บทที่ 185 ไม่อนุญาตให้แสดงละคร
หัวหน้าคณะละครชิวกระตือรือร้นมาก
เขานำบทละครกลับไป จากนั้นก็พาพวกชิวเหลียนหรงไปฝึกซ้อมการแสดงอย่างขะมักเขม้นอยู่นานกว่าครึ่งเดือน
ทันทีที่คณะละครตระกูลชิวมีชื่อเสียงมากขึ้น โรงละครในเมืองหลวงก็ถูกสร้างเสร็จ หลังจากนั้นหัวหน้าคณะละครชิวก็ถูกเชิญให้เข้ามาแสดงละครที่โรงละคร
หากโรงละครมีการทำขึ้นเป็นพิเศษ คณะละครที่จัดแสดงจะต้องไม่ใช่คณะละครรากหญ้าทั่วไป หัวหน้าคณะละครชิวกล่าวตกลง และทำการจัดแสดงละครเรื่องฉินเซียงเหลียน
โรงละครส่งคำเชิญไปให้ลูกค้าประจำและมอบพื้นที่เปาเซียง*[1]ในโรงละครให้พวกเขาก่อนกำหนด อีกทั้งยังมีการติดป้ายหน้าทางเข้าโรงละครเพื่อกระจายข่าวเป็นเวลาหลายวัน
เมื่อถึงวันแสดงละคร ผู้คนมากมายมายืนออกันอยู่ที่บริเวณหน้าทางเข้า ดูมีชีวิตชีวาเป็นอย่างมาก
คณะละครชิวพาบทฉินเซียงเหลียนออกไปกระจายข่าวเป็นเวลาสองวัน เพื่อกระตุ้นความสนใจของชาวบ้าน
การแสดงในวันแรก ครอบครัวของเฉินซื่อเหม่ยค่อนข้างยากจนข้นแค้น ทว่ากลับครองรักอยู่กินฉันสามีภรรยากับฉินเซียงเหลียนเป็นอย่างดี ฉินเซียงเหลียนพึ่งพางานเย็บปักถักร้อยมาสร้างรายได้ ขณะที่เฉินซื่อเหม่ยกำลังอ่านตำราเพื่อเตรียมตัวสอบ เฉินซื่อเหม่ยเล่าเรียนอย่างจริงจังเป็นเวลาสิบปี จากนั้นจึงเดินทางเข้าไปทำข้อสอบในเมืองหลวง และถูกคัดเลือกให้เป็นทั่นฮวาในทันที
บุตรสาวของขุนนางระดับสูงคนหนึ่งชื่นชอบการขี่ม้าไปรอบ ๆ เมืองเป็นอย่างมาก คุณหนูเฉียนจินมักจะพาสาวใช้ไปพบกับทั่นฮวาบนถนนเป็นครั้งคราว และทำสัญญาใจกันอย่างลับ ๆ ขณะเดียวกันเฉินซื่อเหม่ยคอยเขียนบทกวีกล่าวบรรยายความรู้สึกรักใคร่ จนทั้งสองได้แต่งงานกัน
เมื่อถึงเวลาเปิดไฟ ผ้าม่านถูกเปิดขึ้น ทำให้ผู้ชมจำนวนหนึ่งร้องตะโกนออกมาว่าการแสดงควรจบลงภายในคืนนี้ อย่าได้ผัดวันประกันพรุ่ง
เถ้าแก่โรงละครยิ้มแก้มปริด้วยความสุขใจ ทว่าสีหน้ากลับดูขมขื่น เขากล่าวว่ามันดึกเกินไปหากจะแสดงละครต่อให้จบลงภายในค่ำคืนนี้ และจะทำการแสดงต่อในวันพรุ่งนี้ จากนั้นจึงกล่าวขออภัยผู้ชมทั้งหลายและส่งพวกเขากลับบ้านอย่างสุภาพ
จากนั้นเถ้าแก่จึงหันกลับมาพูดคุยกับหัวหน้าคณะละครชิวอย่างมีความสุขว่า “หัวหน้าชิวมีสายตาหลักแหลมนัก คัดเลือกบทละครมาอย่างดี ทักษะการแสดงก็เยี่ยมยอด คณะละครชิวเป็นดั่งไข่มุกคลุกฝุ่น จากนี้ไปโรงละครของเราจะกลายเป็นโรงละครของคณะละครชิวขอรับ!”
วันต่อมา กำหนดการแสดงเดิมจะเริ่มขึ้นในเวลาเที่ยง ทว่าเถ้าแก่กลับส่งคนออกไปกระตุ้นความสนใจของชาวบ้านตั้งแต่ก่อนหน้านั้น ซึ่งก็เป็นไปตามความคาดหวังของเถ้าแก่
อีกทั้งผู้สนับสนุนหลักของโรงละครแห่งนี้คือท่านอ๋องผู้สูงศักดิ์
เถ้าแก่โรงละครสามารถเพิกเฉยต่อผู้ชมคนอื่น ทว่าเขากลับไม่กล้าทำให้ท่านอ๋องชราขุ่นเคืองได้ ทำให้หลังจากพูดคุยกับหัวหน้าคณะละครชิวแล้ว จึงตัดสินใจจะเริ่มการแสดงภายในเวลาเที่ยงวัน
จากต่อมาเป็นฉากที่ฉินเซียงเหลียนรอคอยสามีอยู่ที่บ้าน นางรอคอยจนกระทั่งบิดามารดาผู้แก่ชราสิ้นใจจากไป จากนั้นจึงตัดสินใจพาลูกไปตามหาสามีถึงเมืองหลวง มีหานฉีซึ่งเป็นเพื่อนจากหมู่บ้านเดียวกันคอยช่วยเหลือนางในการตามหาเฉินซื่อเหม่ย ทว่าเฉินซื่อเหม่ยกลับแสร้งทำเป็นจำนางไม่ได้
สุดท้ายหานฉีกลับถูกสังหารจนสิ้นใจตาย ขณะที่ฉินเซียงเหลียงกับลูก ๆ ของนางกำลังรอคอยความตาย พวกนางบังเอิญพบเข้ากับจักรพรรดิที่ปลอมตัวออกมาตรวจตรา เขาช่วยชีวิตนางเอาไว้และสั่งให้องครักษ์พาตัวอีกฝ่ายไปไว้ที่ศาลาว่าการชานเมือง
บุตรสาวของขุนนางอ้อนวอนผู้เป็นบิดา จนทำให้ศาลาว่าการเกิดเรื่องใหญ่โต
นายอำเภอไม่หวั่นเกรงต่ออำนาจ และเปิดศาลถามซักไซ้
ฉากดังกล่าวคือฉากที่ยอดเยี่ยมที่สุด เหยียนซีจึงรับตั๋วที่หัวหน้าชิวมอบให้และตรงดิ่งมายังโรงละคร ทันทีที่เธอเดินเข้ามาในโรงละคร ก็ได้ยินเสียงหัวหน้าชิวที่แสดงเป็นนายอำเภอขยับหมวกอูซาเม่า*[2]กล่าวว่า “ยอมกลับบ้านไปขายมันเทศ ดีกว่าอยู่เป็นขุนนางที่ไม่ทำเพื่อประชาชน!”
ก่อนจะตามมาด้วยเสียงหัวเราะขบขันจากทางด้านล่าง เขานั่งตัวตรง ทุบค้อน และร้องบทละครอันโด่งดัง “ทั่นฮวาโปรดจงเงยหน้าขึ้นมา คำร้องบอกว่าฉินเซียงเหลียน อายุสามสิบสองปี ฟ้องร้องทั่นฮวาในข้อหาลวงโลก ละเมิดกฎหมายบ้านเมือง ประพฤติตนเป็นชายไร้พันธะไปแต่งเป็นเขยขวัญเรือนอื่น ปองร้ายภรรยาและบุตรด้วยจิตใจที่ขาดมโนธรรม และลงมือสังหารหานฉีในวัด…”
เขากล่าวบทเสร็จภายในคราวเดียว เปล่งเสียงทรงพลัง จนได้รับเสียงปรบมือจากผู้ชมดังสนั่นหวั่นไหว ผู้ชมบางส่วนที่นั่งอยู่ด้านหน้าเวที หยิบเมล็ดแตงโมในมือของพวกเขาขึ้นมาและขว้างไปที่เฉินซื่อเหม่ยด้วยความโกรธจัด จนกระทั่งตัวละครเฉินซื่อเหม่ยต้องเข้าไปซ่อนตัวอยู่หลังม่าน
ทันทีที่เขาเข้าไปซ่อนตัว ท่านอ๋องชราที่นั่งอยู่ในพื้นที่เปาเซียงก็ร้องตะโกนด้วยความเกรี้ยวโกรธ “กล้าดีอย่างไร! ข้าจะทุบตีเจ้า ตีเจ้าจนสิ้นใจเสีย!”
สุดท้ายเถ้าแก่โรงละครต้องส่งสัญญาณว่าให้ดำเนินการแสดงต่อ
เหตุการณ์ต่อไปคือการแทรกแซงอำนาจของขุนนาง นายอำเภอถอดหมวกอูซาเม่าออกและเร่งส่งคดีอยุติธรรมไปยังส่วนที่เกี่ยวข้อง จักรพรรดิที่ปลอมตัวออกมาตรวจตราอย่างลับ ๆ แอบฟังอยู่ด้านนอกศาลาว่าการอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินเข้าไปผดุงความยุติธรรมด้านใน และตัดสินใจให้เฉินซื่อเหม่ยถูกตัดศีรษะ ขณะที่ขุนนางและบุตรสาวถูกตัดสินว่ามีความผิด
ในช่วงท้ายของการแสดง ผู้ชมต่างพากันหัวเราะขบขัน สิ่งที่เลวร้ายเพียงอย่างเดียวคือนักแสดงที่รับบทเป็นเฉินซื่อเหม่ยกับบุตรสาวของขุนนางไม่กล้ากลับขึ้นบนเวทีอีกเลย เพราะเกรงกลัวว่าผู้ชมด้านล่างจะขว้างปาสิ่งของใส่พวกเขาอีก
หลังจากที่ชิวเหลียนหรงลบเครื่องแต่งหน้าออกแล้ว เขาก็ยิ้มแย้มขณะวิ่งเข้าไปหาเหยียนซี “เจ้าของร้านเหยียน การแสดงของข้าดีหรือไม่ขอรับ?”
เขาเล่นเป็นเฉินซื่อเหม่ยในวัยเด็ก จากนั้นจึงเล่นเป็นบุตรชายของเฉินซื่อเหม่ยอีกที เหยียนซีพยักหน้า ตอบกลับว่าดี และกล่าวชมเชยอีกสองสามคำ
หัวหน้าชิวยังคงยุ่งอยู่กับการดื่มเหล้าอวยพร ขณะที่เหยียนซีรอจนกระทั่งผู้ชมแยกย้ายกันออกไปแล้ว จึงพาเหยียนหลิ่วกลับไปที่ซอยเม่าจืออย่างดีใจ
หลังจากนั้นไม่นาน ละครเรื่องฉินเซียงเหลียนก็ได้รับความนิยมไปทั่วเมืองหลวง เช่นเดียวกับละครเรื่องหวังเป่าช่วน
เมื่อชาวบ้านดูละครกันมากขึ้น ความเชื่อมโยงต่าง ๆ ก็ง่ายดาย จนกระทั่งวันหนึ่งมีใครบางคนในโรงละครกล่าวอ้างอิงว่าเว่ยหวนหรือรองเจ้ากรมยุติธรรมคือทั่นฮวา และดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้แต่งงานกับภรรยาเก่า แต่มาแต่งงานกับบุตรสาวของใต้เท้าสวีแทน
ด้วยคำบอกเล่าดังกล่าว ชาวบ้านที่รู้เรื่องดีเริ่มย้อนคิดกลับไป ทำให้กลุ่มฮูหยินในเมืองหลวงที่มีอายุไล่เลี่ยกับสวีอวี้หรงได้ยินข่าวลือ และพบว่าเรื่องดังกล่าวเกิดเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว
เมื่อมีคนขอให้คณะละครชิวไปเล่นละคร พวกเขาก็ตอบรับและทำการแสดงตามหน้าที่ จนทำให้เกิดเสียงติฉินนินทาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
การแสดงเล่นวนอยู่หลายครั้ง จนพี่สะใภ้ทั้งสองของสวีอวี้หรงทนไม่ไหวอีกต่อไป พวกนางกลับไปพร่ำบ่นกับสามีที่จวนว่าแม้ไม่มีใครกล่าวออกมาอย่างชัดเจน ทว่าสายตาของชาวบ้านกลับเปลี่ยนแปลงไป เสียงกระซิบหยุดลงทุกครั้งที่เห็นพวกนาง และนั่นทำให้พวกนางอึดอัดใจ แต่กลับไม่สามารถโจมตีออกไปโดยตรงได้
ด้วยเหตุนี้ พวกนางทั้งสองจึงไปเยี่ยมเยียนสวีอวี้หรงที่จวนเว่ย เพื่อแสดงความนัยบางอย่าง
สิ่งที่สวีอวี้หรงหวาดกลัวมากที่สุดคือเรื่องเว่ยหวนมีภรรยาอยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อใดก็ตามแต่ที่เรื่องนี้ถูกกล่าวถึง นางจะรู้สึกเหมือนมีอะไรติดคออยู่ทุกครั้ง
นางไม่เคยออกไปไหนเลยตั้งแต่ตั้งครรภ์เมื่อปีที่แล้ว และเรื่องการตั้งครรภ์ของหานเซียงเมื่อช่วงสิ้นปีทำให้นางรู้สึกไร้ศักดิ์ศรีอีกต่อไป นางจึงอยู่ในจวนตลอดเวลา ยกเว้นจะมีงานเลี้ยงที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
ตอนนี้จวนสะอาดเรียบร้อยจนนางเพิ่งจะหายใจได้โล่งคอ ทว่าพี่สะใภ้ทั้งสองคนกลับหยิบยกประเด็นในอดีตขึ้นมา
สวีอวี้หรงไม่เคยดูละครเรื่องนี้ ทว่ากลับไม่ต้องการเอ่ยขอให้พี่สะใภ้ทั้งสองคนไปดูแทน นางเป็นคนแข็งแกร่ง อย่างไรก็ไม่ต้องการถูกชาวบ้านหัวเราะเยาะใส่ จึงส่งแม่นมและพี่สะใภ้ทั้งสองคนไปชมละครที่โรงละครพานเจียหยวน
แม่นมมีหน้าที่ต้องเข้าไปดูละคร ทว่านางกลับชื่นชอบมันทันทีที่เริ่มการแสดง นางกับพี่สะใภ้ทั้งสองก่นด่าเฉินซื่อเหม่ยด้วยความโกรธเคืองตลอดทางกลับ จนกระทั่งกลับมาถึงจวน พวกนางจึงมองดูสวีอวี้หรงด้วยหัวใจที่เต้นระรัว
“แม่นม ละครเป็นอย่างไร?”
แม่นมไม่กล้าปิดบัง ดังนั้นนางจึงเล่าบทละครออกมาทั้งหมด จนกระทั่งนางเล่าว่าบุตรสาวขุนนางส่งคนไปลงมือสังหาร สวีอวี้หรงก็ลุกขึ้นยืนด้วยความโกรธเคืองทันที “บทละครอะไรกัน? มันมาจากไหนกัน? ไปตรวจดูให้ข้า ส่งคนไปค้นหาเสีย!”
“ฮูหยิน คณะละครแห่งนี้เป็นคณะละครท้องถิ่นในเมืองหลวงเจ้าค่ะ กำลังทำการแสดงอยู่ที่พานเจียหยวน”
ร้านค้าจะสามารถตั้งหลักในหัวเมืองชั้นในได้จำต้องมีที่อาศัยพึ่งพา เช่นเดียวกับร้านเครื่องประดับ ร้านเขียนพู่กัน และร้านภาพวาดอีกหลายแห่งที่อยู่ในหัวเมืองชั้นใน ร้านค้าพวกนี้ย่อมได้รับการสนับสนุนจากนาง พวกเขาจะส่งเงินปันผลให้นางเพื่อขออำนาจคุ้มครองทุกปี
ทว่าพานเจียหยวนกลับเป็นโรงละครที่ใหญ่ที่สุดในเขตเมืองชั้นใน สวีอวี้หรงจึงสูดลมหายใจและบอกแม่นมว่า “เจ้านำเงินไปให้นักแสดง บอกเขาว่าหลังจากนี้ไปไม่อนุญาตให้แสดงละครเรื่องนี้อีก!”
[1] เปาเซียง คือ คือที่นั่งทางด้านฝั่งขวาของโรงละครหรือโรงงิ้ว มักจะอยู่บริเวณชั้นสอง มีราคาแพงที่สุด เนื่องจากเป็นจุดที่ผู้ชมสามารถเห็นการแสดงของตัวละคร และเห็นตัวละครเดินออกมาจากม่านได้ชัดเจนที่สุด
[2] หมวกอูซาเม่า คือ หมวกผ้าแพรบางสีดำที่ขุนนางโบราณมักจะสวมใส่ ใส่เพื่อเปรียบเทียบตำแหน่งขุนนาง
MANGA DISCUSSION