บทที่ 200 ตรวจสอบสำนักฉือโย่ว
“ข้าคิดว่าความโลภมากเป็นอันตรายต่อแคว้น ส่วนความโลภน้อยนั้นทำร้ายประชาชนโดยตรง” เหยียนซีนึกถึงอนาคตของเว่ยเฉิง และกล่าวต่ออีกสองสามประโยค “ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ปลาเล็กก็ไปกินกุ้งอีกทีอยู่ดี พวกโลภน้อยที่ถูกเอารัดเอาเปรียบก็คือประชาชนด้วยกันเอง พวกเขาไม่ได้มีเงินเหลือเฟือเหมือนกับพวกคหบดี และหากพวกเขาไม่มีเงินแล้วจะทำอย่างไร? พวกโลภน้อยจะกลั่นน้ำมันออกมาจากหิน ทุบกระดูกเพื่อเอาไขกระดูก ใช้วิธีต่าง ๆ เหมือนผู้ดูแลสำนักฉือโย่วที่ปล่อยให้เด็ก ๆ หนาวตายเพียงเพราะต้องการตักตวงเงินค่าถ่าน”
หากเว่ยเฉิงรู้ซึ้งถึงความยากลำบากของชาวบ้าน บางทีเขาอาจจะเป็นจักรพรรดิที่ดีกว่าจักรพรรดิเทียนฉีก็ได้?
“องค์ชายจวิ้น การเป็นราษฎรไม่ง่ายเลยเจ้าค่ะ พวกเขาตัวเล็กกันเกินไป เหมือนกับมดน้อยที่ส่งเสียงร้องด้วยความสิ้นหวัง แต่ใครบ้างที่จะได้ยินเสียงนั้น?”
“เจ้าเคย…” เว่ยเฉิงอดไม่ได้ที่จะกล่าวถาม
“หากเปรียบเทียบกับเด็กพวกนี้ การที่ข้าได้พบกับท่านป้าและพี่เอ้อร์หลางนั้นย่อมโชคดีกว่าพวกเขามาก ส่วนพวกเขาน่ะโชคร้ายเจ้าค่ะ” เหยียนซีขอบคุณโชคชะตาของตนเองเป็นอย่างมากที่ทำให้เธอได้มาเจอกับนางหวังและหลิวเหิง หากลืมตาตื่นขึ้นมาและพบกับคนอย่างเหมาซานหรือสวีอวี้หรง เกรงว่าตนคงจะมีชีวิตอยู่รอดไม่ถึงข้ามคืน
เว่ยเฉิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและพยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้ว”
โจวหงเห็นว่าทั้งสองเงียบลง จึงถามด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นว่า “แม่นางเหยียน เจ้าทำอาหารอร่อย ทำธุรกิจได้ดี และเขียนบทละครได้สนุกอีก เหตุใดเจ้าถึงมีความสามารถมากขนาดนี้กันเล่า?”
เหยียนซีตกตะลึงเมื่อเธอได้ยินคำว่าบทละคร “บทละครอะไรหรือเจ้าคะ?”
“ก็ละครเรื่องฉิน…”
“แค่ก ๆ!” เหยียนซีกระแอมขึ้นมาในทันที เรื่องที่เธอแอบทำงานลับ ๆ อย่างการเขียนบทละครให้หัวหน้าชิวนั้น เว่ยเฉิงรู้เรื่องดังกล่าวได้อย่างไร?
เว่ยเฉิงอดหัวเราะไม่ได้เมื่อเห็นท่าทางที่รู้สึกผิดของนาง “ที่เจ้าแอบทำเรื่องนี้ ไม่มีใครรู้หรอก” อย่างน้อยใต้เท้าสวีก็ไม่ได้สังเกตว่านางมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ตั้งแต่ต้นจนจบ
ส่วนเขารู้เรื่องนี้เพราะส่งคนมาคอยสังเกตการณ์โรงน้ำชาอวี่เซิ่นกับร้านเนื้อตุ๋นอวี่เซิ่นมากขึ้น จึงเห็นว่าก่อนหน้านี้ตอนที่คณะละครยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก หัวหน้าชิวเข้าออกจากร้านเนื้อตุ๋นอวี่เซิ่นถึงสองสามครั้ง แต่หลังจากแสดงละครใหม่ไปสองเรื่อง และเปรียบเทียบกับเรื่องราวของนางหวังแล้ว เขาก็พอจะคาดเดาได้
“ถ้าอย่างนั้นก็ดีเจ้าค่ะ” เหยียนซีถอนหายใจด้วยความโล่งอก คนตัวเล็กไร้อำนาจอย่างพวกเธอไม่สามารถแบกรับความสนใจจากคนใหญ่คนโตได้ และตนก็ยังต้องการพัฒนามันต่อไป
เพราะคณะละครของหัวหน้าชิวสร้างรายได้ให้เธอมากมาย
ขณะที่เหยียนหลิ่วไปจ้างรถม้าธรรมดาให้มารับพวกเธอกลับ พวกเขาทั้งสองคนก็เดินคุยกันมาตลอดทาง จนห่างจากตรอกมืดพอสมควร นอกจากนี้เด็กทั้งเก้าคนยังคอยติดตามหลังเด็กสาวมาอย่างใกล้ชิด เธอจึงไม่ต้องการรีบวิ่งออกไป
เหยียนซีบอกให้พวกเด็ก ๆ ขึ้นไปนั่งบนรถม้า และกล่าวลาเว่ยเฉิง “องค์ชายจวิ้น พักนี้น้ำหนักลดลงเยอะเลยนะเจ้าคะ ท่านลุงโจวไม่ได้แวะมาซื้อเนื้อตุ๋นที่ร้านของข้านานแล้ว เอาไว้ข้าจะส่งอาหารว่างไปให้นะเจ้าคะ”
เว่ยเฉิงยิ้มและพยักหน้ารับ ขณะมองดูพวกนางจากไป
โจวหงที่ยืนรออยู่ครู่หนึ่งถามว่า “องค์ชาย เราต้องรีบไปที่วังหลวงหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” เมื่อพวกเขาเดินทางกลับมาจากนอกเมือง ก็สังเกตเห็นเหยียนซีพาเหยียนหลิ่วเดินเข้าไปในตรอกมืด องค์ชายจวิ้นจึงสั่งให้เหล่าองครักษ์เดินทางไปรายงานที่วังหลวงก่อน ส่วนตนจะเดินทางตามไปทีหลัง
ตอนนี้พวกเขาล่าช้าไปพักหนึ่งแล้ว เกรงว่าใต้เท้าหลินที่รออยู่ในวังหลวงจะกระทืบเท้ารอด้วยความวิตกกังวล
เว่ยเฉิงกระโดดขึ้นหลังม้า ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งขณะเดินผ่านตรอกมืดไป “ส่งคนไปตรวจสอบสำนักฉือโย่วด้วย เรื่องนี้อยู่ภายใต้การดูแลกรมคลังกับกรมพลเรือน”
ทางราชสำนักคอยจัดสรรเงินให้สำนักฉือโย่วมาโดยตลอด ดังนั้นกรมคลังจะต้องเข้ามาตรวจสอบ และถึงแม้ว่าขั้นตอนการจัดการของสำนักฉือโย่วจะไม่จัดอยู่ในลำดับสำคัญ ถึงอย่างไรมันก็เป็นความผิดของพวกเขาเช่นกัน เขาคิดไม่ถึงว่าจะได้เจอกับเรื่องที่ไม่คาดมาก่อนเช่นนี้ แม้ตอนนี้เขาจะมีหน้าที่รับผิดชอบกรมคลังในนาม ทว่าเขาก็ไม่มีสิทธิ์ออกคำสั่งใด ๆ ทำได้เพียงรับฟังสิ่งต่าง ๆ แต่ไม่สามารถตัดสินใจอะไรได้
เมื่อพิจารณาจากกรณีของสำนักฉือโย่วแล้ว ตอนนี้เขาสามารถเปิดช่องว่างและหาข้ออ้างในการโยกย้ายตำแหน่งของคนในนั้นได้
เหยียนซีเปรียบเสมือนดวงดาวนำโชค เขามักจะโชคดีทุกครั้งที่ได้เจอนาง
เขานึกถึงเรื่องนี้ ขณะที่มุมปากยกขึ้นจนเผยให้เห็นรอยยิ้ม
โจวหงรู้สึกมีความสุขเช่นกันเมื่อเห็นรอยยิ้มที่ดูผ่อนคลายของผู้เป็นนาย เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ เขาเองก็ไม่รู้ว่าแม่นางเหยียนประจบสอพลออย่างไร นางไม่เคยพูดจาคมคาย ทว่าเขากลับอารมณ์ดีทุกครั้งที่พบ
“ไปกันเถอะ กลับไปหารือกับใต้เท้าหลินก่อน ส่วนสำนักฉือโย่วก็คอยตรวจสอบเงียบ ๆ อย่าทำให้ใครอื่นตระหนกเข้าล่ะ”
“พ่ะย่ะค่ะ”
โจวหงตอบรับ ก่อนที่ทั้งสองคนจะขี่ม้าเข้าไปยังหัวเมืองชั้นใน
เหยียนซีนั่งอยู่บนรถม้าโดยที่ไม่รู้สึกว่าตนกำลังอยู่บนถนน แต่ทันทีที่เด็กสาวนั่งลงบนที่ว่างบริเวณอับลม เธอก็ได้กลิ่นแปลกประหลาดโชยออกมาจากร่างกายของเด็กทั้งเก้าคน กลิ่นทั้งหมดนั้นพุ่งเข้ามาในรูจมูกของเธอ
“คุณหนู เราจะกลับไปที่ร้านเนื้อตุ๋นไหมเจ้าคะ?” เหยียนหลิ่วถามขณะที่นั่งอยู่ในเกวียนท่ามกลางกลุ่มคนแออัด
“ไม่ พาพวกเขาไปที่ทุ่งชนบท ร้านเนื้อตุ๋นมีที่ไม่พอ” ร้านเนื้อตุ๋นมีพื้นที่ไม่เพียงพอสำหรับเด็กทั้งเก้าคน อีกทั้งลานบ้านก็ค่อนข้างเล็ก เด็กสาวไม่รู้ว่าหลังจากเดินทางเข้ามาในเมืองหลวงแล้ว ตนจะซื้อแรงงานทาสเพิ่ม ดังนั้นภายหลังหากมีโอกาส เธอก็อยากจะซื้อเรือนที่มีขนาดใหญ่กว่าหลังเดิม
เด็กสาวพิจารณาและหันหน้าไปมองเด็ก ๆ ทั้งหลาย และถามเด็กที่เจอกันถึงสองครั้งว่า “พวกเจ้าชื่อแซ่อะไร?”
“ข้าชื่อฟางหมิงอี้ ส่วนพวกที่เหลือชื่อ…” เขาพูดไม่ออก ดูเหมือนว่าเด็ก ๆ ในสำนักฉือโย่วจะไม่เคยเรียกชื่อกันเลย พวกเขามองหน้ากันและกัน แต่กลับไม่เคยเรียกชื่อกันสักครั้ง
เหยียนซีมองไปที่เด็กคนอื่น ๆ อีกครั้ง ทว่าเด็กคนอื่นกลับมองกลับมาด้วยสายตาว่างเปล่า ในขณะที่เด็กโตอีกสองคนครุ่นคิดอยู่นาน “ส่วนข้าแซ่หลู่” จากนั้นก็ไม่มีเสียงใด ๆ เพิ่มเติม
“ไม่เป็นไร หากพวกเจ้าจำชื่อเดิมกันไม่ได้ พวกเจ้าสามารถปรึกษากันและกันเพื่อเลือกชื่อใหม่ได้” เหยียนซีปลอบประโลมพวกเขาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา เมื่อเห็นว่าพวกเขาดูหวาดกลัวและทุกข์ใจเพียงใด จากนั้นเธอก็หันไปถามฟางหมิงอี้ว่า “แล้วทำไมเจ้าถึงจำชื่อของตนเองได้ล่ะ?”
“ข้าเพิ่งถูกส่งตัวมาที่สำนักฉือโย่วเมื่อปีที่แล้วขอรับ” เขาไม่ได้เติบโตมาจากสำนักฉือโย่ว เขาชี้นิ้วไปทางเด็กสกุลหลู่ “เขาถูกส่งตัวมาที่สำนักฉือโย่วตั้งแต่ห้าขวบ ก่อนหน้านี้มีท่านปู่คอยดูแลพวกเราอย่างดี ส่วนผู้ดูแลคนปัจจุบันคือหลานชายของท่านปู่ขอรับ”
ความสามารถด้านการแสดงออกของฟางหมิงอี้ค่อนข้างดีกว่าเด็กคนอื่นอย่างเห็นได้ชัด และยิ่งเขาพูดมากเท่าไหร่ ท่าทางของเขาก็ยิ่งนุ่มนวลมากขึ้นเท่านั้น
เหยียนซีรับฟังคำอธิบายของเขา และพอจะเข้าใจเรื่องราวโดยรวมแล้ว
กว่าจะมาถึงทุ่งชนบทก็เป็นเวลาเกือบบ่ายโมง ทำให้คนกลุ่มหนึ่งรู้สึกหิวโซ
หวังชี อาต้า และอาเอ้อร์มองเหยียนซีพาเด็กกลุ่มหนึ่งที่มีลักษณะท่าทางเหมือนกับขอทานเข้ามา พวกเขาถอนหายใจขณะฟังเหยียนซีเล่า ทว่าตอนนี้มันสายเกินกว่าจะทำอาหาร อาต้าจึงหยิบไข่ต้มออกมาจากกองอาหารที่ปรุงสุกแล้ว “กินซะ”
พวกเด็ก ๆ มองดูไข่ต้มด้วยสายตาโหยหา แต่กลับไม่กล้าเอื้อมมือออกไป และแอบมองเหยียนซีเป็นครั้งคราว
รูปลักษณ์เฉยเมยของเหยียนซีตอนซื้อแรงงานทาสได้ฝังรากลึกลงไปในใจของกลุ่มเด็ก ๆ พวกเขาหวาดกลัวว่าจะถูกขับไล่ทันทีที่คว้าไข่ไก่ขึ้นมากิน
เหยียนซีทำอะไรไม่ถูก เธอรีบโบกมือ “กินเถอะ กินซะ กินคนละลูกนั่นแหละ ดูแล้วพวกเจ้าคงจะหิวกันมาก แต่อย่ากินเยอะจนเกินไป กินเสร็จแล้วก็อาบน้ำ อาบน้ำเสร็จแล้วค่อยมากินข้าวต้มกันสักหน่อย เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ได้กินข้าวต้มกันอีก”
พวกเด็ก ๆ ส่งเสียงร้องดีใจกันเบา ๆ ทว่าพวกเขากลับไม่ได้รีบเข้ามาคว้าไข่ต้มไป ต่างคนต่างต่อแถวและรอให้เด็กโตทั้งสามคนแบ่งอาหารให้กับพวกเขา
พวกฟางหมิงอี้ทั้งสามคนยืนปอกเปลือกไข่และกลืนมันอย่างยากลำบาก พวกเขาปอกเปลือกไข่ต้มและยื่นมันให้เด็กคนที่หนึ่ง เด็กคนที่สอง และเด็กคนอื่น ๆ ได้มีอะไรกิน ส่วนใหญ่คนปอกเปลือกไข่ต้มล้วนเป็นเด็กโตทั้งสามคน
“อย่ากลืนลงไปตรง ๆ เอาใส่ปากแล้วเคี้ยวก่อน!” อาต้าเห็นคนตัวเล็กเอาไข่ใส่ปาก แล้วทำท่าจะยัดไข่ต้มลงไปในลำคอภายในอึกเดียว เขาจึงร้องลั่นด้วยความหวาดกลัวว่าหากสำลักติดคอขึ้นมาจะทำอย่างไร?
น้ำเสียงของเขาดังก้อง เมื่อเขาตะเบ็งเสียงออกไป เด็กคนหนึ่งตกใจมากจนเผลอสะอึก ทำให้อาต้าอดไม่ได้ที่จะหัวเราะขบขัน
อาต้าเอามือลูบศีรษะตนเองอย่างทำอะไรไม่ถูก และเข้าไปช่วยต้มน้ำให้พวกเด็ก ๆ อาบ
MANGA DISCUSSION