บทที่ 192 นางสวีดูเสียสติ
เนื่องจากบุตรสาวคนโตของสวีเฉิงผิงอายุได้สิบสามปีแล้ว การดูตัวออกเรือนครั้งก่อน ๆ ของนางยังไม่สำเร็จ ในปีนี้ ที่สุดแล้วครอบครัวของนางก็ได้พบกับตระกูลที่สามารถเข้ากันได้ดี เด็กทั้งสองเมื่อได้พบหน้ากันก็ชอบพอพึงใจต่อกัน
ภรรยาของสวีเฉิงผิงกำลังจะติดต่อแม่สื่อเพื่อจัดการเรื่องงานแต่ง ทว่าจู่ ๆ ฝ่ายชายก็เงียบหายไป นางสอบถามหลายครั้งด้วยความสิ้นหวัง แต่ก็พบว่าเป็นเพราะเรื่องของสวีอวี้หรง ทำให้เป็นที่รู้กันทั่วว่าบุตรสาวตระกูลสวีไม่ได้รับการอบรมสั่งสอนอย่างเหมาะสม นางสวีชอบกดขี่ข่มเหงข้าทาสบริวาร ข่าวลือเช่นนี้ทำให้คนอื่น ๆ ต่างหวาดกลัว
ไม่มีใครต้องการแต่งงานกับบุตรสาวของนางอีกเพราะเรื่องเสียหายเหล่านี้
ภรรยาสวีเฉิงผิงได้แต่ร้องไห้กับสาวใช้ที่บ้าน เมื่อบุตรสาวมาได้ยินเรื่องนี้เข้า นางก็รู้สึกว่าการถูกปฏิเสธเช่นนี้มีแต่จะเสื่อมเสีย ทั้งชื่อเสียงของนางก็เสียหาย จึงแขวนคอตายด้วยความโศกเศร้า โชคดีที่สาวใช้มาได้ทันเวลาจึงช่วยนางเอาไว้ได้ แต่ก็มีรอยช้ำน่ากลัวอยู่บนลำคอของนาง
สะใภ้ใหญ่ตระกูลสวีคุกเข่าลงร้องห่มร้องไห้ตรงหน้าสวีเฉิงผิง “สามี ดูบุตรสาวของท่านสิ! หยวนเหนียงถูกปฏิเสธการแต่งงาน จะต้องเกิดเรื่องเช่นนี้อีกกี่ครั้ง อวี้หรงแต่งงานกับเว่ยหวนแล้ว ถือเป็นคนตระกูลเว่ย แล้วเหตุใดเวรกรรมจึงมาตกอยู่ที่ตระกูลสวีของเราเล่า”
สวีเฉิงผิงปวดหัวอยู่พักหนึ่ง บิดาของเขาก็โกรธมากหลังจากไปชุมนุมขุนนางที่ท้องพระโรงในวันนี้ ทั้งขอให้เขาหาทางยุติการฟ้องร้องของสามครอบครัวนั้นเสีย ไม่ว่าจะด้วยเงินหรือด้วยกำลัง
เมื่อฟังภรรยาร้องไห้เช่นนี้ก็ช่างน่าปวดหัวเหลือเกิน เหตุใดน้องสาวของเขาจึงได้ขยันก่อเรื่องไม่หยุดหย่อนเสียที
ไม่ง่ายเลยที่ตระกูลสวีจะใหญ่โตเช่นนี้ได้ เขาและน้องชายถูกบิดาเคี่ยวเข็ญอย่างเข้มงวด ทว่าในตอนนี้ก็ยังไม่ได้รับการเลื่อนตำแหน่งอย่างเป็นทางการ ส่วนเว่ยหวนสามารถสอบผ่านได้เป็นลำดับสาม บิดาจึงวางแผนสนับสนุนให้เขาได้เป็นเจ้ากรมยุติธรรม
พี่น้องตระกูลสวีไม่ได้สนใจเรื่องที่ตนเองไม่สามารถสอบขุนนางผ่านได้ แต่รู้สึกไม่พอใจเพราะความลำเอียงของบิดามากกว่า
ในช่วงสองปีที่ผ่านมา เพื่อช่วยตามเช็ดตามล้างเรื่องของสวีอวี้หรง พี่ชายทั้งสองต้องวุ่นวายไม่หยุด และวันนี้เขาก็พบว่าบุตรสาวถึงกับแขวนคอ ตนก็รู้สึกเสียใจมาก เขาประคองให้ภรรยาลุกขึ้น พร้อมปลอบโยนนางอยู่พักหนึ่ง
เขากัดฟันสู้เป็นครั้งสุดท้าย เข้าไปในห้องทำงานของบิดาแล้วคุกเข่าลงต่อหน้าใต้เท้าสวี “ท่านพ่อ อวี้หรงเป็นบุตรสาวของท่าน แต่หยวนเหนียงเองก็เป็นหลานสาวของท่านเช่นกัน ลูกชายอยากจะขอร้องท่านพ่อ โปรดช่วยเหลือหลานสาวของท่านด้วยขอรับ!”
ใต้เท้าสวีโกรธมาก “นี่เจ้าจะหาว่าข้าลำเอียงงั้นหรือ!”
สวีเฉิงผิงไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ทรุดตัวร้องไห้ นั่นคือสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อตั้งแต่แรก
เขาโกรธมากจนเอากฎครอบครัวที่เขียนลงบนแผ่นไม้ขึ้นมาตีบุตรชาย สวีเฉิงกานที่เข้ามาอ่านตำราก็พบว่าบิดากำลังทุบตีพี่ชายจึงได้คุกเข่าลงเช่นกัน “ท่านพ่อ หากท่านไม่พอใจพี่ใหญ่และข้าถึงเพียงนั้นก็ฆ่าพวกเราเสียเถอะขอรับ!”
แผ่นไม้ในมือใต้เท้าสวีตกลงพื้น เขาถอยหลังไปสองสามก้าว นั่งลงที่เก้าอี้ เผยใบหน้าซีดเซียวลง
เมื่อเห็นสีหน้าเช่นนั้น สวีเฉิงผิงและน้องชายก็ตกใจกลัว “ท่านพ่อ! ท่านพ่อ! เป็นอะไรหรือไม่ขอรับ”
“ตามหมอเร็วเข้า”
ใต้เท้าสวีโกรธมากจนถึงขั้นล้มหมอนนอนเสื่อ
สวีอวี้หรงต้องการเดินทางไปเยี่ยมบิดาที่จวนแต่ถูกขัดขวางโดยพี่สะใภ้ของนาง “อวี้หรง ท่านพ่อโกรธจนล้มป่วยก็เพราะเจ้า! เหตุใดจึงมีหน้ามาที่นี่อีก ไม่กลัวว่าจะทำให้ท่านพ่อทรุดลงอีกงั้นหรือ”
“เป็นไปไม่ได้! ท่านพ่อ ท่านพ่อ หรงเอ๋อร์มาที่นี่เพื่อพบท่าน!…” สวีอวี้หรงหลั่งน้ำตาและตะโกนเสียงดังอยู่ที่หน้าประตู
ถึงอย่างไรสะใภ้ใหญ่ของตระกูลก็มีอำนาจในการจัดแจงทุกอย่างภายในจวน นางจึงสามารถห้ามอีกฝ่ายเช่นนี้ได้ ทั้งแพทย์ยังกำชับอีกว่าใต้เท้าสวีต้องการการพักผ่อน และสวีเฉิงผิงก็สั่งไว้เช่นกันว่าใครก็ตามที่มารบกวนใต้เท้าสวีจะต้องถูกจัดการ
ดังนั้นคนใช้ที่จวนจึงทำได้เพียงเฝ้าดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยไม่มีใครกล้าไปรายงานใต้เท้าสวีในห้องนอน
สวีอวี้หรงดูราวกับเป็นสตรีเสียสติ พยายามจะหาคนช่วยพาตนเองเข้าไปด้านใน ทว่าไม่ว่าจะเป็นพ่อบ้านหรือสาวใช้ก็ไม่อาจฝ่าการรักษาความปลอดภัยอย่างแน่นหนาของคนคุ้มกันตระกูลสวีได้
สะใภ้ใหญ่มองอีกฝ่ายอย่างเย็นชาครู่หนึ่ง ก่อนสะใภ้รองจะออกมาจากลาน ช่วยให้สวีอวี้หรงลุกขึ้น แล้วพยายามเกลี้ยกล่อม “อวี้หรง ตอนนี้ที่บ้านเรากำลังมีปัญหา และท่านพ่อก็หมดสติอยู่จริง ๆ ข้าเองก็เป็นห่วงท่านพ่อเช่นกัน เจ้ากลับไปที่บ้านก่อนเถอะ หากท่านพ่อฟื้นแล้วจะส่งคนไปแจ้งข่าว”
สะใภ้ทั้งสองรับบทไม้แข็งไม้นวมช่วยกันเกลี้ยกล่อมสวีอวี้หรงให้กลับไป
“ส่งฮูหยินเว่ยกลับจวนด้วย” เมื่อเห็นว่านางกำลังเดินไปขึ้นรถม้า พ่อบ้านตระกูลสวีก็เอ่ยเสียงดัง
สวีอวี้หรงในรถม้าได้ยินคำพูดนั้นก็อดไม่ได้ที่จะโกรธ และหันไปเห็นว่าพ่อบ้านอยู่ข้างพี่สะใภ้ นางโกรธมากจนต้องการจะไปเอาเรื่อง แต่ก็ถูกแม่นมคว้าตัวเอาไว้ก่อน “ฮูหยิน ตอนนี้ท่านกำลังเป็นที่ถูกจับตาดูอยู่นะเจ้าคะ รอนายท่านฟื้นแล้วค่อยบอกน่าจะดีกว่าเจ้าค่ะ”
“ใช่! พ่อข้าหายเมื่อไร ไอ้สารเลวนั่นต้องถูกจัดการ! ก่อนหน้านี้ยังประจบสอพลอข้าไม่หยุด แทบจะคุกเข่าให้ตลอด แต่ตอนนี้กลับกล้ามาขวางข้า!…” ยิ่งพูดนางก็ยิ่งโกรธเคือง และระหว่างที่กำลังจะกลับไปนั้นเอง ก็พบว่าสวีเฉิงผิงเดินออกมาจากจวน
พี่ใหญ่อยู่ที่บ้าน!
พี่ใหญ่อยู่ในบ้าน แต่กลับปล่อยให้พี่สะใภ้ใหญ่มาขวางนางหน้าประตู
สวีอวี้หรงมองไปที่คนคุ้มกันเฝ้าประตูของจวนตระกูลสวี จ้องมองเช่นนั้นราวกับว่าอีกฝ่ายเป็นศัตรู และทันใดนั้นก็รู้สึกสั่นสะท้านขึ้นมา เป็นไปได้หรือไม่ว่าตอนนี้ตระกูลสวีไม่ได้สนใจบุตรสาวอย่างนางอีกต่อไปแล้ว
ไม่! ไม่! ท่านพ่อต้องอยู่ข้างนางแน่นอน
นางปลอบใจตนเองว่าตราบใดที่บิดาฟื้นจากอาการป่วย เขาต้องกลับมาช่วยเหลือนางอย่างแน่นอน
ใต้เท้าสวีรักบุตรสาวตนมากกว่าใครทั้งหมด ทันทีที่ฟื้นขึ้นมา เขาก็มองไปทางสวีเฉิงผิง และออกคำสั่งอย่างจริงจัง “นางเป็นน้องสาวแท้ ๆ เพียงคนเดียวของเจ้า เจ้าต้องจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย อย่าปล่อยให้การตายเล็ก ๆ น้อย ๆ นั่นมาส่งผลถึงตระกูลเรา เจ้าต้องจัดการสะสางเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด!”
“ท่านพ่อข้าเกรงว่าอวี้หรงจะไม่ยอมทำตัวดี ๆ อยู่ที่เรือน”
“รอให้เรื่องนี้ผ่านไปก่อน ข้าจะให้เว่ยหวนไปรับราชการที่อื่น และพาอวี้หรงย้ายไปด้วย”
ด้วยความเสื่อมเสียเช่นนี้เว่ยหวนและสวีอวี้หรงไม่สามารถอยู่ในเมืองหลวงได้ โชคดีที่หลังการประเมินในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ขุนนางจะเริ่มโยกย้ายตำแหน่ง ดังนั้นจึงเป็นการดีที่จะส่งเว่ยหวนไปยังเมืองอื่น ในเมื่อทั้งสองไม่อาจมั่นคงอยู่ในเมืองหลวงได้อีกต่อไป
สุดท้ายสวีเฉิงผิงก็ไม่สามารถเมินเฉยต่อสวีอวี้หรงได้จริง ๆ เขาต้องหาทางกันอีกฝ่ายออกไปให้ไกล ไม่ให้นางมาสร้างความเสื่อมเสียแก่บุตรสาวตระกูลสวีได้อีก
“ส่งคนไปสืบสวนเรื่องนี้อย่างละเอียด ข้าคิดว่าต้องมีคนพยายามมุ่งเป้ามาที่ตระกูลสวีของเราอยู่” หลังจากที่ใต้เท้าสวีสงบสติอารมณ์ลงได้ เขาก็เอ่ยขึ้น “ฝ่าบาทไม่ได้ต้องการจะเอาชีวิตอวี้หรงจริง ๆ ข้ายังไม่สบายตัวอยู่ พรุ่งนี้จะพักฟื้นที่จวนก่อน”
ตั้งแต่รู้สึกว่าฝ่าบาทไม่พอพระทัยในตัวเขา เขาก็คิดว่าจะขอพักฟื้นที่จวนเสียหน่อย ใต้เท้าสวีอยากจะลองดูเช่นกันว่าเมื่อเขาไม่อยู่เช่นนี้ จักรพรรดิจะทรงทำสิ่งใดได้บ้างภายในราชสำนัก
เขาทำหน้าที่อยู่ในท้องพระโรงเมื่อมีการว่าราชการมาหลายปีแล้ว หากหยุดพักฟื้นอยู่ที่เรือน น่ากลัวว่าฝ่าบาทและเฉินเก๋อเหล่าจะต้องวุ่นวาย
คดีสาวใช้ของสวีอวี้หรงทำให้เกิดความวุ่นวายไปหมด เหยียนซีมีความสุขมากและถามหลิวเหิงขึ้นว่า “พี่เอ้อร์หลาง สวีอวี้หรงจะได้ชดใช้ในสิ่งที่นางก่อหรือไม่เจ้าคะ”
หลิวเหิงสำลัก เด็กคนนี้กำลังคิดเรื่องอะไรอยู่กันแน่
“มีขุนนางมากมายในเมืองหลวง ตระกูลไหนบ้างที่ไม่เคยฆ่าบ่าวในเรือนของตน หากสวีอวี้หรงต้องรับผิดในเรื่องนี้ เรื่องของจวนอื่น ๆ ย่อมต้องถูกสาวไส้ออกมาด้วยเช่นกัน พวกเขาไม่ต้องการให้เรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้น ต้องหาทางหลีกเลี่ยงเป็นธรรมดา”
เหยียนซีเติบโตมากับกฎหมายสมัยใหม่ ยังคงประเมินค่ากระบวนการยุติธรรมแบบโบราณเอาไว้สูงเกินไป เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ไม่พอใจทันที
“แผนการของเจ้าเยี่ยมมาก” เมื่อเห็นท่าทีผิดหวังของนาง หลิวเหิงก็รีบปลอบโยนทันที “เจ้าส่งตาเฒ่าหวูโถวไปคุยกับคนเหล่านั้น เป็นวิธีการที่แยบยลจริง ๆ หากไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ ตอนนี้สวีอวี้หรงก็คงใช้ชีวิตอย่างสุขสบายไม่เดือดร้อนถึงเพียงนี้”
ข่าวที่ว่าสวีอวี้หรงถูกขวางไม่ให้เข้าไปจวนตระกูลสวีนั้นแพร่ไปทั่วอย่างรวดเร็วในวงสนทนา
เหยียนซีพยักหน้ารับ อย่างน้อยก็มีเรื่องดี ๆ อยู่บ้าง
MANGA DISCUSSION