ตอนที่ 101 ถอนขนพ่อไก่เหล็ก
หญิงชราถือลูกแอปเปิล ร่องรอยความประหลาดใจพลันปรากฏขึ้นในดวงตาขุ่นมัว “ให้ฉันเหรอ?”
หลี่ต้านีพูดว่า “ใช่ ไม่มีใครอยากได้แอปเปิลลูกเล็กสองลูกนี้เลย ฉันให้คุณชิมนะ”
เมื่อได้ยินแบบนั้น หญิงชราก็หลั่งน้ำตาทันทีแล้วพูดซ้ำ ๆ ว่า “ขอบคุณนะ ขอบคุณมากเลย”
หลี่ต้านีรีบพูดว่า “ด้วยความยินดีค่ะ คุณก็ค่อย ๆ กลับนะ ดูเหมือนว่าขาและเท้าของคุณจะไม่ค่อยดี”
หญิงชราได้ยินแบบนั้นแล้วก็พยักหน้าพร้อมเดินช้า ๆ ไปหาชายคนหนึ่งซึ่งยืนถือแอปเปิลอยู่ หลังจากนั้นไม่นานก็เห็นนางถือถุงข้าวและค่อย ๆ เดินจากไป
หลี่ต้านีมองตามแผ่นหลังของหญิงชราแล้วถอนหายใจเบา ๆ “เฮ้อ การใช้ชีวิตในวัยแก่แบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เลยนะ”
สวี่ม่ายซุ่ยเงยหน้าขึ้นมองหล่อนด้วยรอยยิ้มและพูดติดตลกว่า “ไม่นึกว่าพี่จะใจดีขนาดนี้นะเนี่ย”
หลี่ต้านีเชิดหน้าขึ้นแล้วพูดด้วยความภาคภูมิ “แล้วฉันไม่ใจดีตั้งแต่เมื่อไรล่ะ”
สวี่ม่ายซุ่ยรีบพูด “ใช่ ๆ ๆ พี่สะใภ้ของฉันใจดีที่สุดอยู่แล้ว”
หลี่ต้านีก็พูดกับเธอด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า “ไปเถอะ อย่ามาพูดเอาใจฉันที่นี่เลย เดี๋ยวฉันก็ไม่สัญญาว่าจะเก็บเรื่องเงินของเธอเป็นความลับซะหรอก”
สวี่ม่ายซุ่ยตอบว่า “ไม่จำเป็นต้องเก็บเป็นความลับหรอก เพราะฉันไม่กลัวเขาเลย”
หลี่ต้านีชื่นชม “เห็นไหมว่าเธอเก่งแค่ไหน แล้วเราควรทำไงกับแอปเปิลที่เหลือล่ะ? หรือจะเอามาเทขายลดราคาไปเลย?”
แม้ว่าแอปเปิลที่พวกเธอเลือกเก็บจะค่อนข้างมีขนาดเท่ากัน แต่ก็ยังมีลูกเล็ก ๆ ปนมาบ้าง
สวี่ม่ายซุ่ยเหลือบมองแอปเปิลในกระบุงแล้วพูดว่า “ไม่ขายดีกว่า เอากลับไปให้ลูก ๆ กินเถอะ”
หลี่ต้านี “ก็ดีนะ มันแค่ลูกเล็กลงหน่อยแต่ยังไม่เน่าเสีย” ขณะที่พูดหล่อนก็เตรียมจะเก็บข้าวของกลับ
สวี่ม่ายซุ่ยเห็นแล้วก็รีบหยุดหล่อน “พี่ได้มาที่ตลาดมืดทั้งที ทำไมไม่ซื้อของบ้างล่ะ?”
เมื่อได้ยินแบบนั้นแล้ว หลี่ต้านีก็ตอบโดยไม่ต้องคิด “ไม่ซื้อ เพราะฉันมีคูปองพอแล้ว ฉันก็สามารถไปที่ซื้อของราคาถูกที่สหกรณ์ได้ ที่นี่ขายแพงเกินไป”
สวี่ม่ายซุ่ย “…”
“ครั้งที่แล้วฉันแนะนำให้พี่ซื้อกระดูกใหญ่ พี่ซื้อหรือยัง?”
หลี่ต้านียิ้มแห้งเพราะมีความผิด “ฉันยุ่งมาก ๆ จนไม่มีเวลาไปซื้อน่ะสิ”
สวี่ม่ายซุ่ยยิ้ม “พี่ไม่กลัวจะทำให้ลูกทั้งสองคนต้องหิวโหยเลยจริง ๆ สินะ”
หลี่ต้านีบ่น “จะหิวโหยได้ไงกันล่ะ มีหมั่นโถวให้กินแล้วยังไม่พออีกเหรอ”
สวี่ม่ายซุ่ยพูดว่า “ช่างเถอะ ฉันจะไม่พูดเรื่องนี้อีก เพราะฉันต้องไปซื้อของดี ๆ แล้วละ”
หลี่ต้านีได้ยินแล้วก็รีบคว้าเธอมาถามว่า “เธอยังมีเงินอยู่เหรอ?”
สวี่ม่ายซุ่ยตอบว่า “ฉันยังมีเงินสำหรับซื้อเนื้อหมูอยู่” เธอพูดพลางเดินไปหาชายร่างผอมคนหนึ่ง เมื่อมองโครงเหล็กใหญ่ตรงท้ายจักรยานของเขาแล้วเธอก็ถามว่า “คุณมีซี่โครงหมูไหม?”
ชายคนนั้นตอบด้วยท่าทางใจเย็น “มี จะเอาเท่าไรล่ะ?”
สวี่ม่ายซุ่ยถามต่อ “ฉันขอดูเนื้อด้วยได้ไหม?”
เมื่อได้ยินแบบนั้น ชายร่างผอมก็ยกผ้าที่คลุมโครงเหล็กขึ้นเพื่อให้เธอเห็นเนื้อและซี่โครงหลายชิ้นวางอยู่ข้างใน สีสันยังค่อนข้างสดใส
“เพิ่งถูกเชือดเมื่อเช้านี้เอง”
สวี่ม่ายซุ่ยถามว่า “แล้วคุณขายยังไง?”
ชายร่างผอมตอบว่า “ซี่โครงราคาชั่งละสองหยวน ไม่รับคูปอง”
หลี่ต้านียืนอยู่ใกล้ ๆ พลางสูดหายใจเข้าลึก “แพงมากเลย ที่สหกรณ์ขายแค่ชั่งละ 1.7 หยวน แต่คุณขายแพงกว่าตั้งสามเหมา”
ชายร่างผอม “ที่สหกรณ์ต้องใช้คูปอง แต่ซื้อที่ผมไม่ต้องใช้”
หลี่ต้านีได้ยินแบบนี้แล้วก็เงียบลงทันที
สวี่ม่ายซุ่ยไม่ลังเลและพูดออกมาทันที “ฉันอยากได้สิบชั่ง”
ชายร่างผอมเห็นมานานแล้วว่าเธอเป็นคนกล้าซื้อกล้าจ่าย เมื่อได้ยินแล้วเขาก็หยิบตาชั่งออกจากกล่อง แล้วชั่งน้ำหนักซี่โครงให้เธอ หลังจากชั่งน้ำหนักแล้ว เขาก็โยนเนื้อไร้มันชิ้นหนึ่งใส่ลงไปด้วย “คุณซื้อเยอะ ผมแถมให้”
สวี่ม่ายซุ่ยตอบสั้น ๆ “ขอบคุณค่ะ”
หลี่ต้านีมองเนื้อที่วางในโครงเหล็กของเขา หลังจากลังเลอยู่นาน หล่อนก็บอกเขาว่า “ชั่งให้ฉันด้วยสิ ฉันอยากได้เนื้อสองชั่ง”
ชายร่างผอมก็ตอบรับทันที “ได้เลย”
เมื่อเห็นว่าเขาหั่นเนื้อไปออกไปมากแล้ว หลี่ต้านีก็รีบพูดว่า “ฉันไม่อยากได้ชิ้นนั้น ชิ้นนั้นบางเกินไป แต่ฉันอยากได้ชิ้นหนากว่านี้เท่าหนึ่ง”
ชายร่างผอม “ได้สิ” ขณะที่เขาพูดก็ขยับมีดออกไปข้าง ๆ แล้วหั่นเนื้อชิ้นหนึ่งส่งให้หลี่ต้านีดู
หลังจากที่หลี่ต้านีจ่ายเงินแล้ว สวี่ม่ายซุ่ยก็มองหล่อนด้วยแววตาล้อเลียน “ไหนพี่บอกว่าจะไม่ซื้อนี่?”
หลี่ต้านีตอบว่า “ก็ฉันไม่คิดว่าเนื้อของเขาจะคุณภาพดี ไม่งั้นฉันคงไม่ซื้อเพราะมันราคาแพงมาก”
สวี่ม่ายซุ่ย “ก็จริง ๆ พี่พูดถูกแล้วละ แต่ถ้ากลับไปแล้วพี่ใหญ่จ้าวถาม พี่จะตอบว่าไง”
หลี่ต้านีเชิดหน้าเอ่ย “ก็แค่บอกว่าฉันซื้อจากสหกรณ์นั่นแหละ”
สวี่ม่ายซุ่ยตอบว่า “ดี เอาตามนี้แหละ”
เมื่อเตรียมคำตอบกันเสร็จแล้ว ทั้งสองก็ไม่ได้อยู่ต่ออีกนานนัก พากันขึ้นรถบัสไปที่ท่าเรือแล้วนั่งเรือกลับขึ้นเกาะ
เมื่อกลับถึงบ้านก็ห้าโมงกว่าแล้ว ไม่จำเป็นต้องไปดูการแสดง แค่เก็บข้าวของแล้วเข้าครัวไปทำอาหารต่อทันที
เธอแช่ซี่โครงหมูในน้ำเพื่อให้เลือดในกระดูกซึมออกมา และเพื่อไม่ให้มีกลิ่นคาวเมื่อสุก
ในขณะที่แช่ซี่โครงหมูเอาไว้ สวี่ม่ายซุ่ยก็รีบนำของที่ซื้อมาเข้าไปไว้ในห้อง เธอซื้อจี้หยกสี่ชิ้นและหนังสือสามเล่มจากผู้หญิงคนนั้น ยกเว้นจี้หยกสองชิ้นที่เธอดูตั้งแต่แรก จี้หยกที่เหลืออีกสองชิ้นล้วนไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดี แต่เธอเดาได้ว่าผู้หญิงคนนั้นย่อมรู้จักมูลค่าของจี้หยกของหล่อนดี
สำหรับหนังสือเหล่านี้ สวี่ม่ายซุ่ยไม่ค่อยแน่ใจ พวกมันดูเหมือนจะเป็นของจากสมัยโบราณ แต่เธอก็กลัวว่ามันจะเป็นของปลอม ดังนั้นเมื่อคิดไตร่ตรองแล้ว เธอก็ใช้ผ้าห่อพวกมันแล้วเก็บรวมกันไว้
เธอไม่มีความรู้เกี่ยวกับของเก่าเลย ดังนั้นการซื้อของพวกนี้จึงเป็นเรื่องของโชคล้วน ๆ แต่ในช่วงเวลาที่ยากลำบากเหล่านี้มีของปลอมน้อยมาก บางทีเธออาจจะเจอของดีเข้าก็ได้
หลังจากซ่อนของต่าง ๆ เสร็จแล้ว สวี่ม่ายซุ่ยก็รีบล้างไข่และปรุงให้สุก ในขณะที่ไข่กำลังสุก เธอก็หยิบซี่โครงออกมาจากกะละมัง แล้วสับเป็นชิ้น ๆ จากนั้นก็โยนลงในหม้อเหล็กใบใหญ่และเริ่มตุ๋น
ระหว่างที่กำลังตุ๋นซี่โครงหมู สวี่ม่ายซุ่ยก็รีบนวดแป้งเพื่อทำเล่าปิ่ง เพราะรู้สึกว่าอาหารจานตุ๋นเข้ากันได้ดีกับเล่าปิ่ง
และเพราะเธอชอบอาหารประเภทแป้ง ดังนั้นทุกครั้งที่กินข้าวเสร็จ เธอจะทำการนวดแป้งทิ้งไว้อยู่แล้ว
เธอนำแป้งที่ขึ้นฟูแล้วออกมา ทำการนวดไล่ฟองอากาศด้านใน แล้วดึงให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ จากนั้นปั้นเป็นลูกกลม ๆ แล้วกดแผ่ให้แบน นำไม้นวดแป้งออกมาคลึงให้เป็นแผ่นขนาดเท่าฝ่ามือ เมื่อได้ครบสี่แผ่นแล้วก็นำไปอบในหม้อใบเดียว
ในขณะที่สวี่ม่ายซุ่ยกำลังยุ่งมือเป็นระวิง หลินเจี้ยนเยี่ยก็กลับมา และเดินเข้าห้องครัวทันทีที่กลับถึงบ้าน
“สุดยอด! คุณนี่เก่งจริง ๆ ใช้หม้อสามใบพร้อมกันได้โดยที่ไม่กลัวร้อนจนเป็นลมเลย”
สวี่ม่ายซุ่ยไม่สนใจ ขณะที่ยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดเหงื่อจากหน้าผาก เธอก็พูดกับเขาว่า “คุณช่วยหยิบไข่ออกให้ฉันหน่อยเร็ว”
หลินเจี้ยนเยี่ยได้ยินแล้ว ก็รีบวางกระเป๋าไว้ที่ขอบหน้าต่างนอกห้องครัว จากนั้นก็พับแขนเสื้อขึ้นแล้วเดินมาหยิบไข่
“คุณกำลังจะทำอาหารอะไร? ทำไมคุณถึงต้มไข่ล่ะ?”
สวี่ม่ายซุ่ยแค่เหลือบมองเขาแล้วพูดว่า “คุณแกะเปลือกไข่ให้ฉันหน่อยสิ แล้วเอามีดหยักมาให้ฉันด้วย”
หลินเจี้ยนเยี่ยพูดว่า “ดูเหมือนว่าคุณกำลังพยายามทำให้การกินไข่มันซับซ้อนมากนะ”
เมื่อเห็นว่าหลินเจี้ยนเยี่ยกำลังจะแกะเปลือกไข่ สวี่ม่ายซุ่ยก็รีบตะโกนว่า “เดี๋ยวก่อน ๆ คุณล้างมือยัง?”
หลินเจี้ยนเยี่ยก้มหน้ามองมือของตนพลางตอบว่า “ผมจะเอาเวลาไหนไปล้าง”
สวี่ม่ายซุ่ยก้มหน้าลงขณะวางแผ่นแป้งเล่าปิ่งลงในหม้อและพูดว่า “ไม่ได้ คุณล้างตอนกินมื้อเที่ยง แล้วจะไม่ล้างตอนกินมื้อเย็นเหรอ”
หลินเจี้ยนเยี่ย “ผมละไม่เข้าใจคุณจริง ๆ”
พูดเสร็จแล้วเขาก็เดินออกไปล้างมือ
หลังจากล้างมือแล้วเดินกลับมา เขาก็ยกมือให้สวี่ม่ายซุ่ยดู “คราวนี้ผ่านหรือยัง?”
สวี่ม่ายซุ่ยตอบว่า “เอาละ ไปแสดงทักษะการใช้มีดของคุณได้แล้ว”
หลังจากที่สวี่ม่ายซุ่ยยกแป้งเล่าปิ่งสุกออกมา เธอก็โน้มตัวไปดู และเห็นว่าไข่ที่ปอกเสร็จแล้วในมือของหลินเจี้ยนเยี่ยมีสีขาวนุ่มนิ่ม ดูน่ารักเป็นพิเศษ
“เป็นไง? ตรงตามที่คุณอยากได้ไหม?”
สวี่ม่ายซุ่ยเบะปาก “ก็ไม่เลว แต่ยังฝีมือแย่กว่าฉันนิดหน่อย”
หลินเจี้ยนเยี่ยหัวเราะเบา ๆ “ก็คุณเก่งขนาดนั้น ผมเทียบไม่ได้อยู่แล้ว”
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
อาหารมื้อนี้อู้ฟู่สุด ๆ ไปเลย
เดี๋ยวตีมือช้ำเลยนี่พี่เยี่ย สุขอนามัยพี่มันไม่ผ่านมาตรฐานเลย เป็นผู้ชายก็ไม่จำเป็นต้องดิบต้องซกมกขนาดนี้ไหม
ชิวเฟิง
MANGA DISCUSSION