ตอนที่ 112 ความคลุมเครือที่กลายมาเป็นความรัก…
ไต้ฉิงเก็บของพลางพูด “ไปอะไรกัน ชาวบ้านเขาไม่ต้อนรับเราด้วยซ้ำ”
หลังผ่านช่วงเวลาแห่งความทรหดนี้ไป อาการบาดเจ็บที่เท้าของไต้ฉิงก็ดีขึ้นพอสมควรแล้ว
“ใช่ พวกเรามาแสดงเพื่อให้กำลังใจ ไม่ได้ขอร้องให้พวกเขาดูด้วยซ้ำ ไม่เต็มใจก็จบกัน ฉันเองก็ไม่อยากแสดงแล้ว” จางเหวินเหวินสาวน้อยจากคณะสันทนาการอีกคนตอบกลับอย่างไม่พอใจ
“พวกเธอสองคนพอได้แล้ว การแสดงเพื่อให้กำลังใจคือหน้าที่การงานของเรา บ่นให้น้อย ๆ หน่อย”
“นักบัญชีสวี่ หมดเวลาแสดงบนเกาะแล้ว พวกเรายังต้องไปชุมชนอื่น ๆ คงไม่รั้งอยู่ที่นี่”
สวี่ม่ายซุ่ยรู้ว่าในใจพวกหล่อนกำลังโกรธเคือง เลยไม่ได้เตือนมาก ตอบกลับอย่างสบาย ๆ ว่า “ได้ งั้นฉันจะส่งคนไปส่งพวกเธอ”
ซ่งเฉียน “ขอบคุณนะ รอเธอไปในเมืองแล้วอย่าลืมไปเยี่ยมที่คณะสันทนาการของเราด้วยนะ”
สวี่ม่ายซุ่ย “ได้ พวกเธอค่อย ๆ เก็บของไป ฉันจะไปหาคน”
สวี่ม่ายซุ่ยออกจากศูนย์ยุวปัญญาชนแล้ว เดินหน้าไปได้ไม่นานก็ได้ยินเสียงคนตะโกนเรียกตนจากด้านหลัง “พี่สาวม่ายซุ่ย พี่สาวม่ายซุ่ย”
สวี่ม่ายซุ่ยได้ยินเลยหันกลับไปมอง ก็เห็นไต้ฉิงวิ่งหอบเล็กน้อยมาทางตน “พี่สาวม่ายซุ่ย”
สวี่ม่ายซุ่ยมองเท้าของหล่อนพลางพูด “เธอเรียกฉันให้เสียงดังหน่อยก็พอ จะวิ่งทำไม ยิ่งเจ็บขาอยู่”
ไต้ฉิงตอบอย่างไม่ใส่ใจ “ไม่เป็นไร เท้าฉันดีขึ้นพอสมควรแล้ว พี่ช่วยนำของสิ่งนี้ไปให้เจี้ยนจวินแทนฉันได้ไหม”
สวี่ม่ายซุ่ยรับกระเป๋าหูรูดที่ไต้ฉิงส่งมาพลางถาม “นี่คืออะไรน่ะ?”
คาดไม่ถึงเลยว่าไต้ฉิงที่ดูไม่ใส่ใจกับอะไรจะหน้าแดงเล็กน้อยเพราะคำถามของสวี่ม่ายซุ่ย “พี่ให้เขาเถอะ เดี๋ยวเขาก็รู้เอง”
พูดจบก็วิ่งกลับไป
สวี่ม่ายซุ่ยยืนอยู่ที่เดิม มองกระเป๋าหูรูดในมือก็ยิ้มน้อย ๆ เป็นวัยรุ่นนี่มันดีจริง ๆ
พอกลับถึงหน่วยใหญ่ สวี่ม่ายซุ่ยก็ไปหาหัวหน้าหน่วยให้เขาจัดการหาคนไปส่งพวกหล่อนก่อน ส่วนตัวเองก็กลับไปคิดบัญชีที่ห้องทำงาน ตอนนี้ส่งภาษีการเกษตรไปแล้ว เสบียงที่เหลือจัดการเก็บไว้ในโกดังของหน่วย รอผ่านช่วงนี้ไปก็แบ่งเสบียงตามแต้มทำงานของจำนวนคน
สวี่ม่ายซุ่ยต้องการสรุปรวบยอดแต้มทำงานของทุกบ้านออกมาก่อนแบ่งเสบียงอาหาร แล้วค่อยคำนวณเสบียงอาหารที่ต้องแบ่งออกมา ด้วยปริมาณงานที่มาก ทำให้ช่วงเวลานี้เธอแทบจะสิงอยู่ที่หน่วยใหญ่ทุกวัน
มองเห็นกระเป๋าหูรูดบนโต๊ะ สวี่ม่ายซุ่ยก็ลังเลสักพักว่าจะกลับบ้านสักแวบหนึ่ง ไม่ง่ายเลยที่เด็กคนนี้จะมีสาวที่ชอบ คงจะปล่อยให้คนหนีไปไม่ได้
ตอนกลับถึงบ้าน หลินเจี้ยนจวินกำลังมองหลินเซียวทำการบ้าน ในยุคนี้พวกเขาล้วนเข้าเรียนได้ตามใจ ไม่มีปิดเทอมช่วงฤดูหนาวหรือฤดูร้อน ขอแค่งานเกษตรกรรมที่บ้านยุ่งเกินจะรับไหว โรงเรียนพวกเขาก็หยุดแล้ว รอทำการเกษตรเสร็จค่อยกลับมาเข้าเรียน
วันมะรืนพวกเขาต้องเข้าเรียน ทำให้เด็ก ๆ ตะบี้ตะบันกันทำการบ้านที่ยังค้างอยู่ สวี่ม่ายซุ่ยลูบหัวหลินเซียว หยอกล้อว่า “ลูกชาย ต่อไปพวกเราคงไม่ต้องทำงานแบกหามแล้วละ”
หลินเซียวที่เร่งทำการบ้านถามกลับ “หมายความว่าอะไรครับ?”
สวี่ม่ายซุ่ย “กู้หน้าไง ไม่ใช่เหรอ”
หลินเซียวฟังไม่เข้าใจก็เบะปากไม่ตอบรับเธอ แต่หลินเจี้ยนจวินที่เข้าใจมุกก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ
“พี่สะใภ้ พี่ไม่ทำบัญชีอยู่ที่หน่วยเหรอ ทำไมถึงกลับมาตอนนี้ล่ะ”
สวี่ม่ายซุ่ย “ไม่พ้นเรื่องนายนั่นแหละเด็กน้อย”
“หา”
หลินเจี้ยนจวินมองกระเป๋าหูรูดที่สวี่ม่ายซุ่ยส่งมาแล้วถามอย่างแปลกใจ “นี่อะไร”
สวี่ม่ายซุ่ย “ไต้ฉิงให้นาย บอกว่านายดูแวบเดียวก็จะรู้ว่าคืออะไร”
หลินเซียวที่ได้ยินว่าไต้ฉิงให้ของกับอาก็ไม่เขียนการบ้านแล้ว เอาแต่จับจ้องหลินเจี้ยนจวิน เร่งรัดให้พูด “อาเล็ก อาสะใภ้ให้อะไรอา”
“ชู่ อย่าพูดเหลวไหลน่า” หลินเจี้ยนจวินตำหนิเสียงเบา พอพูดคำนี้จบ หูก็แดงขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว เมื่อเผชิญหน้ากับสายที่จับจ้องจากทั้งสองคน หลินเจี้ยนจวินก็หันหน้าหนี เปิดกระเป๋าหูรูดเบา ๆ ก็เห็นว่าด้านในมีหุ่นเชิดหนังรูปลิงเสมือนจริงราวกับมีชีวิต
“อะไรน่ะอาเล็ก?”
หลินเจี้ยนจวินที่ยิ้มเหมือนคนโง่ได้ยินเสียงหลินเซียวก็รีบยัดลิงน้อยกลับเข้าไปอย่างร้อนรนทันที “ไม่มีอะไร”
สวี่ม่ายซุ่ยตบหัวหลินเซียวแล้วพูดว่า “พอแล้ว อย่ากวนอาเล็กของลูกอยู่นี่เลย อีกเดี๋ยวอาสะใภ้ก็จะไปแล้ว รีบให้อาเล็กลูกไปส่งไป”
ใบหน้าหลินเจี้ยนจวินค่อย ๆ แดงขึ้นมา “พี่สะใภ้ พูดอะไรส่งเดชกับเขาน่ะครับ?”
สวี่ม่ายซุ่ย “พวกเราไม่ได้พูดส่งเดช นายเร่งมือหน่อย ยังตะลึงอะไรอยู่ รีบไปเอาที่อยู่หล่อนมาให้ได้ ถึงเวลาจะได้ติดต่อง่าย ๆ”
คราวนี้หลินเจี้ยนจวินถึงได้สติกลับมา ถือกระเป๋าหูรูด วิ่งไปด้านนอกอย่างรวดเร็ว
ตั้งแต่เก็บของขึ้นเรือเสร็จ ไต้ฉิงที่อยู่บนท่าเรือก็เอาแต่เหม่อมองไม่หยุด จางเหวินเหวินที่เห็นก็หัวเราะอย่างทนไม่ไหว ชนไหล่หล่อนไปหนึ่งทีพลางถาม “กำลังรอใครอยู่ใช่ไหม”
ไต้ฉิงตอบอย่างใจลอย “เปล่า”
จางเหวินเหวิน “ยังจะบอกว่าเปล่า ตั้งแต่ขึ้นเรือมานี่เธอไม่ได้ละสายตาเลยนะ”
ไต้ฉิง “เธออย่าพูดซี้ซั้วน่า”
เวลานี้เองซ่งเฉียนก็เข้ามาจากด้านนอก พูดกับไต้ฉิงว่า “ไต้ฉิง ด้านนอกมีคนมาหาน่ะ”
ไต้ฉิงฟังจบก็ลุกจากที่นั่งทันที จางเหวินเหวินเห็นหล่อนเป็นแบบนั้นก็ยิ้มเจิดจ้ากว่าเดิม
ไต้ฉิงไม่สนอย่างอื่นแล้ว รีบสาวเท้าเดินไป ก็เห็นหลินเจี้ยนจวินยืนมองด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มอยู่ด้านล่างเรือ “นายมาได้ยังไงน่ะ?”
หลินเจี้ยนจวิน “ฉันได้ยินพี่สะใภ้บอกว่าพวกเธอต้องกลับไปแล้ว เลยมาส่งเธอหน่อย”
ไต้ฉิง “อ้อ”
หลินเจี้ยนจวิน “ฉันได้รับของขวัญจากเธอแล้ว ฉันชอบมากเลย”
ไต้ฉิงเดิมทียังเขินอยู่บ้าง พอได้ยินคำพูดนี้ก็ควบคุมไม่อยู่ จึงถามเขาเสียงแผ่ว “นายแค่ชอบเองเหรอ?”
หลินเจี้ยนจวินได้ยินไต้ฉิงถามดังนั้นก็ออกอาการร้อนรน รีบล้วงปิ่นจากกระเป๋าเสื้อส่งให้ไป “ยังมีอีก ฉันอยากมอบอันนี้ให้เธอ”
ไต้ฉิงมองปิ่นปักผมที่หลินเจี้ยนจวินส่งมา ลังเลอยู่นานถึงรับมา “อันนี้นายสลักเองเหรอ?”
หลินเจี้ยนจวิน “อืม”
ไต้ฉิงหยอกเล่นพลางตอบรับพร้อมหัวเราะแหะ ๆ “ดูดีมากเลย”
หลินเจี้ยนจวิน “เธอชอบก็ดี เธอทิ้งที่อยู่ของเธอไว้ให้ฉันได้ไหม”
เขาลูบหัว ถามอย่างเขิน ๆ
ไต้ฉิงได้ยินเข้าก็มองเขาอย่างไม่อยากเชื่อสายตา “นายว่าอะไรนะ?”
“เธอให้ที่อยู่ฉันได้ไหม ฉันอยากเขียนจดหมายให้เธอ” หลินเจี้ยนจวินรวบรวมความกล้าแล้วเอ่ยขึ้น
ไต้ฉิงจ้องหลินเจี้ยนจวินสักพัก เอ่ยในทันใด “นายโง่หรือเปล่า ฉันให้นายไปตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอ”
หลินเจี้ยนจวิน “เธอให้ฉันตอนไหน”
ไต้ฉิง “ก็ในกระเป๋าหูรูดไง”
หล่อนเพิ่งจะพูดออกมา ซ่งเฉียนก็ตะโกนเรียกอยู่บนเรือ “ไต้ฉิงรีบกลับมา เราจะออกเรือแล้ว”
ไต้ฉิง “นายค่อย ๆ ดูแล้วกัน ฉันต้องไปแล้ว”
พูดจบก็วิ่งไปที่เรือ
หลินเจี้ยนจวินหาจดหมายที่ไต้ฉิงทิ้งไว้จนพบ ก็มองตามหล่อนจนมองไม่เห็นเรือแล้วถึงจากไป
จางเหวินเหวินมองไต้ฉิงที่ตั้งแต่ขึ้นเรือมาถือปิ่นปักผมแล้วยิ้มเหมือนคนโง่เลยชนหล่อนพลางพูดว่า “มีสติหน่อย ยังดูไม่พอหรือไง”
คราวนี้ไต้ฉิงถึงเก็บปิ่นปักผมและตอบอย่างอวดดี “ดูไม่พอหรอก”
จางเหวินเหวิน “รีบพูดมาว่าเธอกับหลินเจี้ยนจวินคนนั้นมันยังไงกัน พวกเธอสองคนคงไม่ได้คบกันจริง ๆ หรอกใช่ไหม?”
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ความรักของอาเล็กจะสมหวังหรือเปล่านะ แลกของแทนใจกันแล้ว
ชิวเฟิง
MANGA DISCUSSION