ตอนที่ 106 หลินเจี้ยนเยี่ยวิเคราะห์ของมีค่า
เมื่อได้ยินคำบอกเล่าของภรรยาหมาจื่อแล้ว สวี่ม่ายซุ่ยก็ถามด้วยความแปลกใจ “เธอแน่ใจเหรอว่าเขาเป็นคนซื่อสัตย์และซื่อบื้อน่ะ?”
ภรรยาหมาจื่อยักไหล่สองข้าง “ฉันถามได้ความมาแบบนี้”
“แล้วภูมิหลังครอบครัวเขาเป็นไง?”
ภรรยาหมาจื่อตอบด้วยความเหยียดหยาม “แย่มากเลยละ เทียบไม่ได้กับความเป็นอยู่ของเราที่นี่เลย”
สวี่ม่ายซุ่ยตอบรับ “อืม ฉันเข้าใจแล้ว”
เมื่อกลับถึงบ้าน หลินเซียวก็บอกสวี่ม่ายซุ่ยถึงสิ่งที่เขาได้รู้มา และมันยังเป็นข้อมูลสำคัญกว่าที่ภรรยาของหมาจื่อได้มาเสียอีก “ครั้งหนึ่งหวังอู่เคยขอให้คนมาพูดสู่ขอหลิวซุ่ย แต่เฉียนเสี่ยวเหลียนปฏิเสธ”
เมื่อสวี่ม่ายซุ่ยได้ฟังเรื่องยุ่งเหยิงนี้แล้ว เธอก็อดยกมือนวดขมับที่ปวดตุบไม่ได้
หลินเจี้ยนเยี่ยเห็นแบบเธอเป็นแบบนั้น เขาก็ยกมือลูบหัวเธอด้วยความสงสาร “เอาละ อย่าเพิ่งคิดเรื่องนี้เลย ปล่อยให้มันเป็นไปตามวิถีของมันดีกว่า”
สวี่ม่ายซุ่ยไม่ยอม “อีกฝ่ายวางแผนให้ร้ายเรา แล้วทำไมต้องปล่อยไปตามวิถีของมันด้วยคะ”
หลินเจี้ยนเยี่ย “ถ้าคุณไม่สนใจหล่อน ต่อให้พวกหล่อนอยากแต่งก็แต่งไม่ได้หรอก”
สวี่ม่ายซุ่ยบอกว่า “แต่คำพูดของคนน่ากลัวมากนะ”
หลินเจี้ยนเยี่ยอธิบาย “คำพูดของคนน่ากลัวก็จริง แต่ถ้าคุณไม่ใส่ใจคำพูดเหล่านั้น มันก็เป็นแค่ลมปาก”
สวี่ม่ายซุ่ย “ถ้าฉันมีความคิดแบบนี้ได้ ฉันคงตรัสรู้ไปนานแล้ว”
หลินเจี้ยนเยี่ยลูบหัวเธอแล้วยิ้มด้วยความมั่นใจ “เอาละ รีบพักผ่อนเถอะ”
สวี่ม่ายซุ่ยตอบรับสั้น ๆ “อืม”
เมื่อกลับเข้าห้องนอนแล้ว สวี่ม่ายซุ่ยก็ยังไม่รีบร้อนที่จะเข้านอน แต่หยิบของที่ซื้อเมื่อตอนบ่ายออกมาเล่นพลางมองพิจารณา
รอจนกระทั่งหลินเจี้ยนเยี่ยอาบน้ำกลับมาแล้ว เขาก็เห็นสวี่ม่ายซุ่ยถือจี้หยกและมองจ้องมันภายใต้แสงไฟ
หลินเจี้ยนเยี่ยถามขณะเตรียมตัวเข้านอน “คุณไปได้มันมาจากไหน?”
สวี่ม่ายซุ่ยตอบ “ซื้อมาจากตลาดมืดน่ะ”
หลินเจี้ยนเยี่ยได้ยินแล้วถึงขั้นสูดหายใจเข้าลึก “คุณใจกล้ามากจริง ๆ”
สวี่ม่ายซุ่ย “ถ้าไม่ลงทุนก็ไม่มีเงินเก็บสักทีแหละ คุณช่วยดูหน่อยได้ไหม? ช่วยฉันดูว่าของที่ซื้อมาจะทำขาดทุนหรือเปล่า?”
หลินเจี้ยนเยี่ยพูดว่า “คุณนี่ใจกล้าจริง ๆ กล้าซื้อแม้ว่าจะดูไม่เป็น”
ขณะที่พูด เขาก็หยิบจี้หยกขึ้นมาและหรี่ตามองใต้แสงไฟ จากนั้นสีหน้าของเขาก็เคร่งขรึมมากขึ้นเรื่อย ๆ
สวี่ม่ายซุ่ยถามว่า “เป็นไงบ้าง? ของจริงไหม?”
หลินเจี้ยนเยี่ยย้อนถาม “ซื้อมาเท่าไรน่ะ?”
สวี่ม่ายซุ่ยตอบ “ชิ้นละยี่สิบเอ็ด”
หลินเจี้ยนเยี่ยหันขวับมามองเธอด้วยความไม่เชื่อทันที “คุณไปซื้อมาจากคนโง่หรือไง?”
สวี่ม่ายซุ่ยรู้สึกยินดีขึ้นมาทันที “ฉันซื้อมาถูกแล้วใช่ไหมล่ะ?”
หลินเจี้ยนเยี่ย “อืม เพราะถ้าเป็นในสมัยโบราณ จี้หยกชิ้นนี้ของคุณจะต้องเป็นสมบัติขององค์ชายหรือขุนนางใหญ่เลยละ”
สวี่ม่ายซุ่ยได้ยินคำตอบของเขาแล้วก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา เธอลุกขึ้นจากเตียงแล้วพูดขณะสวมรองเท้าว่า “ยังมีอีกหลายอันเลยนะ คุณช่วยดูให้ฉันหน่อย”
เมื่อได้ยินแล้ว หลินเจี้ยนเยี่ยก็มองเธอด้วยความตกตะลึง “นี่คุณซื้อมาเท่าไรกันเนี่ย?”
สวี่ม่ายซุ่ยหยิบห่อสมบัติออกมาพลางตอบ “หนึ่งร้อยยี่สิบหยวน คุณช่วยดูให้ฉันหน่อยนะ”
หลินเจี้ยนเยี่ยหยิบจี้หยกขึ้นมามองพิจารณา ซึ่งเขาได้ให้คำตอบที่คล้ายคลึงกับความเข้าใจของสวี่ม่ายซุ่ย
เพียงแต่ว่าปิ่นปักผมกลับมีมูลค่าออกจะเหลือเชื่อ เพราะจริง ๆ แล้วมันมีมูลค่าสูงกว่าจี้หยกชำรุดสองชิ้นด้วยซ้ำ
สวี่ม่ายซุ่ยถามต่อ “แล้วหนังสือนี้เป็นไงบ้าง?”
หลินเจี้ยนเยี่ยพลิกดูสองสามหน้าแล้วตอบว่า “ผมแน่ใจว่ามันเป็นของโบราณ แต่ไม่แน่ใจว่ามันจะคุ้มเงินไหมนะ”
สวี่ม่ายซุ่ยนั่งฟังอยู่ข้าง ๆ เธอจ้องมองเขาแล้วถามว่า “ที่คุณพูดมาทั้งหมดเนี่ยกำลังโกหกฉันอยู่หรือเปล่า?”
หลินเจี้ยนเยี่ยพูดว่า “ผมจะโกหกคุณทำไม”
สวี่ม่ายซุ่ยมองเขาด้วยแววตาจับผิดพลางถามว่า “ก็คุณเป็นทหาร คุณจะมีความรู้เรื่องของเก่าได้ไง?”
หลินเจี้ยนเยี่ยถอนหายใจพลางเอ่ย “ผมได้เรียนมาบ้าง ตอนช่วงสงครามผมมีโอกาสได้พบนักวิชาการคนหนึ่ง แล้วเขาสอนผมน่ะ”
สวี่ม่ายซุ่ยยิ่งได้ฟังแบบนี้ก็ยิ่งตื่นเต้นเข้าไปใหญ่ “งั้นคุณก็ดูเป็นจริง ๆ แหละ ถ้าหลังจากนี้ฉันไปซื้อมาอีก ฉันจะให้คุณช่วยดูนะ”
หลินเจี้ยนเยี่ยได้ยินแล้วสีหน้าก็มืดลงทันที เขาวางของต่าง ๆ กลับไว้ที่เดิมแล้วพูดว่า “คุณไม่ควรยุ่งกับของพวกนี้มากนัก”
สวี่ม่ายซุ่ย “ทำไมจะยุ่งไม่ได้ ฉันอาจจะทำให้คุณร่ำรวยได้เลยนะ”
หลินเจี้ยนเยี่ยตอบว่า “สถานการณ์ยังไม่แน่นอนน่ะสิ”
สวี่ม่ายซุ่ยรู้ว่าหลินเจี้ยนเยี่ยกังวลเรื่องใด เพราะยุคนี้มีครอบครัวที่โดนยึดทรัพย์เพราะมีสมบัติมากมายให้เห็นไม่น้อยเลย
“คุณอย่ากังวล ฉันจะซ่อนของพวกนี้ให้ดี ๆ และฉันคิดว่าการต่อสู้แบบครั้งก่อนจะลดน้อยลงเรื่อย ๆ เพราะตอนนี้ทุกคนกำลังก้าวไปข้างหน้า แทบไม่มีใครยึดติดกับอดีตอีก”
หลินเจี้ยนเยี่ยแค่เหลือบมองเธอด้วยสายตาอ่อนลง หมายความว่าไม่ได้คัดค้าน
เมื่อได้รับอนุญาตจากหลินเจี้ยนเยี่ยแล้ว สวี่ม่ายซุ่ยก็มีความสุขมากขึ้น เธอแอบเก็บของเก่าไว้ที่เดิมและนอนหลับไปพร้อมกับรอยยิ้มแต้มระบายเต็มหน้า
วันรุ่งขึ้น ขณะที่สวี่ม่ายซุ่ยเข้าครัวเพื่อทำอาหารเช้า หลินเจี้ยนจวินก็เดินหาวหวอด ๆ กลับมา
“พี่สะใภ้”
สวี่ม่ายซุ่ยมองไปที่รอยคล้ำใต้ตาของเขาแล้วถามด้วยความเวทนา “เมื่อคืนไม่ได้นอนเลยเหรอ? เดี๋ยวฉันเตรียมอาหารเช้าให้นายก่อน กินแล้วค่อยไปนอนพักนะ”
เมื่อได้อยู่ในบ้านหลังนี้เป็นเวลานาน หลินเจี้ยนจวินก็ไม่มีความเกรงใจเหมือนตอนแรก ๆ อีกแล้ว เขาจึงทำแค่พยักหน้าพลางอ้าปากหาว
เมื่อสวี่ม่ายซุ่ยเห็นท่าทางของอีกฝ่าย เธอก็รีบตักโจ๊กข้าวฟ่างและคีบโร่วเจียโหมวมาให้เขา
“เพิ่งปรุงเสร็จก็จะร้อนมากหน่อย นายค่อย ๆ ดื่มล่ะ”
หลินเจี้ยนจวินตอบรับ “ครับ”
เมื่อกินข้าวเสร็จ หลินเจี้ยนจวินก็กลับไปนอน ซึ่งในเวลานี้หลินเซียวหลินฟานก็ตื่นนอนแล้ว
สวี่ม่ายซุ่ยมองผมที่ทั้งมันทั้งเหนียวของหลินเซียวกับหลินฟานแล้วเธอก็ไม่สนใจเรื่องกินด้วยซ้ำ “ลูกสองคนมาตรงนี้ก่อน แม่จะสระผมให้ ถ้าลูกสองคนไม่สระผม มันก็ใช้เป็นที่กกไข่ให้แม่ไก่ได้เลย”
หลินเซียวจับผมของตนด้วยความงุนงง “ถ้าไม่คันก็ไม่ต้องสระหรอกครับ”
เมื่อได้ยินแบบนี้แล้วสวี่ม่ายซุ่ยก็ยื่นมือออกไปลากเขา ทำให้เขาต้องเดินออกไปโดยไม่มีสิทธิ์ต่อต้าน
เมื่อหลินเจี้ยนเยี่ยกลับมา เขาก็เห็นลูกชายทั้งสองยืนเคียงข้างกันโดยเอามือไพล่หลังไว้และมีสีหน้าเศร้าหมอง
สวี่ม่ายซุ่ยแตะอุณหภูมิของน้ำแล้วพูดว่า “มานี่ ลูกสระก่อน”
เมื่อได้ยินแล้วหลินเซียวก็ผลักหลินฟานไปข้างหน้าทันที
หลินฟานอยากจะขัดขืน แต่เมื่อเห็นสีหน้าของแม่แล้วเขาก็ไม่กล้า
หลังจากสระผมให้ลูก ๆ เสร็จแล้วเงยหน้ามองนาฬิกา สวี่ม่ายซุ่ยก็ดึงแขนเสื้อลงแล้วพูดว่า “แม่จะไม่กลับมาตอนเที่ยงนะ ทุกคนทำอาหารง่าย ๆ กินเองได้เลย” เมื่อสั่งงานเสร็จแล้วเธอก็สะพายตะกร้าแบกหลังแล้วรีบเดินออกไป
ทันทีที่ออกจากบ้านก็พบกับหลี่ต้านีที่มาสมทบ เนื่องจากผ่านประสบการณ์ของเมื่อวานแล้ว ทำให้วันนี้พวกเธอทั้งสองคล่องแคล่วขึ้นมาก และหลี่ต้านีก็ไม่กังวลเหมือนเดิม
“ม่ายซุ่ย เราจะไปที่เดียวกับเมื่อวานไหม?”
สวี่ม่ายซุ่ยส่ายหน้าพลางเอ่ย “ไม่ไปแล้ว วันนี้เราจะไปที่อื่น” เธอพูดแล้วพาหลี่ต้านีออกเดินทาง จวบจนลงจากรถบัสในย่านชานเมือง จึงเห็นว่ามีลานกว้างที่ถูกทิ้งร้างตั้งอยู่ที่นี่ แต่พอเดินเข้าไปก็เห็นมีคนแน่นมาก
ที่นี่ต่างจากตลาดมืดที่วางขายสิ่งของแบบหลบ ๆ ซ่อน ๆ แต่สินค้าที่นี่จะถูกจัดแสดงให้เห็นเด่นชัด เรียกว่าเกือบจะเหมือนกับตลาดขนาดย่อม
หลี่ต้านีอุทานว่า “แม่เจ้าโว้ย เรายังมีสถานที่แบบนี้อยู่ด้วยเหรอ?”
สวี่ม่ายซุ่ยยื่นมือออกไปจับหล่อนไว้ “ใจเย็นหน่อย”
หลี่ต้านีตอบรับ “อื้ม ๆ”
ทันทีที่พวกเธอเดินไปถึงประตู ก็มีชายร่างใหญ่คนหนึ่งมาขวางพวกเธอไว้ “มาทำอะไร?”
หลี่ต้านีเห็นเขาแล้วก็สะดุ้งตกใจ ขณะที่สวี่ม่ายซุ่ยตอบด้วยความใจเย็น “ขายแอปเปิลได้ไหม?” พูดแล้วก็หยิบผ้าที่ปิดอยู่บนตะกร้าแบกหลังออกให้เขาดู
หลังจากมองแล้วชายร่างใหญ่ก็พูดว่า “ค่าเช่าแผงขายของคือหนึ่งหยวน”
สวี่ม่ายซุ่ยได้ยินแล้วก็หยิบเงินหนึ่งหยวนออกมามอบให้เขาโดยไม่ลังเล ชายร่างใหญ่ก็ยื่นมือออกมารับแล้วพูดว่า “มีที่ว่างตรงไหน พวกคุณก็นั่งได้เลย”
สวี่ม่ายซุ่ยพยักหน้า “ตกลง”
เมื่อเดินเข้าประตูไปแล้ว สวี่ม่ายซุ่ยก็ไม่รอช้าและมองสำรวจไปรอบ ๆ ทันที เธอเห็นว่าสินค้าที่ขายส่วนใหญ่เป็นธัญพืช ผักและเนื้อสัตว์ แต่ผลไม้แบบนี้มีน้อยมาก ซึ่งเธอก็รู้อยู่แก่ใจแล้ว
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ไปสู่ขอเขาแต่แม่เขาปฏิเสธแล้วมันจำเป็นต้องข่มขืนเขาไหม สมงสมองไหลกองไปอยู่ที่เป้าหมดแล้ว
พอสามีไม่ว่าทีนี้ก็ได้ใจเลยละม่ายซุ่ย หาช่องทางรวยรัว ๆ เลย
ชิวเฟิง
MANGA DISCUSSION