บทที่ 187 ผู้บงการตามมาทุบถึงที่
เรื่องที่หลุมศพมารดาของเว่ยหวนเปิดออกย่อมไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ ผู้นำตระกูลไม่รอช้า รีบส่งคนไปแจ้งข่าวถึงเมืองหลวง
ขณะเดียวกัน คนแปลกหน้าในเมืองหลวงที่สวีอวี้หรงจ้างไปทำงาน ก็รู้สึกหวาดกลัวว่าเบื้องบนจะหาว่าตนเองไร้ความสามารถ เมื่อเห็นว่าหัวหน้าชิวไม่ต้องการรับเงินสองพันตำลึง และปฏิเสธที่จะหยุดแสดงละคร เขาก็ไม่ต้องการจบงานลงเพียงเท่านี้
เขากัดฟันแน่น และเข้าไปพบพวกอันธพาลท้องถิ่น ก่อนจะพาพวกอันธพาลไปยังที่พักของคณะละครตระกูลชิวที่ตั้งอยู่ในซอยฮวยซู่ และทุบตีสมาชิกในคณะละครจนได้รับบาดเจ็บสาหัส
สมาชิกในคณะละครชิวเพิ่งกลับมาจากการทำการแสดง เมื่อเห็นว่าทั้งสองฝ่ายกำลังต่อสู้กันอยู่ พวกเขาจึงรีบพุ่งเข้าไปปะทะทันที
หัวหน้าชิวเห็นคนแปลกหน้าตั้งแต่แวบแรก “เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงส่งคนมาทุบตีตอนกลางวันแสก ๆ!?”
ชายแปลกหน้ามีนิสัยเผด็จการ ชอบบงการมาตั้งแต่เขาเริ่มทำงานในเขตชานเมือง จึงกล่าวขึ้นว่า “ในเมื่อเจ้าไม่ต้องการดื่มสุราอวยชัย แต่ชอบดื่มสุราลงทัณฑ์ ข้าก็จะทุบตีพวกเจ้าให้หมด!” จากนั้นเขาก็ชี้นิ้วไปที่กลุ่มคนด้านหลังหัวหน้าชิว
ตราบใดที่นักแสดงเหล่านี้รู้สึกหวาดกลัว พวกเขาย่อมหยุดการแสดงอย่างเชื่อฟัง และไม่จำเป็นต้องเสียเงินแม้แต่ตำลึงเดียว
แต่กลับคาดไม่ถึงว่ากลุ่มคนในคณะละครที่ฝึกซ้อมการแสดง ร้องขับขาน และฝึกศิลปะการต่อสู้ทุกวัน จนทำให้ทักษะการต่อสู้ของพวกเขายอดเยี่ยมกว่าพวกอันธพาลท้องถิ่นเป็นอย่างมาก กลุ่มคนประมาณยี่สิบกว่าเบียดเสียดและต่อสู้ตะลุมบอนกันอยู่ในซอยแคบ ๆ สุดท้ายกลุ่มคณะละครบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย ขณะที่กลุ่มอันธพาลล้มลงไปกองกับพื้น พลางร้องไห้หาพ่อหาแม่
ชาวบ้านที่เดินผ่านไปมาในซอยอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะ “คนหาเรื่องถูกทุบตี ส่วนคนโดนตีกลับไม่เป็นอะไรเสียอย่างนั้น”
ขณะที่เรื่องชุลมุนวุ่นวายกำลังเกิดขึ้น ใครบางคนก็ร้องตะโกนเสียงดังมาจากทางเข้าซอยว่า “ทางนี้! ทางนี้ขอรับ!”
การทะเลาะวิวาทในเมืองหลวงต้องถูกโทษเฆี่ยนตี เมื่อเจ้าหน้าที่ยุติธรรมได้ยินว่าพวกอันธพาลรวมกลุ่มกันต่อสู้ในเมืองหลวง เขาจึงรีบส่งคนคุ้มกันออกไปทันที
คนคุ้มกันเห็นทั้งสองกลุ่มกำลังทุบตีกัน ทว่าเขากลับไม่รู้จักสมาชิกในคณะละคร แต่รู้จักกลุ่มอันธพาลสองสามคนบนพื้น
หัวหน้าชิวก้าวไปข้างหน้าเพื่อแสดงความเคารพ และยัดถุงเงินให้อย่างระมัดระวัง “ท่านช่วยตัดสินแทนพวกเราด้วยนะขอรับ” เขากล่าวและพาคนคุ้มกันไปดูข้าวของที่พังเสียหายอยู่ในบ้าน “พวกเราเองก็ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น พอพวกเรากลับมา ข้าวของภายในบ้านก็ถูกทุบจนกระจัดกระจายหมดแล้วขอรับ”
คนคุ้มกันมองดูหัวหน้าชิวและกล่าวว่า “ไอหยา! ท่านคือผู้แสดงเป็นนายอำเภอ” เขากล่าวออกมาอย่างมีความสุข
เห็นได้ชัดว่าเขาค่อนข้างประทับใจกับบทบาทนายอำเภอของหัวหน้าชิว ในการแสดงละครเรื่องฉินเซียงเหลียนเป็นอย่างมาก
คนคุ้มกันอีกหลายคนรีบกล่าวทักทายทันทีเมื่อพวกเขาได้ยินว่านี่คือคณะละครตระกูลชิวที่กำลังโด่งดัง เมื่อไม่นานมานี้คณะละครของตระกูลชิวได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม จนทำให้ใครบางคนอิจฉาตาร้อนใช่หรือไม่? ขณะเดียวกันถุงเงินที่หัวหน้าชิวมอบให้นั้นค่อนข้างหนัก พวกเขาจึงล่ามพวกอันธพาลทั้งสองสามคนเอาไว้ด้วยกัน “พี่ชาย อยากโดนเฆี่ยนตีอีกแล้วหรือ? คราวนี้จะเอาให้กระดูกหักเลยดีหรือไม่?”
“ปรักปรำ กลั่นแกล้งกันชัด ๆ!”
“ข้าน้อยถูกชายผู้นั้นหลอกลวง เขาบอกให้พวกข้ามาสั่งสอนคนพวกนี้…”
คนแปลกหน้าตะลึงทันทีเมื่อเห็นคนคุ้มกันเดินเข้ามา หากเรื่องนี้ทำให้ทางการตื่นตัว มันไม่กลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตเอาหรือ? ในตอนนี้เขากำลังคิดถึงวิธีการหลบหนี ทว่าพวกอันธพาลกลับไม่รักษาน้ำใจ รีบกล่าวโทษเขาทันทีที่ถูกคล้องโซ่ตรวน
ชายอันธพาลสองคนยอมรับโทษและเริ่มตระหนักถึงคุณธรรมและความดี ด้วยการดึงตัวผู้บงการที่อยู่บนพื้นขึ้นมา “พวกท่านดู นี่คือคนที่สั่งให้พวกเรามาที่นี่ พวกเรา… พวกเราแค่ต้องการทำทุกสิ่งอย่างเต็มที่เพื่อได้รับความไว้วางใจ”
“บัดซบ! กับแค่เรื่องจงรักภักดีเนี่ยนะ” คนคุ้มกันถ่มน้ำลายอย่างโกรธจัด และกุมตัวผู้บงการเอาไว้อย่างแน่นหนา “มานี่! ไปหาที่ว่าการยุติธรรมด้วยกัน”
“ข้า… ข้ามาจากจวนสวี” ผู้บงการร้องตะโกนออกมาอย่างกระวนกระวายใจ ทั้งอับอาย โกรธเคือง และหวาดกลัวขณะที่จะถูกโซ่ตรวนรัดแน่น อันที่จริงเขาควรจะบอกว่าตนเองมาจากจวนเว่ย ทว่าคนรับใช้ของสวีอวี้หรงส่วนใหญ่ล้วนคุ้นเคยกับการบอกว่าตนเองมาจากตระกูลสวี
ผู้บงการหวาดกลัวว่าตนจะถูกลากไปรับโทษที่ว่าการยุติธรรม จึงรีบเปิดเผยตัวตน “ข้าเป็นคนของจวนสวี พวกเจ้าจะกล้าพาข้าไปหรือ”
คนคุ้มกันทั้งหลายรู้สึกลังเลทันทีเมื่อได้ยินว่าอีกฝ่ายเป็นคนจากจวนสวี
“หากเป็นคนของจวนสวี เหตุใดเจ้าจึงเทียวไปเทียวมากับคนพวกนี้?” หัวหน้าชิวชี้นิ้วไปที่พวกอันธพาลและกล่าวถาม
คนคุ้มกันก็คิดแบบนั้นเช่นกัน หากเป็นคนจากจวนสวีจริง ๆ จะต้องพาองครักษ์ประจำตระกูลสวีมาด้วย ทำไมเขาถึงต้องมาร่วมมือกับกลุ่มอันธพาลข้างถนนพวกนี้?
ผู้บงการเห็นว่าคนคุ้มกันไม่เชื่อ “ข้าเป็นคนจากจวนสวีจริง ๆ ถ้าไม่เชื่อ… ถ้าไม่เชื่อก็พาข้าไปที่จวนเว่ยสิ ข้าหาคนมาเป็นพยานให้ได้!”
คนคุ้มกันคิดว่าเรื่องนี้เป็นความจริง เมื่อได้ยินคำพูดเป็นตุเป็นตะของอีกฝ่าย
“แม้แต่คนใช้หน้าประตูจวนขุนนางระดับเจ็ดก็ยังมีศักดิ์ศรีมากกว่าชาวบ้านทั่วไปเสียอีก” ใครบางคนในฝูงชนถอนหายใจ เมื่อได้ยินคำกล่าวของผู้บงการ
คนคุ้มกันมองดูสีหน้าเคร่งเครียดของคณะละคร “ยอมออกจากบ้านไปขายมันเทศ ดีกว่าอยู่เป็นข้าราชการที่ไม่ทำเพื่อประชาชน! พวกเรามาจัดการเรื่องนี้กันเถอะ ต่อให้เขาจะเป็นใคร ก็พาตัวเขากลับไปที่ที่ว่าการยุติธรรมก่อน แล้วค่อยให้นายท่านตัดสินใจ”
คนคุ้มกันคนอื่นรู้สึกว่าคำพูดดังกล่าวค่อนข้างสมเหตุสมผล ถึงแม้ว่าบุรุษผู้นี้จะเป็นคนจากจวนตระกูลสวีและจวนตระกูลเว่ย แต่เมื่อถึงเวลานั้นทางจวนจะมาหากลุ่มคนพวกนี้กับเจ้านายของพวกเขาเอง สุดท้ายแล้วอย่างไรมันไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเขา!
หัวหน้าชิวกับสมาชิกคณะละครมองดูพวกเขาใส่โซ่ตรวนให้ผู้บงการ แล้วจึงร้องตะโกนก้องว่า “ความยุติธรรมคงอยู่ทุกที่จริง ๆ!”
คนคุ้มกันพากลุ่มคนอันธพาลและคนบงการออกไปด้วยท่าทีที่สง่างาม และเรียกให้หัวหน้าชิวตามเขาไป “ท่านเป็นเจ้าทุกข์ ดังนั้นท่านต้องไปยื่นเรื่องที่ที่ว่าการยุติธรรม”
“นั่นสินะขอรับ ขอบคุณพวกท่านที่ทำงานหนัก” หัวหน้าชิวตอบตกลง และสั่งชิวเหลียนหรงว่า “ไปบอกเถ้าแก่โรงละครว่าข้ากำลังไปที่ว่าการยุติธรรม หากกลับมาไม่ทันการแสดงช่วงเย็น ก็ช่วยบอกเถ้าแก่ให้หาวิธีจัดการที”
ชิวเหลียนหรงเข้าใจว่าท่านอาจารย์สั่งให้เขาไปบอกเรื่องนี้กับโรงละครพานเจียหยวนโดยด่วนที่สุด เพื่อที่เถ้าแก่จะได้หาทางช่วยเหลือได้ เขาจึงตอบรับด้วยท่าทีจริงจัง และรีบวิ่งผ่านฝูงชนไปยังโรงละคร
หัวหน้าชิวขอให้คนที่เหลือกลับบ้านแทนที่จะไปกับเขา เขากล่าวคำปลอบใจเพียงไม่กี่คำ ก่อนจะเดินตามคนคุ้มกันไปยังที่ว่าการยุติธรรม
ชาวบ้านทั้งหลายต้องการเฝ้าดูความตื่นเต้น จนลืมตระหนักถึงระยะทางที่ห่างไกล พวกเขาเดินตามไปยังที่ว่าการยุติธรรมด้วยกัน
อีกทั้งยังมีการซักถามเรื่องราวความเป็นมากับคนอื่นระหว่างทาง ดังนั้นชาวบ้านกลุ่มนี้จึงพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องทั้งหมด “ไม่รู้ว่าทำไมตระกูลสวีถึงส่งคนมาทุบตีคณะละคร หรือว่าพวกเขาจะมีความแค้นกับคณะละคร?”
“เจ้าก็พูดจาเหลวไหล คณะละครเล็ก ๆ จะไปทำให้ใต้เท้าสวีขุ่นเคืองได้อย่างไร? ความสัมพันธ์ไม่ได้ใกล้กันสักนิด”
“ไม่ใช่จวนสวี ข้าได้ยินมาว่าพ่อหนุ่มนั่นขอให้คนคุ้มกันพาเขาไปที่จวนเว่ยต่างหาก!”
“จวนเว่ยหรือ?” ชาวบ้านต่างพิจารณากันอย่างชาญฉลาด “จวนเว่ยคงไม่ใช่จวนของทั่นฮวาหรอกใช่หรือไม่? ถ้าอย่างนั้นข้าก็รู้แล้วว่าทำไมพวกเขาถึงเข้ามายุ่งวุ่นวาย”
“ทำไม?”
“เจ้าลองคิดดูสิ ละครเรื่องฉินเซียงเหลียนเกี่ยวกับอะไร? คณะละครเอาเรื่องนี้มาแสดงทั้งที่ไม่ควรนำมาแสดง พวกเขาถึงได้อับอายจนโกรธจัดเช่นนี้อย่างไรเล่า!”
“ข่าวลือเป็นเรื่องจริงหรือ?”
“ทีแรกข้าก็ไม่เชื่อเท่าไหร่ แต่ดูจากวันนี้แล้วน่าจะเป็นเรื่องจริง”
“น่าสงสารจริง ๆ เจ้าก็รู้ว่าฉินเซียงเหลียนตรากตรำทำงานอย่างหนักเพื่อให้ทั่นฮวาได้ก้าวหน้า แต่สุดท้ายแล้วนางก็ต้องมาจบชีวิตลง”
ชาวบ้านต่างพูดคุยกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ท่ามกลางถ้อยคำวิจารณ์ที่ผสมปนเปไปด้วยอารมณ์หลากหลาย
เมื่อเหยียนซีทราบข่าว เธอก็เกรงว่าหัวหน้าชิวจะถูกทำร้าย ดังนั้นจึงรีบพาหวังชีและเหยียนหลิ่วตามไปดู ทว่าฝูงชนด้านหน้ามีจำนวนมากเกินไป จนเด็กสาวไม่สามารถเบียดเสียดฝูงชนเข้าไปได้
แต่เหยียนซีกลับได้พบว่าชาวบ้านในเมืองหลวงช่างเก่งกาจเป็นอย่างยิ่ง เมื่อได้ยินบทสนทนาของพวกเขา หลังจากนี้คงต้องขึ้นอยู่กับเทพเซียนแล้วว่าจะสามารถทำให้เรื่องยุ่งเหยิงได้มากน้อยเพียงใด
คนกลุ่มหนึ่งเดินทางไปยังที่ว่าการยุติธรรม เมื่อหัวหน้าชิวมาถึงศาลาว่าการ คนรับใช้ทั้งหลายก็ไปรายงาน
ทว่าก่อนที่เจ้าหน้าที่จะเอ่ยถามรายละเอียด ใครบางคนกลับวิ่งเข้ามาพร้อมกับป้ายของจงอ๋อง “ใต้เท้าขอรับ! ท่านอ๋องของข้าชื่นชอบการแสดงของคณะละครชิวมาก ยามนี้เมื่อคณะชิวกำลังได้รับความลำบาก ขอให้ใต้เท้าช่วยผ่อนผันให้ท่านอาจารย์กลับไปที่คณะละครด้วยเถอะขอรับ”
MANGA DISCUSSION