บทที่ 186 เรื่องแปลกประหลาดในหมู่บ้านตระกูลเว่ย
สวีอวี้หรงสั่งให้แม่นมนำเงินไปจ้างให้คณะละครชิวหยุดแสดงละครเรื่องดังกล่าว
ทว่าแม่นมกลับลังเล “ควรมอบให้เท่าไหร่ดีเจ้าคะ?”
“นำเงินสามพันตำลึงไปมอบให้พวกเขา บอกพวกเขาว่านี่คือเงินค่าชดเชย” สวีอวี้หรงกล่าวออกมาอย่างไม่สนใจ “ส่วนเจ้า ไปหาคนแปลกหน้ามาจัดการเรื่องนี้ซะ อย่าให้เรื่องมาถึงจวนเด็ดขาด!”
“หาก… หากพวกเขาปฏิเสธล่ะเจ้าคะ?” แม่นมรู้สึกว่าเรื่องดังกล่าวดูไม่ถูกต้อง และไม่ง่ายเลยที่จะทำเช่นนี้ หากใช้ชื่อเสียงของใต้เท้าสวีหรือชื่อเสียงของรองเจ้ากรมเว่ยโดยตรง คณะละครอาจจะไม่กล้าฝ่าฝืน
และการมอบเงินจำนวนเล็กน้อยเพียงเท่านี้ พวกเขาจะไม่มีทางเห็นด้วย
“หากปฏิเสธ ก็ให้บทเรียนแก่พวกเขาซะ” สวีอวี้หรงสั่งอย่างกระวนกระวายใจ
แม่นมไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากตอบตกลง นางรับเงินจำนวนสามพันตำลึงมา และสั่งให้บุตรชายไปหาคนแปลกหน้าในหมู่บ้านมาจัดการเรื่องดังกล่าว
คนแปลกหน้ารับเงินมาและเชิญหัวหน้าชิวไปยังโรงน้ำชาหรูหรา ก่อนที่จะวางเงินจำนวนสองพันตำลึงไว้ตรงหน้าหัวหน้าชิวอย่างเย่อหยิ่ง “นายของข้าสั่งให้นำเงินสองพันตำลึงนี้มาจ่ายเป็นค่าชดเชยให้คณะละครเล็ก ๆ ของพวกเจ้า และสั่งไม่ให้พวกเจ้าแสดงละครเรื่องฉินเซียงเหลียนอีกต่อไป ทั้งยังให้พวกเจ้าสร้างบทละครขึ้นมาใหม่แทน”
หัวหน้าชิวหยิบตั๋วเงินขึ้นมามองอย่างละเอียด เขารู้ว่าเงินจำนวนสองพันตำลึงเป็นเงินจำนวนไม่น้อย ทว่าเขาก็อดมองคนแปลกหน้าด้วยท่าทางแปลก ๆ ไม่ได้
ชิวเหลียนหรงที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ท่านอาจารย์ มองดูสายตาของคนแปลกหน้าที่จ้องมองพวกเขาราวกับพวกเขาเป็นคนโง่
คนแปลกหน้ามองดูเขาถือตั๋วเงิน และคิดว่านี่เป็นเพียงคณะละครเล็ก ๆ ที่ไม่เคยรู้เหนือใต้มาก่อน คอยทำการแสดงอย่างหนักเพียงเพื่อรับเงินจำนวนสิบตำลึงเท่านั้น และนี่อาจเป็นครั้งแรกที่พวกเขาเคยเห็นตั๋วเงินมากมายเช่นนี้?
“ข้าจะถือว่าเรื่องนี้เป็นอันตกลงก็แล้วกัน พรุ่งนี้เจ้าไปเปลี่ยนป้ายประกาศหน้าทางเข้าโรงละครพานเจียหยวนได้เลย” คนแปลกหน้าเชิดหน้าขึ้น และบอกหัวหน้าชิวว่าหลังจากได้รับตั๋วเงินแล้ว ก็สามารถออกไปได้
เขาคิดว่าตนเองให้เงินมากเกินไป บางทีเงินจำนวนหนึ่งพันตำลึงอาจจะสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ด้วยซ้ำ
“นายท่าน เรารอที่จะแสดงละครเช่นนี้มานาน และตอนนี้พวกเราก็ได้การยอมรับแล้ว เราคงจะเลิกแสดงละครเรื่องนี้ไม่ได้หรอกขอรับ” หัวหน้าชิววางตั๋วเงินลงตรงหน้าคนแปลกหน้า “ข้าต้องขอโทษด้วยจริง ๆ ขอรับ พวกเรามาที่นี่ก็เพื่อทานอาหารเท่านั้น โปรดส่งคำขออภัยไปให้เจ้านายของท่านด้วยนะขอรับ ถ้าหากเจ้านายของท่านยินดี ข้าจะเดินทางไปขอโทษเป็นการส่วนตัวด้วยขอรับ”
“อะไรนะ? เงินสองพันตำลึงที่มอบให้เจ้าไป นั่นถือว่าเป็นการให้เกียรติเจ้าแล้ว ท่าทางเจ้าจะไม่ชอบดื่มสุราอวยชัย แต่ชอบดื่มสุราลงทัณฑ์*[1]งั้นสินะ!” คนแปลกหน้าคาดไม่ถึงว่าหัวหน้าชิวจะปฏิเสธ แม้ว่าเขาจะไม่ได้บอกว่าตนเองมาจากตระกูลสวี ทว่ารัศมีของเขาก็น่าเกรงขามเพียงพออยู่แล้ว
หัวหน้าชิวส่งตั๋วเงินคืนด้วยท่าทางเด็ดเดี่ยว “ข้าต้องกลับไปซ้อมการแสดงแล้ว คงต้องขอตัวก่อนขอรับ” เขากล่าว และพาชิวเหลียนหรงเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามอง
“เจ้า… เดี๋ยวก่อน!” คนแปลกหน้าร้องตะโกนด้วยความโกรธ ทว่าจำนวนชาวบ้านที่หลั่งไหลเข้ามา ทำให้เขาไม่สามารถดึงตัวอีกฝ่ายกลับมาได้ ทำได้เพียงกัดฟันและมองทั้งสองคนเดินจากไปด้วยความเกลียดชัง
ชิวเหลียนหรงเดินออกมาจากโรงน้ำชา และพร่ำบ่นกับท่านอาจารย์ว่า “ท่านอาจารย์ เงินแค่สองพันตำลึง พวกเขาน่าจะนำมันไปให้พวกขอทานซะ”
หลังจากละครเวทีเรื่องฉินเซียงเหลียนถูกยกมาจัดแสดง อาจารย์ของเขามอบกำไรให้เหยียนซีมากกว่าสองพันตำลึง ทั้งยังไม่รวมกับของรางวัลจากจวนของสตรีผู้มั่งคั่งบางตระกูล
หัวหน้าชิวส่ายหน้าเพื่อบอกเขาให้หยุดพูด ทว่าภายในใจนั้นกลับเต็มไปด้วยความกังวล ท่าทีของชายผู้นั้นหยิ่งยโสมาก ไม่รู้ว่าใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเขา
เมื่อกลับมาถึงโรงละครพานเจียหยวน เขาก็ไปเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เถ้าแก่โรงละครฟัง “ไม่รู้ว่าขุนนางสูงศักดิ์ท่านไหนมาขัดขวางการแสดงละครของพวกเรา ท่านดูเอาเถิด เป็นเช่นนี้แล้วพวกเราควรจะทำอย่างไรดี?”
ตั้งแต่ละครเรื่องฉินเซียงเหลียนจัดแสดง โรงละครก็แน่นขนัดจนหาที่นั่งได้ยาก เถ้าแก่โรงละครมีเงินเก็บใส่กระปุกทุกวัน เขาจะยอมหยุดการแสดงเพียงเพื่อเงินสองพันตำลึงได้อย่างไร
“เจ้าไม่ต้องห่วง รอให้ท่านอ๋องมาถึงที่โรงละครก่อน ข้าจะไปบอกเรื่องนี้ให้ท่านอ๋องฟังเอง ท่านชอบดูละครเรื่องนี้มาก มาดูการแสดงสามรอบแล้ว และจะมาดูทุกครั้งที่มีเวลาว่าง หากหยุดทำการแสดงโดยไม่บอกล่วงหน้า ท่านคงจะไม่ยอมเป็นแน่”
จงอ๋องมาจากราชวงศ์ กล่าวกันว่าเป็นลูกหลานของจักรพรรดิไท่จู่ และถึงแม้ว่าสายเลือดจะห่างจากจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน ทว่าเขาก็ยังคงได้รับความเคารพอย่างมากในตระกูล ชายชราคนนี้ไม่มีงานอดิเรกอื่น นอกจากการชมละครและฟังเพลง ภายในจวนของเขามีคณะละคร ทั้งยังตั้งโรงละครเอาไว้นอกจวน ดังนั้นเมื่อไหร่ที่บทละครเรื่องใหม่เริ่มทำการแสดง เขาจะต้องแวะเวียนมาดูอยู่เสมอ
ยิ่งไปกว่านั้น เขาโปรดปรานบทละครเรียกน้ำตา ทั้งยังไม่สนใจเรื่องวุ่นวายใด ๆ ตราบเท่าที่บทละครดี เขาก็ยินดีจะมอบรางวัลให้
หัวหน้าชิวรู้สึกโล่งใจเมื่อได้ยินคำรับรองจากเถ้าแก่โรงละคร
ทว่าเขายังคำนึงถึงความปลอดภัย จึงสั่งให้ชิวเหลียนหรงไปส่งข่าวบอกเหยียนซี เกรงว่าหากคนอื่นรู้ว่าบทละครดังกล่าวมาจากเด็กสาว พวกเขาจะไปสร้างปัญหาให้กับนางเช่นกัน
เหยียนซีที่ได้ยินว่าสวีอวี้หรงส่งคนไปข่มขู่หัวหน้าชิว เธอจึงกล่าวขอบคุณชิวเหลียนหรง และถามไถ่ว่าเรื่องนี้จะส่งผลกระทบต่อคณะละครของพวกเขาอย่างไรบ้าง หากบทละครของตนทำให้มีเรื่องเกิดขึ้นกับคณะละครของพวกเขา มันคงจะกลายเป็นความผิดติดตัว
“ไม่หรอกขอรับ อาจารย์ข้าพูดคุยกับเถ้าแก่โรงละครแล้ว พานเจียหยวนไม่ใช่สถานที่เล็ก ๆ ที่แห่งนี้เป็นทรัพย์สมบัติของจงอ๋อง คนธรรมดาทั่วไปไม่กล้าสร้างปัญหาหรอกขอรับ” ชิวเหลียนหรงกล่าวให้ความมั่นใจแก่เหยียนซี
เหยียนซีรู้ว่ากิจการใหญ่เช่นนี้ย่อมต้องมีผู้สนับสนุน และเนื่องจากพานเจียหยวนเป็นทรัพย์สินของวงศ์ตระกูลจงอ๋อง สวีอวี้หรงจึงไม่กล้าแสดงท่าทีหยิ่งทะนง
ฉินเซียงเหลียนจึงทำการแสดงตามปกติ
เหยียนซีพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง และขอให้ผู้เฒ่าหวูโถวเดินทางออกจากเมืองหลวง
และทันทีที่เดินทางออกไป ข่าวลือต่าง ๆ ในเมืองหลวงก็แพร่กระจายไปทั่วทิศใต้ที่มุ่งหน้าสู่หย่งโจว
ชาวบ้านที่เคยดูละครเรื่องดังกล่าวและชาวบ้านที่ยังไม่ได้ดูละคร กำลังพูดถึงเรื่องนี้อยู่ในโรงน้ำชาอวี่เซิ่น ตอนแรกพวกเขากล่าวถึงบทละคร แต่ต่อมาเริ่มกล่าวถึงทั่นฮวาหลางที่เป็นชายจิตใจเลวทราม จนในที่สุดข่าวลือเกี่ยวกับทั่นฮวาเว่ยที่ทอดทิ้งภรรยาไปแต่งงานใหม่กับบุตรสาวใต้เท้าสวีก็แพร่กระจายไปทั่วหย่งโจว
ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ใกล้เคียงกับหมู่บ้านตระกูลเว่ยเคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก่อน หลังจากได้ยินเกี่ยวกับบทละคร พวกเขาก็เริ่มกล่าวถึงเรื่องนี้อีกครั้ง จนในไม่นานภูมิหลังของเว่ยหวนก็กลับตาลปัตรอีกครั้ง โดยเฉพาะผู้อาวุโสที่เคยพบกับนางหวัง พวกเขาพบว่านางช่างคล้ายกับฉินเซียงเหลียน “ตอนนั้นแม่เฒ่าเว่ยก็ใจไม้ไส้ระกำเหลือเกิน ทั้งที่ลูกสะใภ้ทำดีกับนางแท้ ๆ แต่นางก็ยังให้ลูกชายหย่าร้างกับภรรยา น่าเศร้าที่นางหวังใจแข็งไม่เท่าฉินเซียงเหลียน กระโดดแม่น้ำปลิดชีพตนเองซะได้”
วันหนึ่งชาวบ้านที่ออกมาทำไร่ทำนาเริ่มพูดคุยถึงเรื่องนี้กันอีกครั้ง แต่ทันใดนั้นเองเสียงดังสนั่นก็เล็ดลอดออกมาจากหมู่บ้านตระกูลเว่ย เสียงพายุฝนฟ้าคะนองในวันที่แดดจัด เปิดหลุมศพมารดาของเว่ยหวนให้ปรากฏขึ้นอีกครั้ง
หลุมศพพ่อแม่ของเว่ยหวนตั้งอยู่ในหลุมฝังศพของบรรพบุรุษตระกูลเว่ย และทั้งสองหลุมเชื่อมต่อกัน เมื่อเกิดเสียงดัง หลุมศพของแม่เฒ่าเว่ยเปิดออก ทว่าหลุมศพของพ่อเฒ่าเว่ยยังคงปิดสนิทเหมือนเดิม
ชาวบ้านในหมู่บ้านตระกูลเว่ยรีบวิ่งไปดูที่หลุมศพบรรพบุรุษ หลายคนที่เห็นหวาดกลัวมากจนนั่งรวมกันอยู่ตรงนั้น
จนกระทั่งตกกลางคืน เสียงร้องโหยหวนแต่คล้ายร้องไห้ดังอยู่บริเวณหน้าประตูห้องโถงตระกูลเว่ย ผู้นำตระกูลพาคนไปเดินตรวจสอบดูรอบห้องโถงถึงสองครั้ง แต่กลับไม่พบความผิดปกติใด ๆ ขณะที่เสียงแปลกประหลาดยังคงดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
และดังติดต่อกันถึงสามวันสามคืน
จนท้ายที่สุด ชาวบ้านบางคนที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับแม่เฒ่าเว่ย และเคยมีส่วนร่วมในการขับไล่นางหวัง เริ่มรู้สึกทนไม่ไหวอีกต่อไป “หรือ… หรือว่านางหวังจะไม่เต็มใจตายจากไป ถึงได้กลับมาอีก?”
หลังจากที่พูดจบ พวกเขารู้สึกได้ถึงสายลมที่พัดหวิวผ่านใบหู พวกเขารู้สึกหวาดกลัวมาก จนต้องรีบคุกเข่าและหมอบลงตรงนั้น “ไม่ใช่ข้านะ! เป็นเพราะคำพูดของแม่สามีเจ้าต่างหาก!!”
คนที่เอ่ยปากก่อนหน้านี้คุกเข่าลงและกล่าวอะไรบางอย่าง จนเสียงแปลกประหลาดหยุดลง และไม่ปรากฏขึ้นมาในวันที่สี่
อย่างไรเรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องกับพ่อแม่ของเว่ยหวน ผู้นำตระกูลเว่ยจึงไม่กล้าซ่อนเรื่องดังกล่าว เขาส่งคนไปทำความสะอาดหลุมศพและรายงานเรื่องนี้ถึงเมืองหลวง
[1] ไม่ชอบดื่มสุราอวยชัย แต่ชอบดื่มสุราลงทัณฑ์ อุปมาถึง การประพฤติดีด้วยไม่ชอบ ก็คงต้องใช้กำลังบีบบังคับ
MANGA DISCUSSION