บทที่ 175 กิ่งมะกอกตระกูลเฉิน
เหยียนซีเติบโตมาในยุคที่ทุกคนมีคู่สมรสเพียงคนเดียว จึงไม่ได้รู้สึกว่าการที่สวีอวี้หรงไม่อยากให้สามีรับอนุเข้าบ้านจะเป็นเรื่องผิดแปลก
การที่นางต้องการจะเป็นภรรยาคนเดียวของเว่ยหวนไม่ได้เป็นเรื่องที่มากเกินไป
แต่สิ่งที่ผิดคือนางไม่ได้ตกลงกับสามีอย่างตรงไปตรงมา เมื่อมีเรื่องไม่พอใจเกิดขึ้น ก็กลับไปเล่นงานสตรีอีกคนลับหลังเขาแทน
ที่สำคัญคือนางรู้ทั้งรู้ว่าเว่ยหวนมีภรรยาแล้ว แต่ก็ยังยอมที่จะแต่งงานกับเขาอย่างไร้ยางอาย ซ้ำยังคิดแผนสังหารภรรยาเก่าของสามีทั้งที่พวกเขาหย่ากันไปนานแล้วอีก
“ผู้หญิงคนนี้ต้องมีปัญหาทางจิตแน่นอน” เหยียนซีได้แต่ถอนหายใจ
เดิมทีเธอวางแผนจะฉลองวันไหว้พระจันทร์อย่างมีความสุข แต่เมื่อได้ยินเรื่องเช่นนี้แล้วก็ทำให้รู้สึกหดหู่อยู่ในใจ แม้จะแสดงออกอย่างมีชีวิตชีวาก็ตาม
โชคยังดีที่เทศกาลไหว้พระจันทร์ครั้งนี้มีข่าวดีอีกเรื่องหนึ่งพอให้ชื่นใจได้บ้าง
เนื่องจากชื่อเสียงของหลิวเหิง ทำให้เขาได้รับการยกย่องจากเมืองถงอัน เสวี้ยเจิ้ง*[1]หยางซูถาได้เขียนหนังสือเพื่อขอพระราชทานรางวัลให้แก่เขา
เดิมทีหนังสือนี้ถูกระงับโดยเน่ย์เก๋อ แต่จักรพรรดิเทียนฉีทรงทราบเรื่องนี้อย่างไม่มีใครคาดคิด พระองค์จึงรับสั่งให้เน่ย์เก๋อเดินเรื่องต่อทันที สิ่งที่เกิดขึ้นสร้างความพอใจให้จักรพรรดิเป็นอย่างมาก เป็นเรื่องดีที่แคว้นเว่ยจะมีบัณฑิตอยู่ในท้องถิ่นเพื่อช่วยพัฒนาการศึกษาในหมู่บ้าน
เดิมทีพระองค์ต้องการพระราชทานตำแหน่งอย่างเป็นทางการให้แก่หลิวเหิงโดยตรง แต่เฉินเก๋อเหล่ากราบทูลว่าเด็กหนุ่มผู้นี้ตั้งใจจะเข้าร่วมการสอบขุนนางครั้งหน้า เนื่องจากเขาพลาดการสอบของปีนี้เพราะต้องไว้ทุกข์ให้มารดา จึงทำให้เพิ่งมาที่เมืองหลวงและกำลังศึกษาเตรียมตัวสำหรับการสอบครั้งต่อไปอยู่
จักรพรรดิจึงรับสั่งให้หลิวเหิงไปศึกษาต่อที่สำนักกว๋อจื่อเจี้ยน
ผู้ที่ได้รับโอกาสในการเข้าศึกษาที่กว๋อจื่อเจี้ยนล้วนไม่ใช่คนทั่วไป และเป็นโอกาสดีของหลิวเหิงที่จะได้เข้าไปที่นั่น
กว๋อจื่อเจี้ยนคือสำนักศึกษาที่ดีที่สุดของแคว้นเว่ย
หลังจากที่เหยียนซีทราบข่าว เธอก็ช่วยหลิวเหิงเตรียมเสื้อผ้าชุดใหม่ เดิมทีวางแผนว่าจะซื้อแบบสำเร็จมาให้ ทว่าชายหนุ่มกลับอยากจะสวมชุดที่เด็กหญิงเป็นคนตัดเย็บให้เองมากกว่า เหยียนซีเห็นถึงความตั้งใจของเขาจึงเปลี่ยนใจมาตัดเย็บด้วยตนเอง
โชคดีที่เธอได้เรียนรู้วิชาการตัดเย็บเสื้อผ้ามาจากนางหวัง และทำออกมาได้ดีหลังจากฝึกฝนฝีมืออยู่หลายครั้ง แม้เหยียนซีจะปักผ้าไม่เก่ง แต่หลังจากง่วนอยู่กับเข็มและเส้นไหมอยู่นาน ก็สามารถปักลายเมฆมงคลลงบนสาบเสื้อได้ ซึ่งออกมาดูสวยงามทีเดียว
สำนักกว๋อจื่อเจี้ยนอยู่ในเมืองหลวง เขาไม่จำเป็นต้องค้างแรมที่นั่น เพียงแค่ต้องเตรียมมื้อกลางวันไปกินตอนเที่ยง และเดินทางไปกลับทุกวันเท่านั้น
เช้าวันรุ่งขึ้นพวกเขาก็จ้างรถม้าให้ไปส่งหลิวเหิงที่กว๋อจื่อเจี้ยน
เหยียนเฟิงต้องการกลับมาพร้อมรถม้า แต่เหยียนซีมองเขาอย่างเคร่งขรึม แล้วเอ่ยขึ้น “ที่นี่คือกว๋อจื่อเจี้ยนเชียวนะ เจ้าควรอยู่ที่นี่เพื่อลอบฟังเรื่องราวที่อาจารย์สั่งสอน ถ้าบ้านเรามีคนรู้ตำราสองคนที่ได้ศึกษาจากที่นี่ ภายหน้าจะต้องทำเงินได้เยอะขึ้นอย่างแน่นอน”
คนที่เข้าเรียนที่นี่ล้วนมีแต่ชนชั้นสูง ดังนั้นพวกเขาจึงมีบ่าวรับใช้และผู้ติดตามมาด้วยเสมอเป็นเรื่องปกติ
ผู้ติดตามและบ่าวไพร่ทั้งหมดจะต้องรออยู่หน้าชั้นเรียน และสามารถฟังสิ่งที่อาจารย์สอนจากด้านนอกได้ตามต้องการ
“อย่าอายที่จะนั่งฟังอยู่ด้านนอก ข้าเคยได้ยินมาว่านักเรียนบางคนที่ไม่ตั้งใจเรียนก็จะถูกอาจารย์ไล่ให้ไปยืนฟังที่หน้าชั้นเช่นกัน” เหยียนซีกลัวว่าเหยียนเฟิงจะรู้สึกเหมือนเป็นคนโง่ถ้าต้องไปอยู่ตรงนั้น
ในความเป็นจริงแล้ว เธอก็ต้องการจะส่งเหยียนเฟิงให้ไปเรียนหนังสืออย่างเป็นเรื่องเป็นราวตั้งแต่เดินทางมาเมืองหลวง แต่ถึงจะพูดเรื่องนี้กับเหยียนเฟิงหลายครั้ง เขากลับเอาแต่ปฏิเสธอยู่ตลอด ดังนั้นเด็กหญิงจึงให้เขาฝึกเขียนอักษรและอ่านตำรากับหลิวเหิงอย่างที่ตนเองเคยทำแทน
แต่ครั้งนี้เมื่อได้โอกาสเข้าไปในสถาบันศึกษาชั้นสูงอย่างกว๋อจื่อเจี้ยนแล้ว เหยียนซีก็ฉุกคิดถึงเรื่องการไปเรียนหน้าชั้นเรียนเช่นนี้ขึ้นมาได้ เหยียนเฟิงไม่ยอมไปเรียนหนังสือคนเดียว แต่ถ้าสั่งให้เขาตามหลิวเหิงไปจะต้องไม่ปฏิเสธแน่นอน
หลิวเหิงส่ายหน้าและหัวเราะเมื่อได้ยินสิ่งที่เหยียนซีพูด
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็เข้าใจเจตนาของนางเป็นอย่างดี
เหยียนเฟิงมีความรู้อยู่บ้าง แต่ไม่เคยได้อ่านตำราอย่างจริงจัง นางจึงหวังให้เขาได้ฟังเรื่องที่อาจารย์บรรยายที่สำนักและเรียนรู้เรื่องราวมากขึ้นจากตำราเหล่านั้น
เดิมทีเหยียนเฟิงอยากจะกลับไปช่วยงานที่บ้าน แต่เมื่อเห็นว่าเหยียนซียืนยันหนักแน่นและเริ่มมีท่าทีแข็งกร้าว เขาจึงไม่กล้าปฏิเสธและตอบตกลงอย่างเสียไม่ได้
“ตั้งใจฟังบทเรียนในชั้นเรียนให้ดี แล้วให้พี่เอ้อร์หลางช่วยทบทวนให้เจ้าตอนที่กลับมาบ้าน” เหยียนซีตบไหล่เหยียนเฟิง “การอ่านเขียนเป็นสิ่งที่ดี หากเจ้าอ่านเขียนได้คล่อง เจ้าก็ต้องเอาความรู้เหล่านั้นมาใช้อ่านตำราเสียบ้าง”
แม้แต่ในยุคโบราณเช่นนี้ เหยียนซีก็ยังเชื่อเสมอว่าความรู้จะสามารถเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของคนเราได้
เหยียนเฟิงรับคำอย่างเคร่งขรึม “ขอรับ!” ฟังดูราวกับเป็นการรับคำจากเจ้านายอย่างซื่อสัตย์
หลังจากที่อยู่ด้วยกันมานาน เหยียนหลิ่วก็เริ่มทำตัวเป็นกันเองอย่างคนทั่วไปและมีชีวิตชีวามากขึ้น ทว่าเหยียนเฟิงกลับยังเป็นเช่นเดิมไม่เปลี่ยน
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็รับรู้ได้ถึงความใจดีของทุกคน เหยียนซีปฏิบัติต่อเขาดั่งสมาชิกในครอบครัว และหวังดีกับสองพี่น้องเสมอ
หลิวเหิงเดินนำเหยียนเฟิงไปที่ทางเข้าของกว๋อจื่อเจี้ยน เขาได้พบกับราชบัณฑิตที่สอนห้าวิชาประจำกว๋อจื่อเจี้ยน และเฉินโหย่วฝูเองก็อยู่ที่นั่นเช่นกัน เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มมาถึง ก็ยิ้มแล้วเอ่ยทักทายพลางกุมมือ “หลิวเหิง ต้องยินดีกับเจ้าด้วย”
เฉินโหย่วฝูยังดูเป็นเช่นเดิม สวมชุดยาวดูสง่างาม แฝงกลิ่นอายของปัญญาชน หลิวเหิงประหลาดใจเล็กน้อยเพราะได้ยินว่าอีกฝ่ายน่าจะผ่านการสอบเซียงซื่อไปแล้วในปีนี้ อันดับของเขาสูงกว่าของท่านอาจารย์ แม้จะไม่ได้รับเลือกให้เข้าร่วมสำนักฮั่นหลินแต่ก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องยาก หากจะให้เขาไปที่อื่น
หรือว่าตระกูลเฉินไม่ต้องการให้เขาไปที่อื่นอย่างนั้นหรือ?
เมื่อพบเพื่อนร่วมชั้นจากบ้านเกิดที่นี่ ไม่ว่าภายในใจจะเต็มไปด้วยความสงสัยแค่ไหน แต่ก็ทำเพียงแค่โค้งคำนับทักทายเท่านั้น “ยินดีที่ได้พบ”
“ตอนนี้ข้าเองก็เข้าร่วมกว๋อจื่อเจี้ยนแล้ว ต่อไปคงได้พบเจ้าบ่อยขึ้น” เฉินโหย่วฝูไม่รั้งรอที่จะเอ่ยถึงสถานะที่แท้จริงของตนเอง
เมื่อมีเฉินโหย่วฝูอยู่ด้วย หลิวเหิงจึงลดความวุ่นวายในขั้นตอนของการเข้าเรียนไปได้มาก และเมื่อเห็นว่าเหยียนเฟิงตามมาอย่างเงียบ ๆ ชายหนุ่มจึงแนะนำว่าเขาคือญาติของเหยียนซี แม้จะเพียงแค่ติดตามมาในฐานะเด็กรับใช้ แต่ก็มีความสนใจใฝ่เรียนเช่นกัน
เฉินโหย่วฝูเป็นคนที่ชอบสร้างบุญคุณกับคนอื่นเสมอ จึงจัดโต๊ะให้เหยียนเฟิงนั่งเพื่อเรียนจากหน้าห้องด้วย
“ท่านปู่ของข้าบอกว่าเจ้าเป็นบัณฑิตท้องถิ่นอยู่ที่ถงอัน อุทิศตนมอบความรู้แก่คนในหมู่บ้าน มีทั้งความรู้และคุณธรรม ท่านปู่ชอบคนหนุ่มที่กระตือรือร้นในการเรียนรู้และรักความก้าวหน้า หากพอมีเวลา ข้าอยากเชิญเจ้าไปที่จวนของเราหน่อย”
เฉินโหย่วฝูยังคงดูใจดีและเป็นมิตรราวกับว่าไม่มีอะไรแอบแฝงเช่นเดิม เขาเอ่ยเชิญด้วยรอยยิ้มที่ไม่ต่างจากตอนที่เชิญหลิวเหิงให้มาเรียนด้วยกันตอนที่อยู่ในสำนักศึกษาประจำเมือง
การได้ไปเยือนจวนของเก๋อเหล่านั้นถือเป็นเกียรติและแสดงถึงสถานะได้เป็นอย่างดี และเป็นการแสดงออกกลาย ๆ ว่าหลิวเหิงจะเป็นหนึ่งในคนของเฉินเก๋อเหล่าอีกด้วย
เฉินโหย่วฝูตั้งใจมาเชิญเพื่อขยายกิ่งมะกอก แตกกิ่งก้านความสัมพันธ์และอำนาจบารมีต่อตระกูลเฉินอย่างเห็นได้ชัด
ในฐานะจู่เหริน เขาเป็นเพียงเบี้ยตัวหนึ่งที่ไม่ได้โดดเด่นอะไร แต่ในตอนนี้ตระกูลเฉินไม่ได้มองเขาเป็นเพียงหินข้างทางอีกต่อไปแล้ว กลับเริ่มแสดงท่าทีให้เกียรติขึ้นมาในที่สุด
ไม่ว่าตระกูลเฉินจะทำเช่นนี้เพราะเห็นแก่หน้าของเว่ยเฉิงหรือด้วยเหตุผลอื่นใด หลิวเหิงก็ภูมิใจในเรื่องนี้ขึ้นมาเล็กน้อย หลังจากผ่านไปหนึ่งปี ในที่สุดตระกูลหลิวก็มีคุณสมบัติพอที่ตระกูลเฉินจะอยากแตกกิ่งมะกอกด้วย
หลิวเหิงรู้ว่าทั้งหมดนี้เป็นเพราะซีเอ๋อร์ ตอนนี้ที่เขาเป็นที่นับหน้าถือตาและไม่ถูกมองข้ามล้วนเป็นเพราะแผนการอันแยบยลของเด็กน้อยวัยสิบเอ็ดปีทั้งสิ้น
เด็กหนุ่มลอบกำหมัดลับ ๆ ตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าจะผ่านการสอบเป็นจิ้นซื่อให้ได้ และจะเข้าสู่ชีวิตขุนนางอย่างเป็นทางการ ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน เพื่อแบ่งเบาภาระของเหยียนซี
หลิวเหิงและใต้เท้าสวีมีเรื่องบาดหมางกันอยู่แล้ว จึงไม่แปลกที่จะตอบรับคำเชิญของตระกูลเฉิน ดังนั้นเขาจึงตอบตกลงทันที “ข้ามักจะอิจฉาพี่เฉินที่ได้รับคำแนะนำจากเฉินเก๋อเหล่าเสมอ หากได้รับคำชี้แนะจากท่านบ้างก็คงจะเป็นเกียรติอย่างยิ่ง นับเป็นโชคดีของข้าแล้ว”
คำพูดเหล่านี้ไม่ได้ฟังดูเป็นการประจบสอพลอจนเกินจริง เฉินเก๋อเหล่าเป็นบัณทิตจากหอตำราเหวินยวนเก๋อ ถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งในด้านงานเขียนและบทกวีที่ได้รับการยอมรับกันอย่างกว้างขวาง
“ข้าได้ยินมาว่าเหยียนซีเปิดร้านเนื้อตุ๋นในเมืองหลวง ยังไม่ได้ไปลองกินเสียที แต่ฝีมือการทำอาหารของนางไม่เป็นรองใครอยู่แล้ว” เขาอิจฉาในโชคดีของหลิวเหิงจริง ๆ ไม่ว่าจะมีปัญหาอะไรเกิดขึ้น เหยียนซีก็ไม่เคยทอดทิ้งเขา และยังพยายามจะวางแผนสนับสนุนอีกฝ่ายอย่างไร้ข้อแม้
“หากพี่เฉินอยากชิมก็สามารถไปที่บ้านข้าได้ เพียงแต่บ้านข้านั้นคับแคบ อาจจะไม่สะดวกในการรับแขกนัก”
“ขงจื๊อกล่าวว่าคนมีคุณธรรมล้วนอยู่อย่างเรียบง่าย” เฉินโหย่วฝูกล่าวเช่นนั้น และมีท่าทีพอใจกับความใกล้ชิดของหลิวเหิง
ทั้งสองพูดคุยกันต่อเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าใกล้จะถึงเวลาเรียน ทั้งสองจึงแยกย้ายกัน
[1] เสวี้ยเจิ้ง คือตำแหน่ง หัวหน้าสำนักบัณฑิต
MANGA DISCUSSION