บทที่ 193 เปลี่ยนคำเล็กน้อย
เหยียนซีเห็นใจเหล่าสาวใช้ของจวนตระกูลเว่ยที่ต้องตายอย่างน่าอนาถ แต่สวีอวี้หรงกับไม่ได้ชดใช้ในความผิดนี้
บริวารเป็นเพียงเบี้ยของขุนนางใหญ่ไม่ต่างอะไรจากที่เขาว่ากัน
“เจ้าบอกตาเฒ่าหวูโถวให้ไปคุยเรื่องนางสวีกับทั้งสามครอบครัวแล้ว เช่นนั้นก็ให้พวกเขายอมรับเงินเถอะ” หลิวเหิงเห็นสีหน้าหม่นหมองของเหยียนซีที่นึกถึงเรื่องนี้แล้วก็รีบเอ่ยเตือน “หากไม่ยอมรับเงินพวกเขาจะต้องตาย”
หากยอมรับเงินแล้วก็ถือว่าจบเรื่อง แต่ถ้ายังไม่ยอมมีแต่ต้องตายเท่านั้น
“ข้าจะให้ตาเฒ่าหวูโถวไปช่วยเตือนพวกเขาเจ้าค่ะ” เหยียนซีนิ่งค้าง ตระกูลสวีเป็นฆาตกรอย่างแท้จริง
หลังจากที่สวีเฉิงผิงไปสืบความอยู่นาน เขาก็ได้พบกับเจ้าทุกข์ทั้งสาม ทั้งสามบ้านต่างได้รับเงินห้าร้อยตำลึงและตกลงที่จะไม่เอาความเรื่องนี้ต่อไป
เดิมทีสวีเฉิงกานวางแผนจะส่งคนไปกำจัดทั้งสามครอบครัวครั้งแล้วครั้งเล่าหลังจากที่พวกเขาออกจากเมืองหลวง แต่ไม่คาดว่าเมื่อส่งคนไล่ตามไปยังชานเมืองหลวงโดยตามไปทางใต้ กลับไม่พบทั้งสามครอบครัวบนถนนหลัก และไม่สามารถสืบได้ว่าพวกเขาเดินทางไปที่นั่นได้อย่างไร พวกเขาพบบ้านเกิดของครอบครัวหนึ่งในสามระหว่างทาง เพื่อนบ้านก็เล่าว่าครอบครัวนี้ไม่เคยกลับไปที่เมืองหลวงเลย
พี่น้องตะกูลสวีรู้สึกหงุดหงิดใจ และคิดว่าทั้งสามครอบครัวอาจจะหนีไปแล้วเพราะกลัวว่าจะถูกฆ่าหลังจากได้รับเงิน ท้องฟ้าใหญ่แผ่นดินกว้างขวาง ไม่ว่าจะตามหาที่ใดก็ไม่พบ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องยอมแพ้เรื่องนี้ไปก่อน
พวกเขาไม่รู้ว่าตาเฒ่าหวูโถวขอให้คนช่วยพาครอบครัวทั้งสามขึ้นเหนือไปเพื่อหลบหนี และล่อให้พวกมือสังหารตามไปทางใต้ หลังเวลาผ่านไปสักพักพวกเขาก็ออกจากที่ซ่อนและกลับบ้านเกิดของตน
เจ้าทุกข์ทั้งหมดถอนฟ้องร้องไปแล้ว นั่นทำให้ขุนนางประจำที่ว่าการไม่ต้องตรวจสอบจวนตระกูลเว่ยอีกต่อไป
ฝ่ายตรวจการยังคงกล่าวโทษเว่ยหวนอยู่ แต่ก็ไม่มีหลักฐานอะไรเหลือให้ตรวจสอบ ทำได้เพียงโต้เถียงกันในที่ชุมนุมขุนนางเท่านั้น
ในช่วงสิ้นปี เจ้าหน้าที่จากทั้งแคว้นเดินทางมายังเมืองหลวงเพื่อรับการประเมิน
ใต้เท้าสวีจัดการให้เว่ยหวนไปที่เติงโจวเพื่อรับตำแหน่งเจ้าเมือง
เมื่อมีหนังสือออกมา เฉินเก๋อเหล่าเห็นเข้าก็เอ่ยขึ้นว่า “เจ้าเมืองเติงโจวงั้นหรือเปลี่ยนคำแรกสักหน่อยเถอะ เหตุใดไม่ส่งเว่ยหวนไปที่เฉิงโจวเล่า” ดำพูดของเขามีน้ำเสียงสะใจอยู่ถึงสามส่วน
ขุนนางที่ผู้รับผิดชอบตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง เติงโจวอยู่ใกล้เมืองหลวง ไม่มีภัยธรรมชาติตลอดหลายปีที่ผ่านมา ดังนั้นจึงเป็นสถานที่ที่ดี ทว่าเฉิงโจวอยู่ค่อนไปทางเหนือ บางครั้งก็มีผู้รุกรานบุกมาสร้างความเดือดร้อน
เดิมที่นั่นเป็นดินแดนศักดินาของอันอ๋องและจวนของอันอ๋องก็เป็นผู้ดูแลพื้นที่นี้ แต่ตอนนี้อันอ๋องถูกคุมขังอยู่เฉิงโจว ดังนั้นที่นั่นจึงเต็มไปด้วยความวุ่นวาย
เฉินเก๋อเหล่าต้องการส่งเว่ยหวนไปที่นั่น ทั้งที่รู้ว่าเป็นตัวเลือกที่แย่มากอย่างนั้นหรือ?
แต่เจ้าหน้าที่ก็ทำได้เพียงคิดเรื่องนั้นอยู่ในใจ เมื่อผู้เป็นนายสั่งการ เขาก็เพียงทำตามนั้น
เฉินเก๋อเหล่ามองดูหนังสือโยกย้ายด้วยรอยยิ้ม
ก่อนหน้านี้หลานชายของเขา ที่เป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของพี่สาวคนโตได้ผ่านการสอบจิ้นซื่อ และต้องการเพียงตำแหน่งที่ดีในเมืองสงบสุข หลานชายของเขารับตำแหน่งในฝูโจว ทำหน้าที่เจ้าเมืองแห่งหนึ่งที่นั่น หลังจากนั้นก็เกิดน้ำท่วมใหญ่ในเขตที่เขาปฏิบัติหน้าที่ หลานชายของเขาอุทิศตนช่วยเหลือชาวบ้านในพื้นที่ภัยพิบัติแต่กลับเสียชีวิตในเหตุการณ์นั้น พี่สาวคนโตของเขาเป็นแม่หม้ายที่มีบุตรชายคนเดียว นางตกใจกับข่าวร้ายจนล้มป่วยอย่างหนักและสิ้นใจไป
ไม่มีใครรู้ว่าเฉินเก๋อเหล่าและพี่สาวคนโตมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นต่อกันมาก ตอนที่เขายังเด็ก พี่สาวผู้นี้เป็นคนสอนอ่านเขียน หลังจากนางเสียชีวิต เขาก็สืบสวนเรื่องราวทั้งหมด ก็พบเบาะแสว่าตระกูลสวีมีส่วนรู้เห็น ทว่าไม่มีหลักฐานแน่ชัดที่จะเอาผิดคนพวกนั้นได้
ตอนที่พี่สาวกำลังจะสิ้นใจ นางกล่าวว่าหลานชายของเขาตรวจตราที่ตลิ่งทั้งกลางวันและกลางคืน แต่ก็ไม่พบรอยรั่ว ทว่าจู่ ๆ เขื่อนที่อยู่ปลายน้ำก็พังลงมา มีเพียงตระกูลสวีที่อยู่ต้นน้ำเท่านั้นที่ได้ประโยชน์จากเรื่องนี้
เขาพยายามตรวจสอบร่องรอยอีกครั้งหลังจากน้ำลด แต่ก็ไม่พบหลักฐานอะไรแล้ว
‘สวีถิงจือ เหตุใดบุตรสาวของเจ้าจึงต้องอยู่สบาย ๆ ที่เติงโจวเล่า ลองไปอาศัยอยู่ทางเหนือดูหน่อยน่าจะดีกว่า’ เขาคิดกับตัวเองและค่อย ๆ เดินออกไปพลางเอามือไพล่หลัง
เมื่อมีหนังสือจากทางการมาว่าเว่ยหวนต้องไปประจำที่เฉิงโจว ในตำแหน่งเจ้าเมือง เขาก็อุทานอย่างไม่เข้าใจ “ทำไมถึงได้เป็นเฉิงโจวเล่า!?…เป็นไปได้อย่างไร”
“ใต้เท้าเว่ย ท่านดูแปลกใจนะขอรับ?” จูถงที่อยู่ข้าง ๆ ถามด้วยรอยยิ้ม
“ใช่…ข้าประหลาดใจอยู่พักหนึ่งเชียวละ” เว่ยหวนได้สติขึ้นมาทันเวลาและสามารถปกปิดสีหน้าได้พอดี “เฉิงโจวอยู่ทางเหนือ แต่ข้าเป็นคนใต้ ดังนั้นอาจจะต้องเตรียมตัวอีกมาก ต้องขอตัวก่อนขอรับ”
เขารีบไปที่จวนตระกูลสวีเพื่อขอพบพ่อตา แต่ระหว่างทางกลับถูกใครบางคนขวางไว้ก่อน
คนคนนั้นคือผู้ส่งสารจากหมู่บ้านตระกูลเว่ยที่อยู่ในอาการเร่งรีบ เขามีศักดิ์เป็นพี่ของเว่ยหวนตามลำดับอาวุโส
ญาติผู้พี่ผู้นี้รอเว่ยหวนอยู่นาน เมื่อพบเขาอยู่ที่ถนนจึงรีบเรียกเอาไว้ “ข้ามาจากหมู่บ้านตระกูลเว่ยที่หยางหมิง มีเรื่องเร่งด่วนจะแจ้งกับใต้เท้าเว่ยขอรับ”
เว่ยหวนรีบจะไปสอบถามเรื่องเกี่ยวกับการโยกย้าย เขาเปิดม่านออกมาเมื่อเห็นว่าเป็นคนจากตระกูลเว่ย และขอให้ผู้ส่งสารไปในจวนก่อนเพื่อให้ภรรยาเป็นคนรับแขกแทนตนเอง
เขารีบไปที่จวนตระกูลสวี ส่วนญาติผู้พี่ก็เข้าไปในจวนตระกูลเว่ย
สวีอวี้หรงถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าเยี่ยมครั้งล่าสุด หลังจากที่ใต้เท้าสวีหายจากอาการป่วย เขาก็ไม่กล้ารุนแรงกับบุตรชายของตนอีกเพราะเรื่องของหลานสาว อีกทั้งคดีของสวีอวี้หรงก็ยังได้บุตรชายทั้งสองมาช่วยสะสางให้
ดังนั้น เมื่อสวีอวี้หรงมาร้องไห้ต่อหน้าเขา ใต้เท้าสวีจึงไม่ได้ปลอบโยนนางและเอาอกเอาใจอีกต่อไป เขาตำหนินางสองสามประโยคและให้ไปอยู่ที่จวนพร้อมกำชับให้ทำตัวดี ๆ อย่าสร้างปัญหาอีก
สวีอวี้หรงทั้งละอายใจและโกรธเกรี้ยว หลังจากกลับมาที่จวน นางก็พบว่าทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปหมด
นางไม่ได้ไปที่จวนตระกูลสวีอีก และยังต้องการไปนำตัวหานเซียงมาสั่งสอน ทว่าอีกฝ่ายกลับหายตัวไป
เมื่อเห็นว่าคนจากหมู่บ้านตระกูลเว่ยมาที่นี่ แม่นมก็มารายงานนาง เมื่อฮูหยินไม่ได้ว่าอะไร นางจึงสั่งให้คนจัดอาหารและเครื่องดื่มที่ลานด้านหน้า และขอให้พ่อบ้านเอาอาหารเย็นมาจัดให้
ญาติผู้พี่คนนั้นกังวลมาก ในที่สุดก็ได้พบเว่ยหวนเมื่อเขากลับมา เขาจึงเริ่มแจ้งเรื่องแปลก ๆ ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านตระกูลเว่ย
เมื่อได้ยินว่าหลุมฝังศพมารดาได้รับความเสียหายและมีเรื่องแปลก ๆ เกิดขึ้น เว่ยหวนจึงอดไม่ได้ที่จะทิ้งตัวลงนั่ง “ท่านได้รายงานเรื่องนี้ต่อทางการหรือไม่ เหตุใดไม่ให้เจ้าหน้าที่มาตรวจสอบเล่า”
เขาคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องเหนือธรรมชาติ ต้องเป็นเรื่องที่ใครบางคนจงใจสร้างสถานการณ์
“รายงานแล้ว หัวหน้าตระกูลรายงานทางการทันทีที่รู้เรื่อง” ญาติผู้พี่ตอบอย่างรวดเร็ว “ทางการส่งคนมาตรวจสอบ แต่ก็ไม่สามารถหาต้นสายปลายเหตุได้ ไม่กี่วันมานี้มีทั้งคนในและคนนอกเข้า ๆ ออก ๆ ที่โถงบรรพชนแต่ก็ไม่มีอะไร ทว่ามีคนได้ยินเสียงแปลก ๆ สูง ๆ ต่ำ ๆ ดังขึ้นมา น่ากลัวมาก!”
นอกจากนี้เขายังมีเวรยามออกลาดตระเวนตอนกลางคืนกันในครอบครัว ค้นจนทั่วทั้งภายในและภายนอกศาลบรรพชน แต่ก็ไม่พบสิ่งใดเช่นกัน ทำให้เป็นเรื่องน่ากลัวยิ่งกว่าเดิม
“ใต้เท้า ข้าค้นดูจนทั่วแล้ว ไม่มีใครเห็นว่ามีคนนอกเข้ามาในหมู่บ้าน ทุกคนเอาแต่บอกว่า…อาจเป็นวิญญาณนางหวังที่กลับมา…”
“จะเป็นไปได้อย่างไรกัน!” สวีอวี้หรงก้าวเข้ามาด้วยใบหน้าซีดเซียว
นางได้ยินว่าเว่ยหวนกลับมาแล้วจึงกำลังจะไปพบเขา ทว่าเมื่อมาถึงหน้าห้องกลับได้ยินญาติผู้พี่พูดเช่นนั้นก็รีบลนลานเข้าไป
ผู้มาเยือนตกใจมาก รีบค้อมศีรษะลงและขยับไปด้านข้าง
“ฮูหยินมาทำอะไรที่นี่” เว่ยหวนเอ่ยอย่างระวัง
“เจ้ามาพูดจาไร้สาระหลอกลวงคนอื่นอะไรในบ้านข้า!” สวีอวี้หรงตะคอก แต่เสียงของนางก็สั่นเล็กน้อย
แม่นมเข้ามาแตะมือของนางและไม่กล้าดึงออก
ช่วงนี้นางกระสับกระส่ายทั้งวันทั้งคืน ฝันเห็นร่างเลือนรางของสตรีเป็นระยะ ๆ เมื่อได้ยินสิ่งที่ญาติผู้พี่บอกเล่า นางก็พลันหนาวสั่นขึ้นมา “ส่งคนไปตามสืบที่หมู่บ้านแล้วหรือ ต้องหาต้นเหตุให้เจอ…”
“หาไม่เจอจริง ๆ ป้าสามตกใจจนเข่าอ่อนก้มลงทำความเคารพ เสียงจึงเงียบไป ทุกคนได้ยินเสียงกันหมด มีคนอยู่ที่นั่นนับสิบคน” ญาติผู้พี่กลัวมากจนพูดได้ไม่เต็มประโยค แต่รู้สึกว่าเว่ยหวนและภรรยาของเขาหน้าซีดและเริ่มดูเคร่งขรึมขึ้น ทำให้รู้สึกกลัวขึ้นมาอีกเล็กน้อย
MANGA DISCUSSION