนนะ ถ้าฉันคิดออกก็จะบอกนาย”
เมื่อได้รับคำยืนยันแล้ว หลิวเชิ่งลี่ก็ตอบรับด้วยความสุข “ถ้างั้นเธอก็ค่อย ๆ คิดดูนะ ฉันจะรอฟังข่าวจากเธอ” พูดจบแล้วเขาก็วิ่งหนีไปด้วยความตื่นเต้นยินดี
ทันทีที่อีกฝ่ายจากไปแล้ว ใบหน้าของสวี่ม่ายซุ่ยก็มืดมนอีกครั้ง เธอก้มหน้าลงด้วยความอ่อนแรงพลางเดินกลับบ้าน และเมื่อเธอกลับถึงบ้าน แม้จะเห็นหลินเจี้ยนจวิน แต่ก็ไม่ได้ทักทายเขาด้วยซ้ำ
เธอเดินตรงเข้าไปในห้องและมองผ้าห่มบนเตียง จากนั้นก็กระโจนขึ้นไปบนเตียงด้วยความเหนื่อยล้า
เมื่อหลินเจี้ยนเยี่ยเลิกงานกลับมา ก็เห็นหลินเจี้ยนจวินกับหลินฟานนั่งรอเขาอยู่ที่ลานบ้านพร้อมสีหน้ากังวล
หลินเจี้ยนเยี่ยถามขณะถอดหมวกและปลดกระดุมคอเสื้อ “ทั้งสองคนเป็นอะไรไป ทำไมถึงมานั่งอยู่ที่นี่ล่ะ”
หลินฟานตอบว่า “พ่อครับ แม่ดูเหมือนจะไม่สบายเลย”
หลินเจี้ยนเยี่ยได้ยินแล้วขมวดคิ้วพลางถามหลินเจี้ยนจวิน “เกิดอะไรขึ้น เช้านี้ยังดูสบายดีอยู่เลย แล้วทำไมถึงป่วยได้ล่ะ?”
หลินเจี้ยนจวินตอบว่า “พวกเราก็ไม่รู้เหมือนกัน พอพี่สะใภ้กลับมาก็เป็นแบบนี้แล้ว”
หลินเจี้ยนเยี่ยเหลือบมองทั้งสองด้วยความดูแคลน “วันทั้งวันพวกนายมัวทำอะไรอยู่ เดี๋ยวฉันจะไปดูเอง”
พูดจบเขาก็เดินเข้าไปในบ้าน
ทันทีที่เขามาถึงประตูห้องนอนและชะเง้อมองเข้าไปข้างใน เขาก็เห็นสวี่ม่ายซุ่ยนอนหงายอยู่บนเตียง เอียงศีรษะไปอีกด้านหนึ่งโดยไร้การเคลื่อนไหว
หลินเจี้ยนเยี่ยเดินเข้ามาแล้วปิดประตู จากนั้นก็นั่งลงข้าง ๆ เธอแล้วถามว่า “คุณเป็นอะไรไป? กำลังเศร้าเหรอ”
สวี่ม่ายซุ่ยได้ยินเสียงเขาแล้วก็ตอบด้วยความอ่อนแรง “ฉันไม่ได้เศร้าหรอก”
หลินเจี้ยนเยี่ยพูดว่า “ไม่เศร้าเหรอ? ความจริงพวกนักบัญชีเก่ง ๆ หลายคนก็ยังรู้สึกหดหู่ได้นะ”
ทันทีที่สวี่ม่ายซุ่ยได้ยินคำพูดแปลก ๆ ของเขา เธอก็ลุกขึ้นนั่งบนเตียงทันทีพลางมองเขาแล้วถามว่า “คุณหมายความว่าไงเนี่ย?”
หลินเจี้ยนเยี่ยยกมือลูบหัวของเธอ “ในเมื่อมีแรงแล้วก็มาพูดกันเถอะ บอกหน่อยว่าเกิดอะไรขึ้น?”
เมื่อได้ยินแบบนี้แล้ว สวี่ม่ายซุ่ยก็ทอดถอนใจยาวเหยียดและพูดด้วยความหมดหวัง “ฉันจบเห่แล้วน่ะสิ คุณรู้ไหมว่าฉันต้องเจองานหนักแค่ไหน?”
หลินเจี้ยนเยี่ยขมวดคิ้วพลางถาม “งานหนักยังไง?”
สวี่ม่ายซุ่ยหักข้อนิ้วและพูดกับเขาไปด้วย “ฉันอยากช่วยหัวหน้าใหญ่เรื่องงานเสริม และฉันก็ต้องช่วยน้องสาวของหมาจื่อหาคู่ด้วย แถมยังต้องช่วยหลิวเชิ่งลี่จัดการกับปัญหาความสัมพันธ์ของเขากับซูเจวียนอีก”
หลินเจี้ยนเยี่ยเข้าใจสองประเด็นแรก แต่สำหรับประเด็นสุดท้ายเขาต้องถามด้วยความสับสน “คุณไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ดีกับซูเจวียน แล้วทำไมคุณต้องไปยุ่งกับเรื่องนี้ด้วย?”
สวี่ม่ายซุ่ย “แล้วคุณคิดว่าฉันอยากจะยุ่งเหรอ?”
“เขาสัญญากับฉันว่าจะตอบแทนด้วยเป็ดสองตัว คุณเคยกินเป็ดย่างไหม? มันรสชาติสุดยอดไปเลย”
หลินเจี้ยนเยี่ยอดแค่นเสียงเย้ยหยันไม่ได้ “เห็นแก่เป็ดสองตัว คุณเลยกังวลมากขนาดนี้เชียวเหรอ?”
สวี่ม่ายซุ่ยก็พยักหน้ารับด้วยความเถรตรง
หลินเจี้ยนเยี่ยพูดต่อ “เอาละ เราไม่ต้องสนใจเป็ดสองตัวนั้นอีกแล้ว ผมต้องเดินทางไปเรียนที่เมืองหลวงสักพัก แล้วผมจะซื้อมาให้คุณเอง”
สวี่ม่ายซุ่ยได้ยินแล้วตาเป็นประกายทันใด “จริงเหรอ?”
หลินเจี้ยนเยี่ยตอบว่า “จริงสิ นี่เป็นแค่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่ใช่เหรอ”
สวี่ม่ายซุ่ย “เรื่องเล็กน้อย แต่ฉันได้ยินแล้วอยากจะกินเลยนี่นา”
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ส่งข่าวไปตั้งนานแต่ไม่ยอมส่งคนมารับเองนี่ จะมาโทษหน่วยของม่ายซุ่ยไม่ได้
ม่ายซุ่ยก็เห็นแก่กินน้อ ทีนี้เลยรับเผือกร้อนมาอีกหัวนึงเต็ม ๆ เลย
ชิวเฟิง
MANGA DISCUSSION