บทที่ 176 ถุงแบบใหม่ของร้านอวี่เซิ่น
หลิวเหิงไปศึกษาเล่าเรียนที่กว๋อจื่อเจี้ยน ส่วนเหยียนซีก็ยุ่งอยู่กับการดูแลกิจการร้านเนื้อตุ๋นอวี่เซิ่น
เธอตัดสินใจเปิดร้านเนื้อตุ๋นอวี่เซิ่นอีกสาขา และมีพะโล้เป็นอาหารขึ้นชื่อของโรงน้ำชา
แต่พะโล้ก็เป็นอาหารที่มีข้อจำกัดอยู่เช่นเดียวกัน อย่างเช่นว่าตอนนี้มีการลอกเลียนแบบมาขายในเมืองหลวงแล้ว แม้ว่าเธอจะผสมเครื่องเทศกว่าสิบชนิดลงไป แต่ในเมืองหลวงแห่งนี้ก็มีคนที่มีความรู้อยู่มากมาย คนทั่วไปเมื่อชิมแล้วอาจจะไม่ได้เข้าใจเรื่องเหล่านี้ดีนัก ต่างจากหมอที่เชี่ยวชาญในเรื่องสมุนไพร ที่น่าจะสามารถช่วยเด็กหญิงทดสอบสูตรพะโล้รูปแบบใหม่ให้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาได้
ก่อนที่อาหารของตนเองจะถูกเลียนแบบจนแยกไม่ออก เหยียนซีจำเป็นต้องคิดค้นวิธีพัฒนาสูตรใหม่ขึ้นมาและค้นคว้ามากขึ้นเพื่อทำถุงใส่อาหารแบบใหม่ให้เป็นที่น่าจดจำ
เหยียนซีได้พบลูกค้าที่มักจะมาซื้อพะโล้ที่ร้านของเธออยู่เป็นประจำผู้หนึ่ง นั่นคือท่านหมอเผิงที่เป็นหมอในสำนักแพทย์ของเมืองหลวง
แต่ดูท่าทางแล้วท่านหมอไม่น่าจะพอใจในการทำงานที่นั่นเท่าไรนัก
ได้ยินมาว่าเขาถูกเรียกตัวเข้ามาทำงานที่สำนักแพทย์ประจำเมืองหลวงเพราะมีชื่อเสียงโด่งดัง แต่เมื่อเข้ามาทำงานแล้วก็ไม่ได้สนใจที่จะถ่อมตนหรือพูดจานอบน้อมนัก เมื่อมีคนไข้ที่เป็นขุนนางมารักษา คำพูดของท่านหมอก็ทำให้พวกเขาขุ่นเคืองใจอยู่เนือง ๆ
โชคดีที่ท่านหมอเผิงเป็นคนที่มีความสามารถมาก ไม่ได้ให้ความสนใจกับค่าจ้างที่ได้รับจากสำนักแพทย์ประจำเมือง เขามีร้านขายยาในเมืองหลวงที่มีลูกหลานเป็นคนดูแลกิจการ ส่วนท่านหมอก็เป็นแพทย์ประจำร้านขายยานั้นด้วย
วันไหนที่ไม่ได้ไปทำงานที่สำนักแพทย์ ท่านหมอเผิงก็จะไปประจำอยู่ร้านขายยา และมักจะออกไปที่ชานเมืองรอบนอก เพื่อตรวจรักษาชาวบ้าน คนไข้ที่มีเงินพอจะจ่าย ก็จะมอบเงินเป็นค่ารักษา ส่วนคนที่ไม่มี เขาก็รับไข่หรือผักเป็นค่ารักษาด้วยเช่นกันในบางครั้ง
หมอชราผู้นี้ชอบกินพะโล้ของโรงน้ำชาอวี่เซิ่นมาก และมักจะมาที่ร้านเพื่อซื้อมันบ่อยครั้ง ยังเคยพูดคุยกับเหยียนซีเกี่ยวกับอบเชยว่าช่วยให้โลหิตไหลเวียนมากขึ้น ยังมีดอกพริกไทยช่วยเพิ่มความเผ็ดร้อน เมื่อกินแล้วเขาก็เป่าปากออกมา “ทั้งที่รู้ว่าเผ็ดแต่ข้าก็คุมปากตัวเองไม่ได้”
ตอนนี้เหยียนซีรอให้ท่านหมอชรามาที่ร้านอยู่สี่ห้าวันแล้ว และในที่สุดก็ได้พบเขา
เมื่อเห็นว่าท่านหมออยู่ในชุดเครื่องแบบของสำนักแพทย์ เหยียนซีก็ลุกขึ้นอย่างกระตือรือร้น แล้วเอ่ยขึ้น “ท่านหมอเผิง ท่านมาแล้วหรือเจ้าคะ วันนี้มีหูหมูของโปรดของท่านอยู่ ให้ข้าเตรียมให้ท่านเลยดีไหมเจ้าคะ”
“เถ้าแก่น้อย เจ้ามีอะไรจะพูดกับข้าเป็นพิเศษหรือไม่” หมอเผิงไม่ได้สนใจท่าทีกระตือรือร้นของนางเลย เมื่อเห็นรอยยิ้มของเหยียนซี เขาก็มองขึ้น ๆ ลง ๆ จากนั้นก็หันไปทางเหยียนหลิ่วที่อยู่ข้างหลัง “พวกเจ้าทั้งสองยังเป็นเด็ก ร่างกายไม่น่าจะมีปัญหา ตอนนี้ก็ยังดูแข็งแรงดีอยู่ แล้วต้องการจะปรึกษาข้าเรื่องอะไรงั้นหรือ”
เหยียนซีไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพรูลมหายใจออกมา ผู้อาวุโสมักจะเข้าใจเรื่องต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว “ท่าทางว่าข้าจะไม่สามารถซ่อนเร้นอะไรจากสายตาเฉียบแหลมของท่านหมอได้เลยนะเจ้าคะ”
“แน่นอน การสังเกตและการตั้งคำถามเป็นสิ่งที่หมอต้องเรียนรู้อยู่เสมอ” ท่านหมอประจำสำนักแพทย์ในเมืองหลวงลูบเคราของตนเองอย่างภูมิใจ
“ที่ผ่านมาเถ้าแก่น้อยสุภาพเสมอเมื่อได้พบข้า แต่คราวนี้กลับเริ่มทักทายด้วยท่าทีกระตือรือร้น ท่าทีเปลี่ยนไปย่อมต้องแสดงว่ากำลังต้องการบางอย่าง มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือไม่”
เหตุผลทั้งหมดที่เขาเอ่ยขึ้นมานั้นเป็นจริงทุกคำ เหยียนซีจึงยิ้มออกมา “ข้ามีเรื่องอยากจะถามท่านหมอจริง ๆ เจ้าค่ะ เพราะเห็นว่าท่านหมอมักจะกินพะโล้ของข้าเสมอ น่าจะรู้ว่ามันมีสมุนไพรอยู่หลายชนิดผสมอยู่ ข้าได้ยินมาว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะกินมันได้อย่างปลอดภัย จึงอยากรู้ว่ามีข้อห้ามอะไรที่ควรหลีกเลี่ยงในการกินบ้าง อย่างสตรีมีครรภ์หรือผู้สูงอายุสามารถกินได้หรือไม่เจ้าคะ”
ท่านหมอเผิงพยักหน้า “เจ้าใส่สมุนไพรไปหลายชนิดจริง ๆ จากที่ได้ชิมก็รู้ว่ามีกว่าสิบชนิดแล้ว แต่ไม่ได้ใส่ในปริมาณมากมายอะไร อันที่จริงมันไม่ได้เป็นอันตรายกับคนส่วนใหญ่ แต่ก็มีบางกรณีที่ควรกินให้น้อย….”
เมื่อท่านหมอเผิงกำลังเริ่มเอ่ยเรื่องที่เขาเชี่ยวชาญ เหยียนซีก็เอาพู่กันและกระดาษออกมา “ท่านหมอเผิง ท่านเป็นหมอที่มีทักษะทางการแพทย์ยอดเยี่ยมยิ่งนัก ไม่ทราบว่า หากข้าจะรบกวนท่านช่วยจดข้อห้ามเหล่านี้ให้ข้า เพื่อจะได้เอาข้อแนะนำทั้งหมดประทับลงไปบนถุงกระดาษน้ำมัน ให้ลูกค้าอ่านก่อนกินได้หรือไม่เจ้าคะ”
“ฮ่า ๆ! กลายเป็นว่าเถ้าแก่น้อยกำลังหลอกใช้ข้าอยู่งั้นหรือ แต่เอาเถอะ มาสิข้าจะช่วยเขียนให้เอง”
เหยียนซีรีบให้ท่านหมอเผิงเข้าไปข้างใน วางพู่กันและกระดาษให้เขา และขอให้ท่านหมอเขียนอย่างละเอียด
ท่านหมอเผิงเขียนทั้งหมดออกมาอย่างรวดเร็ว ในชั่วพริบตาเขาก็ระบุข้อควรระวังแปดประการในการกิน
เหยียนซีอ่านมันนิดหน่อย แล้วส่งให้เหยียนหลิ่วช่วยเก็บมันเอาไว้ จากนั้นก็เข้าไปในครัวเพื่อเอาซวงผีหน่าย*[1]และเจียงจ้วงหน่าย*[2]ออกมา “ท่านหมอเผิง ข้าต้องขอบคุณท่านมากสำหรับวันนี้เจ้าค่ะ นี่คือขนมที่เราทำขึ้นมาใหม่วันนี้ อยากให้ท่านลองชิม”
หลังจากที่เฉวียจือไปที่เขตชานเมืองหลวงเพื่อตามหานมอยู่นาน ในที่สุดวันนี้เขาก็หาซื้อนมควายมาได้ถังหนึ่ง เหยียนซีคิดถึงขนมยุคใหม่มานานแล้ว ทันทีที่อาต้าและอาเอ้อร์นำมาส่งให้ นางก็รีบเอาไปทำเป็นซวงผีหน่ายและเจียงจ้วงหน่ายอย่างมีความสุข
ตาเฒ่าหวูโถวไม่ได้เป็นคนชอบกินของหวานมากนัก จึงรู้สึกว่าเจียงจ้วงหน่ายอร่อยกว่า
ส่วนคนอื่น ๆ ชอบทั้งสองแบบ
ท่านหมอเผิงได้กลิ่นนม เขาตักเอาซวงผีหน่ายขึ้นมาหนึ่งช้อนแล้วกินไปหลายคำ มองชามอีกใบแล้วถอนหายใจออกมา “มันมากเกินไปหน่อยสำหรับวันนี้” แต่ชายชราไม่ลังเลที่จะกินเจียงจ้วงหน่ายไปอีกหนึ่งถ้วย
“เถ้าแก่น้อย ขนมทั้งสองนี้เหมาะมากสำหรับผู้สูงอายุที่ต้องการเพิ่มความอบอุ่นให้แก่ร่างกาย โดยเฉพาะคนที่อายุมากจนฟันไม่สามารถเคี้ยวอาหารได้ ขนมสองอย่างนี้สามารถใช้บำรุงร่างกายได้ดีมาก”
“แต่นมหาซื้อยากเกินไป ข้าจึงทำกินได้เพียงในบ้านเท่านั้นเจ้าค่ะ” เหยียนซีไม่เคยคิดเกี่ยวกับการทำของหวานเหล่านี้ออกมาขาย เพราะวัตถุดิบมีอย่างจำกัดมาก
เมื่อเห็นว่าท่านหมอเผิงกินเรียบร้อยแล้ว เธอก็เอาถุงกระดาษใบหนึ่งขึ้นมาถือเป็นของตอบแทนที่ท่านหมอเผิงช่วยเขียนคำแนะนำให้
ท่านหมอเผิงมองเด็กน้อย ใบหน้าท้วมยิ้มแย้มของเขาเปลี่ยนเป็นจริงจัง “เถ้าแก่น้อยคงจะเชื่อถือในตัวข้ามาก จึงได้ถามเรื่องเหล่านี้กับข้า”
เหยียนซีเห็นว่าเขาไม่มั่นใจจึงรีบพูดขึ้น “นี่อาจเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ …ท่านหมอเป็นผู้อาวุโส ข้าเลยรู้สึกเกรงใจเล็กน้อยเจ้าค่ะ พี่เอ้อร์หลางพี่ชายของข้าพูดเสมอว่าท่านหมอเป็นคนมีศีลธรรมและน่านับถือ ข้าจึงนับถือและชื่นชมท่านหมอเสมอ ข้าเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา หากท่านหมอไม่ถือสา…”
ระหว่างที่พูด เธอก็เอาถุงกระดาษที่มีปลาตุ๋น ถั่วแระ และเนื้อตุ๋นให้หมอเผิง “นี่เป็นของกินเล่นตามฤดูกาลเจ้าค่ะ”
ท่านหมอเผิงไม่ได้ปฏิเสธที่จะรับอาหารเหล่านั้น ทั้งยังรับมันมาด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า
เหยียนซีขอให้หวังชีหาร้านที่รับทำงานแกะสลักไม้ และตั้งชื่อรายการที่ท่านหมอเขียนมาให้ว่า ‘ข้อห้ามในการกินพะโล้สมุนไพรอวี่เซิ่น’ และประทับรายการคำแนะนำทั้งหมดลงบนกระดาษน้ำมัน ทั้งยังเอาไปติดไว้ที่ประตูโรงน้ำชาอวี่เซิ่นทุกแห่งเพื่อแนะนำลูกค้าที่มาซื้ออาหาร
พะโล้ทั้งหมดที่ขายในร้านเนื้อตุ๋นอวี่เซิ่นและโรงน้ำชาอวี่เซิ่นจะถูกบรรจุลงในถุงกระดาษสีน้ำตาล เคลือบน้ำมันด้านในให้กันน้ำ พิมพ์คำว่าอวี่เซิ่นสีแดงด้านหน้า และด้านหลังพิมพ์ก็ประทับข้อห้ามในการกินพะโล้สมุนไพรลงไป อาหารทั้งหมดถูกส่งไปยังวัดผู่จี้เพื่อถวายให้นักบวชที่มาสวดอวยพร ทำพิธีเสริมศิริมงคล เพื่อแสดงให้เห็นว่านี่ไม่ใช่ร้านอาหารเล็ก ๆ ธรรมดาทั่วไป
ถุงกระดาษที่ถูกนำมาใช้นี้มีหลายขนาดและสามารถบรรจุอาหารได้อย่างน้อยหนึ่งมื้อ และมากขึ้นตามขนาด
ด้วยวิธีนี้ ทุกคนที่ซื้อพะโล้ของร้านอวี่เซิ่นจะต้องถือถุงใส่อาหารหน้าตาแบบเดียวกัน ซึ่งดูสะอาด เป็นทางการ แม้แต่โจวหงยังถือถุงกระดาษเหล่านี้แล้วเอ่ยอย่างชื่นชมว่า “รู้สึกเป็นเกียรติมากที่ได้ถือมัน”
เว่ยเฉิงเห็นว่าโจวหงกลับมาพร้อมกับถุงกระดาษใส่อาหารก็มองคำว่าอวี่เซิ่นที่หน้าถุงแล้วยิ้มออกมา “หัวหน้ามหาดเล็กมาที่นี่ เอาไปให้เขาลองชิมดูก็ได้ ถ้าอร่อยข้าจะถวายให้เสด็จลุงกับเสด็จป้าได้ลองเสวย เป็นรสชาติแปลกใหม่ที่หากินได้ยาก”
โจวหงเข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไรจึงยิ้มกว้าง “นายท่าน ถ้าคุณหนูเหยียนทราบเรื่องนี้นางต้องดีใจมากแน่นอน”
หากจักรพรรดิและพระมเหสีได้เสวยแล้วทรงชื่นชม ก็จะทำให้ร้านเนื้อตุ๋นอวี่เซิ่นได้รับพระราชทานป้ายทองในอนาคต
[1] ซวงผีหน่าย คือ พุดดิ้งนมสด ที่มีการทิ้งให้ผิวนมด้านบนให้เป็นแผ่น ก่อนจะนำนมที่ไม่ได้จับตัวกันด้านล่างถ้วยไปเทลงบนผิวนมที่เป็นแผ่น จากนั้นก็นำไปนึ่ง ทำให้ได้พุดดิ้งที่มีผิวแน่นจากผิวนมก่อนหน้า และจากการนึ่ง
[2] เจียงจ้วงหน่าย คือ พุดดิ้งนมผสมน้ำขิง
MANGA DISCUSSION