บทที่ 183 พรสวรรค์ในการทำมาหากิน
เนื่องจากละครเรื่องใหม่ของคณะตระกูลชิวได้รับความนิยมจากฮูหยินตระกูลต่าง ๆ
การชมละครเป็นกิจกรรมเชื่อมความสัมพันธ์ที่สำคัญสำหรับเครือญาติสตรีตามเมืองต่าง ๆ พวกนางมักได้ดูละครมาหลากหลายเรื่องแทบจะทั้งหมดที่เล่นกันอยู่ เมื่อมีละครเรื่องใหม่ถูกนำมาแสดงอย่างกะทันหัน และยิ่งกว่านั้นยังเป็นช่วงวันตรุษ จึงทำให้การชมละครมีชีวิตชีวาคึกคักยิ่งกว่าเดิม
ละครเรื่องนี้เชิดชูเรื่องความภักดี ความกตัญญู และคุณธรรม ในตอนจบเป็นฉากการพบกันอีกครั้งอย่างมีความสุข ซึ่งเป็นตอนจบที่เหมาะกับทุกเพศทุกวัย
คณะละครตระกูลชิว เดิมเป็นคณะละครโรงเล็ก แต่เนื่องจากบทที่ได้รับมามีความยาวมากกว่าปกติ ละครจึงต้องมีการพักกลางเรื่อง เหล่าผู้ชมที่ส่วนใหญ่เป็นสตรีก็อดไม่ได้ที่จะเริ่มสนทนากันระหว่างรอเวลาให้มีการเล่นต่อ
ชิวเหลียนหรงกล่าวว่าหัวหน้าคณะชิววางแผนจะมาที่นี่ก่อนปีใหม่ แต่คณะตระกูลชิวกลับไม่มีเวลากลับไปฉลองปีใหม่ที่ซอนฮวยซู่เสียด้วยซ้ำ
หลังจากวันที่สิบห้า ของเดือนหนึ่ง ในที่สุดหัวหน้าคณะชิวก็มีเวลามาที่เรือน เมื่อเขาเห็นเหยียนซีก็รีบโค้งคำนับทันที “เจ้าของร้านเหยียน ขอให้ให้ท่านมีความสุขไปจนแก่เฒ่า! คณะละครของเราสามารถมีวันนี้ได้ก็เพราะท่าน ต้องขอบคุณเจ้าของร้านเหยียนมากขอรับ”
ตอนที่พบกันครั้งแรก หัวหน้าชิวสวมเสื้อคลุมผ้าฝ้ายครึ่งตัว ตอนนี้เมื่อเขามาเยี่ยมที่เรือน กลับเปลี่ยนไปแต่งกายด้วยผ้าทอประณีต ที่ปกเสื้อมีขนสีดำและเครื่องประดับหยกที่เอว เขาดูเป็นชายมั่งคั่งที่อยู่อย่างเกียจคร้านก็ไม่อดตายขึ้นมา ทว่าผิวพรรณของเขาไม่ได้ดีเท่าครั้งแรกที่พบกัน เขาดูผอมแห้งและผิวซีดลงเล็กน้อย มีรอยคล้ำเห็นชัดที่ใต้ตา แต่เมื่อดูจากท่าทางที่กระฉับกระเฉงของชายวัยกลางคนแล้ว ก็เห็นได้ชัดว่านี่เป็นความยุ่งเหยิงที่เต็มไปด้วยความสุข
‘หวังเป่าช่วน’ ที่แสดงโดนคณะละครตระกูลชิวเป็นที่พูดถึงในร้านเนื้อตุ๋นของเหยียนซี นั่นแสดงให้เห็นว่าละครเรื่องนี้เป็นที่รู้จัก และมีคนจำนวนไม่น้อยที่กำลังรอคอยโอกาสในการเข้าชมความสนุกสนานด้วยตัวเองอยู่
แน่นอนว่าเหยียนซีไม่ได้รับของขวัญจากเขา เธอหันไปด้านข้างและเชิญให้หัวหน้าคณะเข้าไปนั่งในห้องโถงอย่างสุภาพ
เหยียนหลิ่วเอาถ้วยชามาวางที่โต๊ะ
หัวหน้าคณะละครชิวจิบชาอึกใหญ่ จากนั้นก็เอากระดาษสองสามแผ่นออกมาจากแขนเสื้อส่งให้เหยียนซีด้วยรอยยิ้ม “เจ้าของร้านเหยียน ก่อนหน้านี้ข้าวางแผนจะกลับมาที่นี่ นี่คือรายการว่าจ้างทั้งหมดขอรับ ข้าไม่กล้าปฏิเสธคำว่าจ้างจากพวกขุนนางนัก นอกจากนี้ก็ยังวางแผนจะรับงานเพิ่มเติม เผื่อให้เจ้าของร้านเหยียนได้รับผลกำไรมากขึ้นด้วย”
เขาวางกระดาษลง “โชคดีที่เรื่องราวดี ๆ ที่เจ้าของร้านเหยียนนำมาได้รับความสนใจมาก!”
เหยียนซีเห็นว่าสิ่งที่หัวหน้าคณะชิววางไว้ที่โต๊ะเป็นตั๋วเงินและยังมีมูลค่าใบละร้อยตำลึง
เธอเอาตั๋วเงินเหล่านั้นออกมาดูคร่าว ๆ และพบว่าตั๋วเงินที่มีมูลค่ามากที่สุดคือห้าร้อยตำลึง และใบละร้อยตำลึงก็คือใบที่มูลค่าน้อยที่สุด เมื่อนับรวมครบทุกใบแล้วตั๋วเงินทั้งหมดมีมูลค่ากว่าสองพันตำลึง
เธอทำงานอย่างหนักเพื่อบริการลูกค้า และขายอาหารที่ร้านเนื้อตุ๋นแห่งนี้ ยังมีรายได้เพียงสองร้อยตำลึงต่อเดือน ต้องตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อซักผ้าเตรียมอาหาร แต่เพียงแค่บทละครหนึ่งเรื่องที่เขียนขึ้น กลับสามารถทำเงินกว่าสองพันตำลึงเชียวหรือ!?
ผลลัพธ์ที่ได้จากการใช้แรงกายทำงานยังไม่เท่ากับการลอกเลียนแบบอย่างสร้างสรรค์และมีศิลปะ
ไม่แปลกเลยว่าทำไมคนในยุคปัจจุบันถึงได้มีความปรารถนาที่อยากจะเป็นนักแสดงกันมากนัก อาจจะเป็นเพราะว่าอาชีพนักแสดงทำรายได้มหาศาลมาตั้งแต่สมัยโบราณ
ไม่! ไม่! เธอต้องหนักแน่นเข้าไว้ จะมองแค่เรื่องผลกำไรอย่างเดียวไม่ได้! ผู้คนยังต้องอาศัยความสามารถในการทำมาหากิน ตนร้องเพลงไม่ได้ แยกโทนเสียงก็ไม่เป็น ไม่แม้แต่จะสามารถเลียนแบบเสียงร้องของม้าด้วยซ้ำ
เหยียนซีสงบใจแล้วมองไปที่ตั๋วเงินในมือ …หรือเธอจะลองเปลี่ยนอาชีพดูดีนะ จะถอดใจจากมันได้อย่างไรกัน
หัวหน้าคณะชิวมีความสุขมากที่ได้เห็นการแสดงออกอย่างตื่นเต้นของเหยียนซี “นี่คือสี่ส่วนจากรายได้ที่มาจากการแสดงเรื่องหวังเป่าช่วนทั้งหมดของพวกเราขอรับ”
“ไม่ใช่หนึ่งส่วนงั้นหรือเจ้าคะ?” เหยียนซีรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินว่าหัวหน้าชิวแบ่งเงินให้ตนถึงสี่ส่วน
“เจ้าของร้านเหยียน ท่านสมควรได้รับสิ่งนี้แล้วขอรับ คณะละครตระกูลชิวของเราสามารถทำเงินได้มากตั้งแต่เดือนแรกของปีเช่นนี้ ต้องขอบคุณบทละครที่ท่านส่งให้เรา และยังเป็นคนต้นคิดอะไรมากมายให้กับเราอีกด้วยในระหว่างที่ทำการซ้อม” หัวหน้าคณะชิวโบกมือของเขา เพื่อหยุดไม่ให้เหยียนซีเอาเงินนั้นคืนมา “เงินนี่เล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับความรู้สึกขอบคุณของพวกเรา เอาเป็นว่าหลังจากนี้ข้าจะมอบส่วนแบ่งให้ท่านตามที่ตกลงกันไว้แต่แรกก็แล้วกันขอรับ”
เพื่อให้การแสดงออกมาดีที่สุด เหยียนซีจึงมีส่วนร่วมในการออกความคิดในละครเรื่องนี้ระหว่างทำการซ้อมหลายครั้ง อย่างเช่นการร้องงิ้วในยุคนี้จะตรงตามรูปแบบดั้งเดิมโดยไม่ได้ปรับปรุงอะไร แต่เธอเคยดูงิ้วรุ่นใหม่ ๆ อย่างงิ้วเซ่าซิง ที่มีปี้พ่าย และฉี่พ่าย ซึ่งมีรูปแบบที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง
ดังนั้นเธอจึงแนะนำพวกเขาว่าต้องเปลี่ยนรูปแบบการร้อง และเลือกเพลงให้เหมาะสมกับเสียงของนักแสดงและใช้น้ำเสียงที่หลากหลายยิ่งขึ้น
หัวหน้าชิวลองเอาคำแนะนำนั้นไปปรับใช้และพบว่ามันได้ผลมาก ในอดีตคณะของเขาไม่ได้เป็นที่รู้จักมากนัก เพราะทุกคนมองว่านักแสดงดูธรรมดาไม่ต่างจากที่อื่น ๆ แต่ตอนนี้มีทั้งเนื้อเรื่องใหม่ และการร้องการแสดงที่สดชื่นมีชีวิตชีวายิ่งกว่าเดิมมาก
เพราะมีทั้งสองสาเหตุนี้ทำให้คณะละครเล็ก ๆ ที่ไม่ได้มีชื่อเสียงมากนักกลับโด่งดังขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ราวกับดาวดวงใหม่ที่ฉายแสงขึ้นมาจากมุมมืดที่ใครต่างไม่คาดหมาย
เหตุผลที่หัวหน้าคณะชิวยอมเพิ่มส่วนแบ่งให้เหยียนซีมากขึ้นเพราะเขาต้องการบทใหม่ ๆ อีก
หลังจากที่เหยียนซีคิดแล้วก็ไม่ได้ปฏิเสธ “เนื่องจากผลตอบรับของคณะละครท่านออกมาดีมาก ข้าก็ยังมีบทอยู่อีกหนึ่งเรื่อง แต่จะเอามาให้ท่านดูอีกครั้งหลังจากนี้”
“หากเป็นเรื่องที่เจ้าของร้านเหยียนนำมาให้ แน่นอนว่าต้องเป็นเรื่องที่ดีอย่างไม่ต้องสงสัยขอรับ” ดวงตาของหัวหน้าชิวเป็นประกายขึ้นมา
เขาเตรียมการเอาไว้ในใจว่าหลังวันที่สิบห้า เดือนหนึ่ง บรรดาเจ้าหน้าที่ระดับสูง และเหล่าขุนนางที่ชอบชมการแสดงจะต้องได้ดูการแสดงนี้ และเมื่อเข้าเดือนสอง คณะละครจะเริ่มตระเวนออกไปทำการแสดงยังชานเมืองหลวงเพื่อรับงานในช่วงเทศกาลฤดูใบไม้ผลิ
และหลังจากการแสดงในชานเมืองสิ้นสุดลง พวกเขาก็จะกลับมารับบทเรื่องใหม่จากเหยียนซีเพื่อเริ่มการซ้อมในเดือนสาม
“ข้ามาวันนี้เพื่อพุดคุยกันให้เรียบร้อย พวกเรายังมีงานอีกเล็กน้อยในวันพรุ่งนี้ ดังนั้นข้าจะไม่รบกวนเจ้าของร้านเหยียนแล้วขอรับ” หัวหน้าชิวมอบส่วนแบ่งแก่นางเรียบร้อยก็ขอตัวกลับไปด้วยรอยยิ้ม
เหยียนซีรู้ดีว่าเขากำลังยุ่งมาก จึงเอาอาหารเสียบไม้ต้มให้เขาด้วย “ฝากนี่ให้เหลียนหรงด้วยนะเจ้าคะ บอกเขาว่าเป็นของฝากจากข้า”
หลังจากส่งหัวหน้าชิวกลับไปแล้ว เธอก็เอาตั๋วเงินออกมาดูอย่างมีความสุข และเดินไปมารอบ ๆ ห้องอย่างเบิกบานกับผลจากการทำงานที่ได้มาอย่างไม่คาดคิด
หลิวเหิงไปที่วัดผู่จี้ เพื่อสังเกตการทำจารึกตามทางของวัด และเมื่อกลับมาก็พบว่าเหยียนซีดูมีความสุขจนแทบจะลอยได้ เขาจึงสับสนเล็กน้อย “อะไรทำให้เจ้ามีความสุขขนาดนั้นกัน”
“พี่เอ้อร์หลางดูนี่สิเจ้าคะ” เหยียนซีโบกตั๋วเงินในมือไปมาอย่างมีความสุข “บทขับร้องงิ้วของเราทำเงินได้เยอะ หัวหน้าคณะชิวเลยเอาส่วนแบ่งมาให้ถึงสองพันตำลึง”
ตอนนี้เหยียนซีกินดีอยู่ดี มีเสื้อผ้าสวมใส่อบอุ่น หลังจากผ่านไปอีกปี ส่วนสูงของเธอก็เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และเริ่มที่จะโตเป็นเด็กสาวแล้ว
เธอเอ่ยอย่างเบิกบาน “ตอนนี้เราไม่เพียงแค่หาเลี้ยงชีพให้อยู่อย่างไม่อดอยากด้วยแรงกายเท่านั้น แต่ยังสามารถหาเงินจากการเขียนอักษรได้อีกด้วยนะเจ้าคะ!”
นี่นับว่าเป็นพรสวรรค์ในการทำมาหากินหรือไม่!
หลิวเหิงอดไม่ได้ที่จะยิ้มขำ ทั้งช่วงเวลาที่มีความสุขและช่วงเวลาอันขมขื่นทนทุกข์ ก็มีเพียงเหยียนซีเท่านั้นที่ไม่เคยย่อท้อ ต่อให้ต้องทำงานหนัก มีน้ำตาอาบแก้ม นางก็เพียงปาดน้ำตาออกไป ไม่เคยสักครั้งที่จะขอยอมแพ้ เด็กหญิงทำงานหนักมากมาตลอด เช่นนั้นแล้วบุรุษอย่างเขาจะสู้สตรีอย่างเธอได้อย่างไรกัน
เขาเอายันต์คุ้มภัยที่ได้จากวัดผู่จี้ขึ้นมา “ปีนี้เป็นปีครบหนึ่งรอบของเจ้า ข้าจึงขอยันต์มาให้”
การได้รับของขวัญเป็นเรื่องดีเสมอ ปกติแล้วเขาไม่ได้นิยมคาดเข็มขัดแดงมงคลหรือทำอะไรตามปีเกิด เพียงไปบูชาไท่ซุ่ย และขอยันต์คุ้มภัยจากวัดเท่านั้น
ในวันเกิดตอนอายุครบสิบสองปีของชาติที่แล้ว แม่ของเธอล้มป่วยและไม่ได้มีเวลามาสนใจเรื่องนั้น และเมื่อแม่จากโลกนี้ไปก็ไม่มีใครที่สนใจเรื่องวันเกิดของเธออีก ในสองชีวิตที่ผ่านมา นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนเอาเครื่องรางครบรอบวันเกิดมามอบให้
เหยียนซีอยากจะหัวเราะอย่างดีใจ แต่ก็แอบรู้สึกสงสัยไม่น้อย เครื่องรางที่ได้มานั้นเป็นกระดาษสีเหลืองพับเป็นรูปสามเหลี่ยม เมื่อนึกถึงค่าน้ำมันงาที่ยังไม่ได้ของวัดผู่จี้แล้ว เหยียนซีก็อารมณ์ไม่ดีขึ้นมา และสงสัยว่าหลิวเหิงได้ขอให้เจ้าอาวาสมอบส่วนลดให้หรือไม่
หลิวเหิงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ เมื่อเห็นว่านางถือยันต์ด้วยสีหน้าขมขื่นเล็กน้อย “วันนี้ข้าไปคัดลอกคัมภีร์สองสามหน้าที่วัด นักบวชที่วัดจึงไม่ได้เรียกเก็บค่าน้ำมันงาจากข้าหรอก”
MANGA DISCUSSION