บทที่ 179 จะเกิดอะไรขึ้นต่อไป
เนื่องจากเครื่องปรุงและน้ำจิ้มแบบถุงขายดี ร้านเนื้อตุ๋นอวี่เซิ่นจึงกลับมาคับคั่งด้วยลูกค้าอีกครั้ง เหยียนซีรู้สึกดีมากทุกครั้งที่ได้เห็นภาพเหล่านี้
วันนั้นเธออยู่ที่ร้าน มีเด็กหนุ่มมากหน้าหลายตามาซื้ออาหารเสียบไม้ต้ม ไข่ต้มชา และเครื่องปรุงแบบซอง
เด็กหนุ่มคนนี้เองก็เป็นลูกค้าประจำเช่นกัน เขามาที่นี่เวลานี้ทุกวันและไม่ได้ซื้ออะไรมากมาย เพียงแค่ซื้ออาหารต้มเสียบไม้ ไข่ต้มชา และน้ำจิ้มเนื้อสับขึ้นช่ายหนึ่งซอง
สภาพอากาศของเดือนสิบเอ็ดเริ่มมีน้ำแข็งเกาะบาง ๆ อยู่บนถนน เหยียนซีเห็นว่าเขาสวมเพียงเสื้อคลุมผ้าฝ้ายบาง ๆ ท่ามกลางสภาพอากาศที่หนาวเย็น ทั้งยังมีควันขาวออกมาจากปากยามหายใจ จึงต้อนรับเขาด้วยน้ำแกงและอาหารเสียบไม้ต้มร้อน ๆ
เด็กหนุ่มซดน้ำแล้วถอนหายใจออกมาอย่างพึงพอใจ “อร่อยจริง”
คนหน้าตาดีมักจะได้ประโยชน์จากมัน เมื่อเห็นท่าทางเช่นนั้น เหยียนซีก็พูดด้วยรอยยิ้มขึ้นมา “งั้นข้าจะตักให้อีกชามหลังกินหมดนะเจ้าคะ”
เด็กหนุ่มยิ้มจนเห็นฟันขาว และยังไม่ยอมเข้าไปในร้าน เขายืนอยู่ข้างโต๊ะต้อนรับ วางชามลงบนนั้นกินอาหารเสียบไม้ต้ม แล้วจิบน้ำแกงหนึ่งคำ หลังจากกินต่อไปสักพักก็กินอาหารเสียบไม้ต้มจนหมด ก่อนจะเริ่มกินไข่ต้มชา
เขาปอกเปลือกไข่ต้มอย่างระมัดระวัง ก้มหน้าลงมา ค่อย ๆ ลอกเปลือกไข่ออก ทว่าจู่ ๆ ก็มีมือของใครคนบางคนยื่นมาจากด้านข้าง แล้วตบหัวเขา เด็กหนุ่มหันไปมองด้วยความตกใจ และพบว่าเป็นชายวัยกลางคนรูปร่างผอมท่าทางโกรธมากยืนอยู่
เด็กหนุ่มถอยหลังไปสองก้าว แต่ถูกชายวัยกลางคนคว้าตัวเอาไว้ก่อน “แอบกินอีกแล้ว แอบกินอีกแล้วงั้นหรือ!” เขาเงื้อไม้เท้าในมือขึ้น ระหว่างที่พูดออกมาอย่างนั้น
เหยียนซีตะลึงอยู่ที่โต๊ะต้อนรับ และต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะกลับมารู้สึกตัวได้ เมื่อเห็นไม้เท้าของชายวัยกลางคนถูกเงื้อขึ้นมา เด็กหญิงก็รีบยกแขนขึ้นห้ามปราม และไม่สามารถทนดูอยู่เฉย ๆ ได้อีกต่อไป “โอ๊ะ! อย่าตีเขาเลยเจ้าค่ะ ถ้ามีอะไรจะพูดก็พูด แต่อย่าทำร้ายกันสิเจ้าคะ!” ว่าจบก็เปิดประตูออกไปเพื่อจะหยุดชายกลางคน
แต่เธออ่อนแอเกินไป เมื่อพยายามเข้าไปห้ามก็เกือบจะถูกชายวัยกลางคนผลักลงกับพื้น
เหยียนหลิ่วได้ยินความเคลื่อนไหวในร้าน และเมื่อเห็นว่าเหยียนซีกำลังจะล้มลง ก็รีบเข้ามาพยุงเด็กหญิงด้วยมือเพียงข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างก็จับแขนชายวัยกลางคนคนนั้นมาบิดและกดไว้กับหลังของเขาในชั่วพริบตา
ชายคนนั้นร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
เมื่อเด็กหนุ่มเห็นอย่างนั้น ก็รีบยื่นมือไปดึงเหยียนหลิ่วโดยที่ไม่ทันได้ปาดน้ำตาตัวเอง “ปล่อยเถอะ ปล่อยท่านอาจารย์ของข้าเถอะขอรับ!”
เขาพบว่าถึงเหยียนหลิ่วจะสูงกว่าตัวเองไม่มากนัก แต่กลับไม่สามารถทำอะไรนางได้เลย จึงเปลี่ยนไปมองเหยียนซีเพื่อขอความช่วยเหลือแทน “เจ้าของร้านเหยียน ช่วยปล่อยท่านอาจารย์ข้าได้หรือไม่ขอรับ ท่านไม่ได้ตั้งใจจะทำอย่างนั้น ทั้งหมดเป็นความผิดข้าเอง….”
สองคนนี้เป็นอาจารย์กับศิษย์กันงั้นหรือ?
เหยียนซีมองทุกคนสลับกันไปมา เธอไม่ใช่เจ้าหน้าที่ ดังนั้นจึงไม่สามารถห้ามปรามไม่ให้ใครตีลูกศิษย์ได้ เด็กหญิงจึงเอ่ยปาก “เสี่ยวหลิ่ว” และส่งสัญญาณให้เหยียนหลิ่วปล่อยมือออก
เหยียนหลิ่วผลักชายคนนั้นออกไปด้วยความโกรธ “มาถึงร้านของเราเพียงเพื่อรังแกเด็กงั้นหรือ!? อย่ามาหาเรื่องที่นี่ หากเจ้าต้องการจะทุบตีเด็ก ทำไมไม่กลับไปทำในที่ของตัวเอง”
ชายวัยกลางคนสงบลงหลังจากนั้น จัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยแล้วทำความเคารพเหยียนซี “ต้องขอโทษแม่นางน้อยที่ทำให้วุ่นวายด้วยขอรับ”
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ไม่เป็นไร!” เหยียนซีไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย เพียงแค่เกือบจะล้มลงเท่านั้น และนั่นไม่ใช่สิ่งที่เธอให้ความสนใจเท่ากับสองคนนี้ “นายท่าน ทำไมไม่ให้เด็กคนนี้เอาน้ำอุ่นล้างหน้าเสียหน่อยเล่าเจ้าคะ” เมื่อน้ำตาไหลอาบแก้มในช่วงอากาศหนาวเย็น มันจะทำให้ผิวแตกง่ายขึ้นยามถูกลมพัด
ชายคนนั้นหันกลับมาและเมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มถูกดึงที่หลังคอเสื้อ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปและเอาตัวเด็กหนุ่มมาดูใกล้ ๆ หลังจากพบว่าผิวหนังไม่ได้เกิดรอยแผล เขาก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
เหยียนซีเชิญเขาด้วยท่าทีมีมารยาท ชายวัยกลางคนทำร้ายเด็กหนุ่มด้วยความโกรธและตอนนี้เขาก็กังวลไม่น้อย จึงรีบตอบตกลงทันที
เหยียนหลิ่วพาเด็กหนุ่มไปล้างหน้า ส่วนเหยียนซีก็ขอให้ชายคนนั้นนั่งรอ
ชายวัยกลางคนเป็นคนช่างพูด ปรากฏว่าเขาคือคนสกุลชิวและเป็นหัวหน้าคณะละครโรงเล็ก ๆ ที่เช่าพื้นที่ข้าง ๆ ซอยฮวยซู่ ส่วนเด็กหนุ่มคนนี้เป็นเด็กที่เขารับมาเลี้ยงดูและฝึกฝน เพื่อที่ในอนาคตจะให้สืบทอดกิจการและชื่อบนเวทีของตนเอง ชื่อของเขาก็คือชิวเหลียนหรง
“อาหารที่ขายอยู่ในร้านของเจ้าของร้านอร่อยมากจริง ๆ เจ้าเด็กนั่นไม่สามารถคุมปากตัวเองได้ จึงได้แอบออกมาซื้ออาหารที่นี่กินหลายครั้ง วันนี้ข้ากลับไปแต่เช้าและเห็นว่าออกมาอีกแล้ว จึงไล่ตามมาและเกิดเรื่องที่ร้านของเจ้าของร้านนั่นแหละขอรับ”
จากนั้นเขาก็อธิบายอย่างระมัดระวัง “เด็กคนนั้นอยู่ในวัยเหมาะสมที่จะต้องเริ่มฝึกร้องเพลง อาหารที่กินก็ต้องเป็นของเบา ๆ ถ้าคอมีปัญหา ชีวิตเขาคงจบสิ้นแน่”
หัวหน้าคณะชิวมีน้ำเสียงที่ไพเราะ เขาพูดอย่างสุภาพ และเมื่อดูใกล้ ๆ แล้วก็พบว่าหัวหน้าชิวก็หน้าตาดีถึงขั้นที่ว่าตอนทำการแสดงต้องเป็นชายหนุ่มผมดำขลับผิวอมชมพูตามตำราอย่างแน่นอน
เหยียนซีเข้าใจแล้วว่าเพื่อประโยชน์ทางด้านงานแสดง เด็กคนนั้นจึงต้องควบคุมอาหารการกิน “อย่างนี้นี่เอง ไม่ต้องกังวลนะเจ้าคะหัวหน้าชิว อาหารเสียบไม้ต้มของข้าค่อนข้ามีรสชาติอ่อน และหลังจากนี้ถ้าเขามาซื้ออาหารอีก ข้าจะเตือนเขาให้เอง และจะไม่ขายให้เขาอีกแล้วเจ้าค่ะ”
หัวหน้าชิวกล่าวขอบคุณซ้ำแล้วซ้ำเล่า อาจจะเป็นเพราะต้องการชดเชยที่มาก่อความวุ่นวาย จึงได้ซื้ออาหารเสียบไม้ต้มสองสามอย่างที่เหยียนซีแนะนำว่าเป็นของรสอ่อน
เขากินด้วยท่าทางที่สง่างาม และเมื่อเหยียนหลิ่วออกมาพร้อมกับชิวเหลียนหรง เขาก็ยังกินเต้าหู้ไม่เสร็จด้วยซ้ำ
ชิวเหลียนหรงล้างหน้า เดินมาหาแล้วเอ่ยเสียงเบา “ท่านอาจารย์ ข้าผิดไปแล้วขอรับ”
เห็นชัดว่าหัวหน้าชิวรักเด็กคนนี้มาก เขาลูบหัวลูกศิษย์และเอาอาหารเสียบไม้ต้มที่เหลือยื่นให้ “นี่เป็นของรสอ่อนจริง ๆ เจ้ากินได้”
ชิวเหลียนหรงมีความสุขมาก เอาอาหารเข้าปากสองสามคำแล้วกลืนลงคอ “ท่านอาจารย์วันนี้ท่านออกไปข้างนอก มีละครต้องแสดงหรือไม่ขอรับ”
ในเมืองหลวงแห่งนี้ คณะละครใหญ่ ๆ จะมีโรงละครไว้สำหรับแสดงโดยเฉพาะ แต่คณะของเจ้าของคณะชิวเป็นเพียงคณะละครเล็ก ๆ ต้องตระเวนไปตามโรงละครต่าง ๆ เพื่อทำการแสดง ปกติโรงละครต้องมีการแสดงตลอดทั้งวัน แต่คณะละครขนาดใหญ่ต้องมีเวลาพักเพื่อรักษาเสียงของนักแสดงและเพื่อสร้างความตื่นเต้นแก่ผู้ชม พวกเขาจึงไม่ได้ทำการแสดงทุกรอบ
โรงละครจึงต้องจัดหาคณะละครอื่น ๆ มาแสดงเพื่อให้ผู้ชมมีละครชมอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นเมื่อมีช่วงที่ขาดนักแสดง พวกเขาก็จะจ่ายเงินเพื่อจ้างคณะละครเล็ก ๆ หนึ่งหรือสองคณะ เพื่อให้มีละครต่อเนื่องให้ผู้ชมรับชม
คณะของหัวหน้าชิวมีสมาชิกไม่ได้มากมายนัก และเขาก็ใจดีกับคนในคณะมาก มีส่วนแบ่งให้สมาชิกมากกว่าคณะละครอื่น ๆ ทุกคนจึงมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แต่เพราะไม่ได้มีเงินจ้างคนมาเขียนโคลงฉันท์ในการขับร้องเพลงละครใหม่ ๆ จึงได้แต่แสดงไปตามบทละครที่มีอยู่เท่านั้น
เหยียนซีเข้าใจว่าทุกอย่างไม่ได้ง่ายดายเลย หลังจากที่เธอส่งทั้งสองกลับไปที่หน้าร้านแล้วก็กลับมาที่โต๊ะต้อนรับเพื่อทำงานต่อ
ด้วยสายตาที่เฉียบคม เหยียนหลิ่วเห็นว่าหานเซียงเดินออกมาพร้อมกับคนรับใช้อย่างรวดเร็ว “คุณหนูเจ้าคะ ท่านหมอบอกว่าหานเซียงกำลังตั้งครรภ์บุตรสาว”
“เจ้ารู้ได้อย่างไร”
“เมื่อวานข้าเห็นว่าผู้หญิงคนนั้นมาหาท่านหมอในซอย จึงได้ไปแอบฟังเจ้าค่ะ”
เหยียนซีครุ่นคิด การที่เหยียนหลิ่วบอกว่านางแอบฟังนั้น เห็นได้ชัดว่าคงไปซ่อนตัวอยู่ตามพงหญ้าหรือหมอบอยู่บนหลังคาบ้านคนอื่นทำนองนั้นแน่ ๆ
“ท่านหมอจับชีพจรแล้วบอกได้เชียวหรือว่าเป็นชายหรือหญิง”
“ถ้าเป็นท่านหมอที่มีความสามารถมาก ๆ จะสามารถบอกได้เจ้าค่ะ ข้าเคยได้ยินเรื่องนี้จากในจวนมาก่อน” เหยียนหลิ่วพูดอย่างมั่นใจ
เหยียนซีรู้ว่าเธอไม่สามารถประเมินแพทย์แผนจีนต่ำเกินไปได้
“สาวใช้สองคนนั้นกำลังหารือกันว่าจะรายงานสวีอวี้หรงดีหรือไม่ พวกนางอาจจะถูกสวีอวี้หรงส่งมาจริง ๆ เจ้าค่ะ” เหยียนหลิ่วคาดเดาได้จากท่าทางมีพิรุธของสาวใช้เหล่านั้น
เหยียนซีรู้สึกเห็นใจหานเซียงขึ้นมาเล็กน้อย เท่าที่เธอรู้ คนยุคโบราณการไม่สามารถมีบุตรชายได้จะเป็นความผิดของสตรีทั้งหมด เว่ยหวนและสวีอวี้หรงต้องการให้นางมีบุตรชาย แต่ตอนนี้หมอบอกแล้วว่าเป็นบุตรสาว จะเกิดอะไรขึ้นต่อไปหรือไม่
MANGA DISCUSSION