บทที่ 170 ความอิจฉาที่ซ่อนเร้น
ตอนนี้ปล่อยให้ความกังวลจางหายไปชั่วคราว บัดนี้โรงน้ำชาบริเวณเชิงเขาปี้อวิ๋นได้เปิดทำการแล้ว
อาหารในโรงน้ำชาแห่งนี้ ส่วนใหญ่เป็นผัก และเป็นที่ยอดนิยมในหมู่ผู้แสวงบุญ
ทุกครั้งที่เหยียนซีแวะเวียนไปโรงน้ำชา เธอจะเห็นกลุ่มผู้แสวงบุญต่อแถวเพื่อรับประทานอาหาร เด็กหญิงคาดว่าอาหารมังสวิรัติในวัดผู่จี้นั้นไม่อร่อยถูกปาก ไม่เช่นนั้นญาติโยมสตรีที่อาศัยอยู่ในวัดผู่จี้คงไม่ส่งสาวใช้ออกมาซื้ออาหารที่โรงน้ำชา
นอกจากอาหารทั่วไปในโรงน้ำชาแล้ว ไข่ตุ๋น เต้าหู้แห้ง รากบัวฝาน และอาหารซอสหมักเจาหลู่ต่าง ๆ ถูกส่งมาขายจากร้านอาหารเนื้อตุ๋นในตัวเมืองหลวง
อากาศเริ่มร้อนอบอ้าว ทำให้อาหารที่เหยียนซีปรุงสุก เช่น ถั่วแระและถั่วลิสงหมักซอสได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม
เมื่ออากาศร้อนขึ้น ย่อมเป็นเรื่องง่ายที่จะสูญเสียความอยากอาหารในฤดูร้อนที่ขมขื่นนี้ ทว่าซอสหมักเจาหลู่กลับน่ารับประทานเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะ ถั่วแระหมักซอสเจาหลู่ที่เหยียนซีปรุงรสขึ้นมา เธอนำมันไปวางเอาไว้บนบ่อน้ำเพื่อให้มันเย็นลงเป็นพิเศษ ดังนั้นมันจึงมีรสชาติที่ค่อนข้างเย็น
ผู้แสวงบุญลิ้มลองรสชาติ และซื้อซ้ำครั้งแล้วครั้งเล่า
ทุกวันนี้เหยียนซีทำอาหารที่เรือนในตัวเมืองหลวงและส่งอาหารไปขายยังโรงน้ำชา หากวันนั้นไม่สามารถขายในสิ่งที่ทำได้หมด ก็ต้องทานเองหรือกำจัดมันทิ้งไป ไม่เก็บไว้ขายในวันถัดไปเป็นอันขาด
รสสัมผัสจะต้องเป็นที่หนึ่ง และในยุคนี้ยังไม่มีตู้เย็น เหยียนซีจึงเกรงกลัวว่ารสชาติจะเปลี่ยนไป
โชคดีที่ตอนนี้อาหารไม่พอขาย และไม่หลงเหลืออะไรเลย
ร้านเนื้อตุ๋นภายในเมืองก็ขายดีเช่นกัน ไม่ต้องกล่าวถึงในซอยเม่าจือ แม้แต่ในเมืองชั้นในก็ยังส่งคนมาซื้ออาหารเพื่อนำกลับไปรับประทาน
รุ่งเช้า เหยียนซีกับเหยียนหลิ่วเพิ่งส่งอาหารไปยังโรงน้ำชา ทว่าต่อมากลับเห็นคนกลุ่มหนึ่งควบรถม้าสองคันมาทางพวกเขา
เธอยืนอยู่หน้าประตูด้วยความอยากรู้อยากเห็น กวาดสายตามองรอบ ๆ ทว่ารถม้ากลับมาหยุดลงตรงหน้าโรงน้ำชาของตน
“ซีเอ๋อร์!” ม่านหลังรถม้าเปิดออก หลิวเหิงลงรถม้ามาอย่างอารมณ์ดี “นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะอยู่ที่ร้าน?”
“พี่เอ้อร์หลาง เหตุใดจึงมาที่นี่เจ้าคะ?” เหยียนซีคาดไม่ถึงว่าหลิวเหิงจะเดินทางมายังเมืองหลวง
หลิวเหิงโล่งใจเมื่อเห็นเหยียนซี “องค์ชายเฉิงจวิ้นเชิญข้ามาเมืองหลวงด้วยกัน กล่าวว่าอย่างไรข้าก็เตรียมตัวสอบที่เรือนอยู่แล้ว ทั้งควรมาหาความรู้เพิ่มที่เมืองหลวงจะดีกว่า”
“จริงเจ้าค่ะ” เหยียนซีมีความสุขเช่นกัน และเมื่อคิดว่าเธอมีเรือนเป็นของตนเองแล้ว ถ้าหลิวเหิงมาอยู่ที่เมืองหลวงย่อมสะดวกสบายกว่าอยู่ที่หมู่บ้านหยางซาน
เหยียนเฟิงกับพวกอาต้าเดินมากล่าวทักทายเช่นกัน
เหยียนซีมองพวกเขาอีกครั้ง ทั้งดูกลุ่มองครักษ์ของโจวหงที่ล้อมรอบรถม้าคันแรก และกลับไปมองหลิวเหิงด้วยความคลางแคลงใจ
“องค์ชายเฉิงจวิ้นได้รับบาดเจ็บระหว่างทางเล็กน้อย โชคดีที่มีพวกเสี่ยวเฟิงอยู่ด้วย จึงไม่เกิดเรื่องร้ายแรงอันใดขึ้น”
ขณะเดียวกันเว่ยเฉิงก็เปิดผ้าม่านกั้นประตูและลงมาจากรถม้า หลังของเขายังคงตั้งตรง ใบหน้าเผยรอยยิ้มเล็กน้อย และมองไม่ออกว่าเขาได้รับบาดเจ็บที่ใด
โจวหงเดินตามเว่ยเฉิงไปยังโรงน้ำชาทีละก้าว ขณะที่เหยียนซีหายจากความตื่นเต้นแล้ว และตระหนักได้ว่าต้องโค้งคำนับ
เว่ยเฉิงเชิดใบหน้าขึ้นเล็กน้อย “อยู่ข้างนอก ไม่จำเป็นต้องมากพิธีการ”
“หม่อมฉันได้ยินพี่เอ้อร์หลางกล่าวว่าองค์ชายได้รับบาดเจ็บ ร้ายแรงหรือไม่เพคะ?” เหยียนซีอดไม่ได้ที่จะถามด้วยความเป็นห่วง
เว่ยเฉิงโชคไม่ดีนัก ได้รับบาดเจ็บสองครั้งภายในสามวัน
“ไม่ร้ายแรงนักหรอก”
“แม่นางน้อยเหยียน ครั้งนี้คงต้องขอบใจองครักษ์ตัวน้อยของเจ้า” โจวหงชี้นิ้วไปที่เหยียนเฟิง และกล่าวชมเชย “เจ้าไปซื้อเขามาจากที่ใดหรือ? ฝีมือเก่งกาจนัก! หากเขาไม่เตือน พวกเราคงแย่แน่”
พวกเขาถูกลอบสังหารทันทีที่เดินทางออกมาจากเมืองถงอัน โชคดีที่บังเอิญเจอกับหลิวเหิงและพวกเหยียนเฟิง เหยียนเฟิงคอยอารักขาตลอดทางจนพวกเขาเดินทางไปถึงหย่งโจวได้อย่างปลอดภัย
ต่อมาโจวหงก็รู้สึกวิตกกังวลเล็กน้อย ยืนกรานขอร้องหลิวเหิงให้เหยียนเฟิงมาเป็นผู้ช่วยตนระหว่างเดินทางกลับมายังเมืองหลวง ทว่าเหยียนเฟิงกลับปฏิเสธ และต้องการกลับไปที่หมู่บ้านหยางซาน
“เจ้าเด็กนี่หัวรั้นยิ่งนัก ข้าต้องการเกลี้ยกล่อมให้เขามาสู้ด้วยกันเพื่ออนาคตขององค์ชาย แต่เขากลับเอาแต่กล่าวว่าคุณหนูให้ข้าปกป้องนายท่าน และไม่ยอมพูดอะไรต่อสักคำ”
เหยียนซีอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “ท่านลุง เหยียนเฟิงของบ้านข้ามีชื่อเสียงเรื่องการพูดจาน้อยคำ เขาพูดออกไปตั้งแปดคำ ถือว่ามากโขแล้วเจ้าค่ะ”
เหยียนเฟิงอมยิ้มอย่างขวยเขินครั้งเมื่อได้ยินถ้อยคำหยอกล้อของเหยียนซี
“หรือจะขายเขาให้พวกข้าดี?”
“ไม่ขายเหยียนเฟิงหรอกเจ้าค่ะ!” สีหน้าของเหยียนซีเปลี่ยนไปเมื่อได้ยินเช่นนั้น “เขามีสิทธิ์ตัดสินใจเองว่าต้องการที่จะทำอะไร เขาไม่ใช่ทาสรับใช้ แต่เป็นสมาชิกในครอบครัวของข้า ทั้งเหยียนเฟิงและเหยียนหลิ่วล้วนเป็นสมาชิกในบ้านข้า”
“แค่ก!… ก็แค่เรื่องขบขันมิใช่หรือ” โจวหงมองดูสีหน้าของเหยียนซีที่เปลี่ยนแปลงไป และหัวเราะ “หยอกเล่นหรอกน่า แม่นางน้อยเหยียน เจ้ารับปากว่าจะเลี้ยงอาหารเมื่อพวกเราเดินทางกลับมาที่เมืองหลวงมิใช่หรือ?”
ถึงแม้ว่าการกล่าวเรื่องซื้อขายเหยียนเฟิงตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอจะดูน่ารำคาญไปบ้าง ทว่าพวกเขาก็ช่วยเหลือพวกตนเอาไว้มาก และนอกจากนี้ชาวบ้านทั่วไปก็ไม่ต้องการต่อสู้กับเหล่าขุนนาง เหยียนซีจึงรู้สึกไม่คู่ควรกับคนเหล่านี้ ดังนั้นเมื่อเธอได้ยินโจวหงเปลี่ยนเรื่อง จึงคล้อยตามกัน “แน่นอนเจ้าค่ะ ข้ามีให้ทุกสิ่ง อย่าได้ปล้นคนบ้านข้าก็พอ”
เธอยิ้มขณะจ้องมองเว่ยเฉิง “บังเอิญว่ามีของตุ๋นที่เพิ่งทำเสร็จใหม่ ๆ พวกท่านออกเดินทางกันมาตั้งแต่เช้า ทานข้าวกันหรือยังเจ้าคะ หากไม่ได้ทานมา อยู่ทานที่โรงน้ำชาของข้าก่อนเถิดเจ้าค่ะ”
เว่ยเฉิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ได้ ข้าเริ่มหิวแล้ว”
เหยียนซีเชิญให้กลุ่มองครักษ์เดินเข้าไปในห้องรับรอง นำข้าวต้มกุ๊ยออกมาให้คนละถ้วย ตามมาด้วยไข่ตุ๋น ถั่วแระหมักซอสเจาหลู่ และอาหารอื่น ๆ
นานมากแล้วที่เธอไม่ได้พบเจอพวกหลิวเหิง เหยียนซีจึงเชิญพวกเว่ยเฉิงเข้ามานั่งในห้องรับรองกว้าง และพาพวกหลิวเหิงไปนั่งที่มุมห้อง จากนั้นก็ชี้ไปที่มุมเนื้อตุ๋นให้พวกเขาไปตักทาน
นี่ยังเป็นครั้งแรกที่หลิวเหิงได้ลองชิมรสชาติถั่วแระหมักซอสเจาหลู่ เขาเอื้อมมือออกไปหยิบมันขึ้นมาทาน “ซีเอ๋อร์ ถั่วแระของเจ้ารสชาติดีมาก”
“เช่นนั้นก็ทานให้มากขึ้นสิเจ้าคะ” เหยียนซีสังเกตเห็นว่าแก้มของเขาดูซูบลง น้ำหนักลดลงไปมาก “เดินทางมาคงเหนื่อยแย่สินะเจ้าคะ? กินอาหารรองท้องสักหน่อย เสร็จแล้วค่อยกลับไปอาบน้ำแล้วเข้านอน ข้าบอกท่านแล้วมิใช่หรือว่าพวกเราซื้อเรือนหลังเล็กมา? มันตั้งอยู่ในซอยเม่าจือ เมื่อเข้าเมืองก็แวะไปที่นั่น …ดูสิเสื้อผ้าของท่านขาดหมดแล้ว” เหยียนซีสังเกตเห็นว่าแขนเสื้อของหลิวเหิงฉีกขาด “เดี๋ยวท่านนำกลับไปซักและเปลี่ยนตัวใหม่นะเจ้าคะ แล้วค่อยไปที่รถม้า …ว่าแต่รถม้านั่น ท่านเช่าหรือซื้อมาเจ้าคะ?”
“เช่ามา กลับไปค่อยเอาเงินสองตำลึงไปจ่าย” หลิวเหิงฟังคำพูดของเหยียนซีขณะก้มหน้าทานข้าวต้มกุ๊ยผัก ดังนั้นจึงต้องใช้ระยะเวลาหนึ่งกว่าจะตอบคำถามของนาง
เหยียนซีเดินเข้าไปดูเหยียนเฟิงอีกครั้ง “เจ้าได้รับบาดเจ็บหรือไม่?”
“ไม่ขอรับ” เหยียนเฟิงยังคงสงวนถ้อยคำ และเริ่มก้มหน้าก้มตาทานอาหารหลังจากตอบคำถาม
“จริงหรือ? ไม่ได้โกหกข้านะ?”
“คุณหนู ท่านพี่ไม่ได้บาดเจ็บอะไรเจ้าค่ะ ไม่มีกลิ่นยาทาแผลด้วย” เหยียนหลิ่วกล่าวยืนยันทันที
เหยียนเฟิงทำอะไรไม่ถูกเมื่อได้ยินน้ำเสียงเด็กน้อยของเหยียนซี เขามองดูเหยียนหลิ่วย่นจมูกและกล่าวพึมพำว่า “เจ้าจมูกสุนัข” จนทำให้เหยียนหลิ่วกลอกตา
เหยียนซีรู้สึกโล่งใจเมื่อเห็นทั้งสองคนเป็นเช่นนี้ จากนั้นก็เดินเข้าไปหาพวกเฉวียจือกับอาต้า
หลังจากถามคำถามทั่วไปก็พบว่าทุกคนต่างสบายดี เธอรู้สึกโล่งใจและคิดว่าคนเหล่านี้จะอยู่ที่นี่อย่างไร
เว่ยเฉิงเหลือบมองคนกลุ่มหนึ่ง และแลกเปลี่ยนบทสนทนากันระหว่างทานอาหาร
กฎเกณฑ์ในวัยเด็กของเขาคือการห้ามพูดคุยระหว่างนอนและทานอาหาร แต่พฤติกรรมของเหยียนซีที่กล่าวไปเรื่อยเปื่อยบนโต๊ะอาหารนั้นช่างขัดต่อกฎเสียจริง
เขามองนางนำอาหารมาให้หลิวเหิง บอกให้พักผ่อนสักครู่หนึ่ง ยกแขนของอีกฝ่ายขึ้นและแสดงท่าทีรู้สึกเจ็บปวดกับบาดแผลด้านหลังและอก ดูคล้ายว่าเขาจะไม่เคยได้รับการดูแลแบบนี้จากครอบครัวมาก่อน
และนั่นทำให้เว่ยเฉิงรู้สึกอิจฉาริษยาเล็กน้อย
MANGA DISCUSSION