บทที่ 171 ขจัดหมอกควัน
เมื่อมาพบเหยียนซีที่ชานเมืองหลวงแล้ว เว่ยเฉิงก็ต้องกลับไปรายงานการปฏิบัติภารกิจที่วังหลวงต่อ และไม่สะดวกที่จะเดินทางไปกับหลิวเหิง พวกเขาจึงกล่าวลากันที่โรงน้ำชา
โจวหงคร่ำครวญถึงการกลับมาทานอาหารอีกครั้ง และเหลือบมองเหยียนเฟิงอย่างไม่พอใจนัก
หากสายตาที่มองกลับมานั้นหันมาอีกสองสามครั้ง และมองไปที่เหยียนหลิ่ว เหยียนซีคงจะคิดว่าโจวหงกำลังมีความรัก
หลังจากจัดการเรื่องที่โรงน้ำชาเรียบร้อยแล้ว เหยียนซีก็รีบพาพวกหลิวเหิงกลับไปที่ซอยเม่าจือ
โชคดีที่ถึงแม้ว่าลานบ้านขนาดเล็กที่เธอซื้อเอาไว้นั้นจะมีขนาดไม่ใหญ่โตมากนัก แต่ก็มีการแบ่งสัดส่วนห้องได้ค่อนข้างดี หลิวเหิงอยู่ในห้องหลักทางด้านซ้าย เหยียนซีกับเหยียนหลิ่วอยู่ในห้องหลักทางด้านขวา
หวังชีอยู่ในห้องปีกฝั่งตะวันออก ส่วนเหยียนเฟิงอยู่ในอีกห้องหนึ่ง ส่วนห้องที่เหลือฝั่งปีกตะวันตกและห้องติดกำแพงรั้วถูกแบ่งให้พวกผู้เฒ่าหวูโถว อาต้าและอาเอ้อร์ทั้งสามคน
เฉวียจือไม่ได้เข้ามาในเมือง เขาต้องการทำงานเป็นผู้จัดการในโรงน้ำชาต่อ
เดิมทีหวังชีเป็นผู้จัดการโรงน้ำชาอวี่เซิ่น แต่ยามนี้ต้องมาเป็นผู้จัดการร้านเนื้อตุ๋นด้วย มีภาระหนักอึ้งทั้งสองทาง นับว่าเฉวียจือมาช่วยแบ่งเบาภาระของเขาลงได้ครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว
เขายิ้มและจับมือเฉวียจือ “ท่านน่าจะมาเร็วกว่านี้ ข้าวิ่งวุ่นทุกวันจนพื้นรองเท้าสึกขาดแล้ว”
เฉวียจือหัวเราะ “ไม่ต้องขอบใจข้าหรอก ข้าทำเพื่อตอบแทนโรงน้ำชา”
ตอนนี้เงินปันส่วนของโรงน้ำชาอวี่เซิ่นมีจำนวนมาก ไม่ต้องกล่าวถึงผู้จัดการร้าน แม้แต่ผู้ช่วยอย่างหลิวเทียนหนิวก็สามารถรับเงินได้หลายสิบตำลึง
ก่อนที่หลิวเหิงจะเดินทางมายังเมืองหลวง เขาตรวจบัญชีให้กับพวกหลิวจิ้นเป่า โรงน้ำชาในหย่งโจวสามารถทำเงินได้ถึงพันตำลึงในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา
เหยียนซีอดไม่ได้ที่จะเสียใจ “หากรู้เร็วกว่านี้ข้าคงจะซื้อเรือนหลังใหญ่”
แม้มีเงินมากมาย แต่ก็ยากที่จะซื้อหลังจากนี้
“เจ้าเก็บเงินไว้ในมือต่อไป มันก็คงไม่กัดมือเจ้าหรอก” หลิวเหิงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ เมื่อเห็นนางคร่ำครวญด้วยความเสียใจ “ดีมากแล้วที่ประหยัดเงินทองไปได้ อีกอย่างลานแห่งนี้ก็พออยู่อาศัย และที่ตั้งก็ดีมากเช่นกัน”
ทุกอย่างเป็นดังนั้นจริง
ลานบ้านเดิมค่อนข้างดี แต่หลังจากที่เหยียนซีซื้อมันมา เธอเปลี่ยนเรือนด้านหลังให้กลายเป็นร้านเนื้อตุ๋นในสวน เจ้าของเดิมสร้างแปลงผักติดกับกำแพง เด็กหญิงจึงเก็บสวนดังกล่าวไว้และปลูกหอมหัวใหญ่ ขิง กระเทียม ต้มหอม และปลูกดอกทานตะวันสี่ต้น
เธอซื้อถังขนาดใหญ่มาวางไว้ข้างโต๊ะหินตัวเดิม ใบหนึ่งใส่รังบวบและอีกใบหนึ่งปลูกน้ำเต้า สร้างชั้นวางเรียบง่ายด้วยไม้ไผ่ และนำมาวางไว้บนโต๊ะหิน บัดนี้เถาวัลย์รังบวบและเถาวัลย์น้ำเต้าเลื้อยพาดไปทั่วชั้นวาง
เหยียนซีปลูกน้ำเต้าเพราะเห็นคนขายเมล็ดน้ำเต้า เธอนึกถึงลูกน้ำเต้า และอดไม่ได้ที่จะซื้อเมล็ดน้ำเต้าดังกล่าว
และในแง่ของรสชาติ รสชาติของมะระเลวร้ายกว่า และไม่อร่อยเท่ารังบวบ
สิ่งสำคัญคือรังบวบและน้ำเต้าผลิดอกออกผลแล้ว และพวกมันจะผลิดอกออกผลอีกเรื่อย ๆ หากจะปล่อยทิ้งให้เน่าเสียก็คงไม่ดี อีกทั้งถ้าปล่อยให้สุกงอมเกินไป ก็จะไม่สามารถรับประทานได้ ดังนั้นจึงต้องกินมันทุกวัน แต่การกินติดต่อกันสามมื้อ ต่อให้อร่อยแค่ไหนก็คงอยากจะอาเจียน
เธอและหวังชีทนไม่ไหวอีกต่อไป มีเพียงเหยียนหลิ่วเท่านั้นที่ทานทุกวันโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า
เหยียนซีรู้สึกประหลาดใจ “เสี่ยวหลิ่ว เจ้ากินไม่เบื่อบ้างหรือ?”
“อร่อยเจ้าค่ะ ขอแค่ได้กินก็พอ” เหยียนหลิ่วกล่าวออกมาอย่างใจเย็น “ข้ากับท่านพี่เคยต้องทนหิวกันมาก่อน ไม่ได้รับอนุญาตให้กินจนกว่าจะฝึกฝนเพียงพอ และห้ามกินจนกว่าจะปฏิบัติภารกิจเสร็จสิ้น มีครั้งหนึ่งที่พวกเราหิวโหยกันมาก จนต้องไปแอบจับตั๊กแตนมาสองตัว และแอบผลัดกันกินคนละวัน”
เมื่อได้ยินเหยียนหลิ่วกล่าวถึงวันเก่า ๆ เหยียนซีก็อดที่จะทุกข์ใจไม่ได้เมื่อนึกถึงเรื่องนี้
เหยียนหลิ่วกล่าวออกมาอย่างขบขัน เมื่อเห็นสายตาที่น่าสงสารของเหยียนซีมองมาที่ตน “ตั๊กแตนอร่อยจริง ๆ นะเจ้าคะ คุณหนูบอกว่าสามารถตุ๋นได้ทุกอย่างมิใช่หรือ คราวหน้าข้าจะลองจับมาให้คุณหนูลองตุ๋นดูนะเจ้าคะ”
ตอนนี้พวกหลิวเหิงได้มาแล้ว รังบวบและน้ำเต้าจะไม่ถูกทิ้งขว้างอีกต่อไป
ด้วยความอยากอาหารของชายร่างใหญ่ทั้งหกคน ดูเหมือนว่าพวกเขาจะสามารถทานทุกอย่างบนชั้นวางหมดได้ภายในหนึ่งวัน
แน่นอนว่าหลังจากที่พวกเขาทานอาหารเสร็จแล้วก็ต้องทำงาน
อาต้ากับอาเอ้อร์ต่างมีอาวุธเป็นเพียงแขนคนละข้าง ทว่าพวกเขาค่อนข้างเชี่ยวชาญในการใช้มีด เหยียนซีเคยสอนพวกเขาอยู่หนึ่งครั้งว่าหลังจากหูหมูสุกแล้ว พวกเขาต้องใช้มีดขูดคราบเนื้อออก เสร็จแล้วจึงตักขึ้นมา และนำไปใส่ในน้ำแกงตุ๋น
หลังจากลองทำ อาต้ากับอาเอ้อร์ก็สามารถทำได้อย่างคล่องแคล่วและดีมาก พวกเขาสามารถขูดหูหมูสามหู ในขณะเหยียนซีขูดได้เพียงหูเดียว
ไม่ต้องคิดว่าเหตุใดทักษะการใช้มีดของพวกเขาจึงดีมาก เพราะอย่างไรเหยียนซีก็พึงพอใจกับผลลัพธ์ดังกล่าว
แน่นอนว่าหลังจากวัตถุดิบเพิ่มมากขึ้น ร้านเนื้อตุ๋นก็ค้าขายได้ดีมากขึ้นเช่นกัน
หลังจากเหยียนซีทำหัวหมูขายเพียงครั้งเดียว ยามนี้หัวหมูก็กลายเป็นสิ้นค้าขายดีประจำร้านเนื้อตุ๋น
รุ่งเช้า อาต้ากับอาเอ้อร์ไปซื้อเนื้อหมูถึงสี่ร้าน และนำหัวหมูสองสามหัวกลับมาต้ม ขูดคราบ ตุ๋น และหั่น… ทั้งสองมีความเชี่ยวชาญราวกับพ่อครัว
“คุณหนู ขายเนื้อตุ๋นดีกว่าอีกขอรับ อาหารและสิ่งของในโรงน้ำชา พวกเราเรียนรู้ได้ช้าเกินไปขอรับ” อาต้ารู้สึกว่าพรสวรรค์ของเขากำลังเปล่งประกาย
ทั้งสองคนกำลังทำอาหารอยู่เบื้องหลัง ขณะที่หวังชีพาเหยียนเฟิงกับเหยียนหลิ่วออกไปช่วยทำหม้อตุ๋น และนำไปขายที่หน้าร้าน
ไม่ว่าสีหน้าของเหยียนเฟิงจะเย็นชาสักเพียงใด ทว่ารูปลักษณ์ของเขาก็ยังคงเป็นที่จับตาอยู่มาก ตั้งแต่เหยียนเฟิงมาเฝ้าร้านเนื้อตุ๋น เหยียนซีพบว่ามีสาวใช้จำนวนไม่น้อยที่เดินทางมาซื้ออาหาร
ความงามอาจไม่อร่อย ทว่ากลับนำมาซึ่งเงินตรา
หากไม่ใช่เพราะชื่อเนื้อตุ๋นไซซี*[1]กับเนื้อตุ๋นพานอัน*[2] ฟังดูไม่น่าไพเราะเสนาะหู เหยียนซีคงอยากจะบรรจุสองสิ่งนี้เข้าด้วยกัน
โชคดีที่พวกเขาขายเนื้อตุ๋น พวกเหยียนเฟิงจึงรอดพ้นจากภัยอันตรายโดยที่ไม่รู้ตัว
หลังจากติดตามพวกหลิวเหิงมาเมืองหลวง สิ่งที่เลวร้ายที่สุดคือโจวหงมักจะเดินทางมาหาถึงหน้าประตูเป็นครั้งคราว คอยเกลี้ยกล่อมเหยียนเฟิงอย่างไม่ลดละ และไม่ยอมแพ้กับอาหารอันแสนอร่อยที่นี่
ทุกครั้งที่เขาแวะเวียนมาที่นี่ จะต้องพร่ำบ่นเรื่องเงินเดือนอย่างขมขื่น กล่าวว่าเงินเดือนน้อยเกินไปจนไม่สามารถเก็บหอมรอมริบได้ ขณะที่เนื้อตุ๋นมีราคาแพงจนเกินไป เมื่อซื้อกลับไปก็ลิ้มลองรสชาติได้เพียงไม่กี่คำ
จนกระทั่งครั้งหนึ่งเหยียนเฟิงทนไม่ไหวอีกต่อไป กล่าวอย่างดูถูกเหยียดหยามว่า “ข้าติดตามคุณหนู เดือนหนึ่งได้สิบสองตำลึง”
โจวหงถูกยั่วยุอย่างหนัก ตอนนี้กลายเป็นว่าเหยียนเฟิงก็เป็นเศรษฐีตัวน้อยอย่างนั้นหรือ? เพื่อศักดิ์ศรี และช่วยองค์ชายตามหาคนมากความสามารถ เขาจึงประพฤติตัวอย่างไม่กลัวเกรง
หวังชีกล่าวขณะยกนิ้วโป้งให้เหยียนเฟิง “อย่าดูถูกเสี่ยวเฟิงเชียว เขาเชี่ยวชาญในการทำธุรกิจและตรวจสอบบัญชี”
เหยียนซีหัวเราะเสียงดัง และกล่าวถึงการแบ่งปันความสุขทางจิตวิทยาแก่ลูกค้า เช่น คนที่หลงใหลเรื่องหน้าตาต้องได้รับการกระตุ้น ขณะที่คนโลภมากจำต้องให้ผลกำไรเพียงเล็กน้อย… ทุกคนต่างผงะเมื่อได้ยินเช่นนั้น
แม้แต่หลิวเหิงยังวางตำราในมือลง และรับฟังด้วยความเพลิดเพลิน
“เจ้านาย หากท่านกล่าวถึงการทำธุรกิจ ข้าจะยอมเชื่อฟังท่าน ท่านกล่าวว่าข้าอายุมากแล้ว แล้วเหตุใดจึงยังคิดไม่ได้เท่าท่านกัน?” หวังชีรู้สึกว่าหัวของเขาโตขึ้นแต่กลับไร้ประโยชน์
เหยียนซีหัวเราะ พวกเจ้าเป็นคนโบราณ จะรู้เรื่องการตลาดที่เกิดขึ้นในอนาคตได้อย่างไร และกิจกรรมส่วนใหญ่ล้วนมีเป้าหมายคือจิตวิทยาของลูกค้า
ทุกคนต่างหัวเราะขบขัน ขณะที่เทศกาลไหว้พระจันทร์ใกล้จะมาถึง
ปีนี้หมู่บ้านหยางซานไม่มีการฉลองไหว้พระจันทร์ ทำให้เหยียนซีรู้สึกเศร้าหมอง แต่อย่างไรคนเราก็ต้องมองไปข้างหน้า และชีวิตต้องก้าวต่อไป เทศกาลเองก็จะผ่านพ้นไปเช่นกัน เธอคิดว่าเทศกาลไหว้พระจันทร์ค่อนข้างมีชีวิตชีวาและขจัดหมอกควันที่เกาะกินใจทุกคนได้ดี
วันที่สี่เดือนเจ็ด เธอเริ่มทำงานในวันไหว้พระจันทร์และที่บ้านก็ไม่ได้ขาดแคลนผัก เด็กหญิงวางแผนจะทำขนมไหว้พระจันทร์สำหรับเทศกาลไหว้พระจันทร์ด้วยตนเอง
เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเว่ยเฉิงชอบรับประทานขนมไหว้พระจันทร์บัวหิมะที่ตนทำ เหยียนซีก็ตัดสินใจทำขนมไหว้พระจันทร์ขึ้นมาสองแบบ ทำขนมไหว้พระจันทร์บัวหิมะแบบหนึ่งและอีกแบบหนึ่งทำเป็นขนมไหว้พระจันทร์ตำรับกวางตุ้ง
วันนี้เว่ยเฉิงกลายเป็นคนที่ได้รับการเลื่อนตำแหน่งในพระราชสำนัก ทั้งยังมีข่าวคราวออกมามากมาย กล่าวว่าเขารับหน้าที่บัญชาการหกกรม*[3] และฝ่าบาทแสดงความโปรดปราณเขาเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ยังมีข่าวลือว่าผิงอ๋องกำลังป่วยไข้ ต้องการให้บุตรชายกลับไปดูแลที่หย่งโจว
[1] ไซซี คือ ชื่อของหนึ่งในสี่สาวงามที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติจีน
[2] พานอัน เป็นชื่อของบัณฑิตหนุ่ม เรื่องชื่อเรื่องความงาม ถึงขนาดมีสาวมากหน้าหลายตามารุมล้อมทุกครั้งที่ขึ้นรถม้า
[3] หกกรม อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของเสนาบดีฝ่ายบริการ ประกอบไปด้วยทั้ง 6 กรม ได้แก่ กรมมหาดไทย กรมคลัง กรมพิธีการ กรมกลาโหม กรมตุลาการ และกรมโยธา
MANGA DISCUSSION