บทที่ 167 อาหารที่อยู่ห่างไกลจากเมืองหลวง
ภายในซอยเม่าจือประกอบไปด้วยหลายครัวเรือน ทันใดนั้นเองก็มีเสียงประทัดดังขึ้นยามฟ้าสาง เป็นอันทราบกันดีว่าร้านเนื้อตุ๋นอวี่เซิ่นได้เปิดทำการแล้ว
สตรีทั้งหลายที่เดินออกมาจากซอยเพื่อมาซื้อผัก อดไม่ได้ที่จะต้องหยุดมองดูร้านอาหารดังกล่าว มองหม้อใบใหญ่ที่ตั้งอยู่บริเวณมุมซ้ายและมุมขวาของร้าน ภายในหม้อมีกระบอกไม้ไผ่สำหรับเครื่องปรุงรสชาติต่าง ๆ
ภายในหม้ออีกใบหนึ่ง ดูเหมือนว่าจะมีการต้มไข่ไก่ ทว่าไข่ไก่กลับปริออกจนเผยให้เห็นรอยแตกที่กลายเป็นสีดำ อาหารพวกนี้จะมีรสชาติอร่อยจริงหรือ?
เมื่อเปรียบเทียบกับหม้อใบใหญ่ทั้งสองหม้อแล้ว มีอาหารปรุงสุกหลายจานวางอยู่บนชั้นวาง รวมถึงหูหมู ลิ้นหมู ไข่ เต้าหู้แห้ง ถั่วลิสง… ทั้งหมดล้วนดูน่าทาน และส่งกลิ่นหอมโชยออกมา
หวังชีเป็นดั่งผู้จัดการร้าน คอยยืนอยู่ด้านหน้าชั้นวางของและกล่าวทักทาย “เรียนท่านป้าทั้งหลาย ร้านเนื้อตุ๋นอวี่เซิ่นแห่งนี้เชี่ยวชาญในการปรุงอาหารทุกชนิด พวกเรายินดีให้พวกท่านทุกคนเข้ามาเยี่ยมชมนะขอรับ”
“ผู้จัดการร้าน ทำไมไข่ไก่ของพวกท่านถึงเป็นสีดำนักล่ะ?”
“ท่านป้า ท่านอย่ามองว่านี่เป็นเพียงไข่ไก่ธรรมดาทั่วไป ท่านลองดมดูสิขอรับ มันหอมใช่หรือไม่?” เหยียนซีหยิบไข่ใบชาขึ้นมาอย่างนอบน้อม ปลอกเปลือกออกและแบ่งออกเป็นสองส่วน วางไข่ลงบนจานสีขาว นำเส้นด้ายออกมาตัดแบ่งไข่ใบชาออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ ที่มีจำนวนมากกว่าสิบชิ้น
เหยียนซีมอบตะเกียบให้คนที่อยู่รอบ ๆ เพื่อลองชิม “ไข่ใบชาของเราส่งตรงมาจากโรงน้ำชาอวี่เซิ่นในหย่งโจว ที่เพิ่งมาเปิดสาขาเพิ่มในเมืองหลวง”
“หย่งโจว?” ใครบางคนจำข่าวลือได้ “ข้าเข้าใจแล้ว พวกท่านคือคนในข่าวลือที่ว่าต้องการสูตรลับใช่หรือไม่?”
ชาวบ้านในเมืองหลวงต่างทราบเรื่องนี้กันดี ทำให้คำกล่าวอ้างที่พูดมานั้นชัดเจนมากยิ่งขึ้น ทว่าพวกเขากลับไม่ได้กล่าวออกมาตามตรงว่าใต้เท้าสวีขโมยสูตรลับ
แต่หลังจากกล่าวเช่นนั้น ทุกคนที่เดิมไม่ได้วางแผนจะมาซื้อมัน กลายเป็นล้มเลิกความคิดแรกและซื้อสองชิ้นเพื่อลองชิม
เหยียนซีพยักหน้า และกล่าวแกมหยอกล้อว่า “สำหรับเรื่องดังกล่าว ตระกูลข้ายังอยู่ในเมืองถงอัน ตอนนี้จวนตระกูลสวียังอยู่ในคดีความ อันที่จริงเหตุใดจึงต้องมองหาสูตรลับด้วยเล่า ท่านก็เห็นว่ามาซื้อที่ร้านเองมันสบายกว่าไม่ใช่หรือ? ท่านป้า ลองชิมไข่ใบชาของข้าแล้วเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ?”
“รสชาติไม่เลว! มีกลิ่นหอมของใบชาเล็กน้อย แต่ให้รสอร่อยมากกว่า” ท่านป้าที่ถูกเหยียนซีถามกลืนชิ้นไข่ขนาดเล็กลงคอ และแสดงความเห็นอย่างยุติธรรมว่า “รสชาติอร่อยใช้ได้ ขายอย่างไรล่ะ?”
“ไข่ใบชาราคาฟองละสามอีแปะ ส่วนอาหารเสียบไม้ต้มสามไม้หนึ่งอีแปะเจ้าค่ะ แต่ยามนี้ถั่วลิสงเป็นอาหารและของว่างที่ดีที่สุดแล้ว ไม่ต้องต้มร้อน” เหยียนซีแนะนำทีละจานขณะชี้นิ้วไปยังอาหารปรุงสุกบนชั้นวาง อาหารหมักจานละสิบอีแปะ และอาหารประเภทตุ๋นจานละสิบห้าอีแปะ
“หูหมูสิบห้าอีแปะแพงเกินไป! สิบห้าอีแปะ ข้าซื้อได้หนึ่งจินเลยนะ” ใครบางคนรีบร้องตะโกนออกมา
หวังชียิ้มและหยิบตัวอย่างที่เตรียมเอาไว้ออกมา หั่นหูหมู ลิ้นหมู และถั่วลิสงเป็นชิ้นเล็ก ๆ “ท่านป้า มันเทียบกันไม่ได้หรอกนะขอรับ ท่านดูอาหารที่ร้านของข้าก่อน เจ้าของร้านต้องยุ่งวุ่นวายจัดเตรียมอยู่สองวันจึงจะได้รสชาติอร่อย พวกท่านมาลองชิมดูก็ได้ขอรับ” เขาเดินออกไปข้างนอก
ในตอนนี้ยังไม่มีการให้ชิมฟรี เมื่อหวังชียื่นมือออกไป ทุกคนต่างจ้องมองและรู้สึกละอายใจที่จะลิ้มลองรสชาติอาหาร ทว่าท่านป้าคนเมื่อครู่นี้กลับเป็นฝ่ายเริ่ม “ข้าต้องการซื้อไข่ใบชา ลูกชายข้าชอบกินหูหมูมาก ขอลองชิมดูหน่อย ดูซิว่าจะอร่อยเหมือนที่ข้าทำหรือไม่”
นางลองชิมหูหมูชิ้นเล็กและพยักหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า “หูหมูหากกินเย็น ๆ คงจะอร่อยทีเดียว ข้าขอสองจาน”
เห็นได้ชัดว่าท่านป้าผู้นี้มีสถานะทางครอบครัวค่อนข้างดี ดังนั้นนางจึงสั่งซื้อหูหมูสองจาน ไข่ใบชาหกฟอง และถั่วลิสงหนึ่งจาน
เหยียนหลิ่วหยิบกระดาษชุบน้ำมันมาห่อให้อย่างว่องไวและส่งของให้นาง “ห้าสิบแปดอีแปะเจ้าค่ะ”
“ท่านป้าหลิว อร่อยจริงหรือเจ้าคะ?” ใครบางคนกล่าวถาม
ท่านป้าผู้มีนามว่าหลิวเป็นคนตรงไปตรงมา “อร่อย อร่อยกว่าข้าทำกินเองอีก พวกเจ้าก็มาลองชิมเสีย”
คนอื่นต่างเดินเข้าไปหามือของหวังชีเพื่อลองชิมหลังจากได้ยินคำนั้น หลังจากลองชิมดูแล้วต่างพบว่ารสชาติอร่อยจริง ๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งถั่วลิสงแบบปรุงสุกแล้วอร่อยกว่าที่ทำเอง หลังจากกินเข้าไป ก็ทำให้รู้สึกอยากอาหารขึ้นมาทันที
ราคาอาหารค่อนข้างแพง ว่าราคาอาหารในเมืองหลวงเองก็ไม่ได้ถูกนัก และมันก็พอรับได้สำหรับการรับประทานอาหารแบบนี้นาน ๆ ครั้ง สักหนึ่งหรือสองมื้อ
ทุกคนต่างถือจานคนละใบ และไม่นานอาหารส่วนใหญ่ก็ขายจนหมด
คนบางส่วนเดินออกมาจากเรือน และเห็นคนต่อแถวยาวเหยียด เมื่อเห็นคนรู้จักต่อแถวซื้อของก็อดถามออกไปไม่ได้ว่า “ซื้ออะไรกันหรือ? ร้านนี้อร่อยหรือไม่?”
“รีบมาซื้อเถิด ไม่เช่นนั้นอาหารหมักหม้อที่สองต้องรออีกนานแน่” นางกล่าวตอบ พร้อมเขยิบกายเข้าไปใกล้และลดน้ำเสียงลง “นี่คือไข่ใบชาที่ใต้เท้าสวีต้องการกิน พวกเขามาเปิดร้านที่เมืองหลวงแล้ว”
ความครื้นเครงใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง ยามนี้คือเรื่องเกี่ยวกับตระกูลของใต้เท้าสวี ทุกคนต่างตกตะลึงเมื่อได้ยินเรื่องดังกล่าว และพยายามเบียดเสียดกับฝูงชนเพื่อเข้าไปซื้อไข่ใบชาอย่างเต็มกำลัง
อาหารทุกประเภทขายหมดภายในครึ่งชั่วยาม ยกเว้นหม้อปรุงอาหารเสียบไม้
ดูเหมือนว่าอาหารเสียบไม้จะไม่เหมาะสำหรับขายที่นี่ ควรขายในโรงน้ำชาจะดีเสียกว่า
สภาพอากาศเดือนสี่ทำให้หวังซีเหงื่อท่วมทั้งร่าง เขาต้องเช็ดหน้าผากเป็นระยะ ๆ “ไม่อยากจะเชื่อ! คนในเมืองหลวงนี่ช่างร่ำรวยกันจริง ๆ”
เหยียนซีเม้มปากด้วยความสุขใจ ชาวบ้านในเมืองหลวงอาจจะไม่ได้ร่ำรวยนัก แต่ดูเหมือนคนส่วนใหญ่ที่อาศัยอยู่ในซอยเม่าจือจะเต็มใจใช้สอยเงิน
เธอทำอาหารจานเนื้อมาไม่เพียงพอ จึงต้องวิ่งออกไปซื้อชั่วคราว
เหยียนซีต้องออกไปข้างนอกพร้อมกับตะกร้าผักบนไหล่ ขณะที่เหยียนหลิ่วกำลังทำความสะอาดชั้นวาง และเห็นว่าเธอกำลังจะออกไปข้างนอก จึงทิ้งเศษผ้าเช็ดคราบมันและผ้ากันเปื้อน วิ่งเหยาะ ๆ เข้าไปหาเด็กหญิง และคว้าตะกร้าผักขึ้นมาถือเอาไว้ในมือ
“แผงขายเนื้ออยู่ไม่ไกล…” เหยียนซีรู้สึกหมดหนทาง น่าเสียดายที่เหยียนหลิ่วไม่ทำตามคำกล่าวของเธอ และเดินตามไปอย่างดื้อรั้น
ตั้งแต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านหยางซาน เหยียนหลิ่วคอยตามติดเธอไปทุกหนทุกแห่งราวกับหางน้อย ๆ
เหยียนซีเพียงกล่าวทักทายหวังชี และพาเหยียนหลิ่วออกไป เดินตรงดิ่งไปยังแผงขายเนื้อด้านหน้า มองดูลูกค้าสองท่านยืนเลือกเนื้ออย่างมีความสุข
คนขายเนื้อกล่าวทักทายอย่างร่าเริง “สองวันมานี้คนมาซื้อเนื้อเยอะเลยขอรับ”
“ฮ่า ๆ ก็ไม่ใช่ว่าไปได้เงินห้าตำลึงมาจากตระกูลสวีหรือไง” ลูกค้าซื้อเนื้อคนหนึ่งกล่าวขึ้น “เห็นที่กล่าวว่ามั่งคั่งก็คงจะตามนั้นจริง ๆ ได้ยินมาว่าแจกจ่ายไปตั้งหลายหมื่นตำลึง”
“เยอะจริง! จริงหรือขอรับ?”
“ข้าก็ได้ยินคนจากเรือนสวีคุยกัน… ไอหยา!… ข้าอยากได้เนื้ออวบอ้วน ไม่เอาอันผอมบาง” ลูกค้ารายหนึ่งเห็นว่าพ่อค้ากำลังจะหั่นเนื้อ จึงร้องตะโกนออกมา
“ขอรับ ทั้งหมดนี้เป็นของท่าน”
ลูกค้าหยิบเนื้อและจากไปอย่างมีความสุข
เหยียนซีเห็นว่าไม่มีเนื้อสัตว์เหลืออยู่บนแผงขายเนื้อ ทว่าก็ยังมีหัวหมูอยู่ เธอจึงซื้อหัวหมูกับซี่โครงสองซี่ และหันกลับไปมองดูร้านค้าสองข้างทาง
สถานที่แห่งนี้เป็นชุมทางแยกระหว่างเมืองชั้นในและเมืองชั้นนอก มีร้านค้าเรียงรายทั้งสองข้างทาง ร้านอาหาร ร้านน้ำชา ร้านขายเครื่องทองและเครื่องเงินโบราณ ร้านรับเขียนอักษรและภาพวาด… ที่แห่งนี้ประกอบไปด้วยสามลัทธิเก้าสาขาอาชีพ
เหยียนซีมองดูร้านค้าเสร็จ และกำลังเตรียมจะเดินข้ามฝั่งถนนกลับไปยังซอยเม่าจือ แต่เมื่อเท้าของเธอแตะพื้นถนน เสียงเกือกม้ากลับดังขึ้นมา เด็กหญิงหันหน้ากลับไปมองและเห็นว่าม้าจำนวนกว่ายี่สิบตัวกำลังพุ่งตรงมาที่ตนอยู่
เสียงเกือกม้าทำให้ชาวบ้านตกตะลึง เหยียนซีมองดูความเร็วของฝูงม้าที่กำลังพุ่งเข้ามาหาตน เด็กหญิงตกใจมากจนแขนขาเริ่มอ่อนแรง
“คุณหนู ระวัง!” เหยียนหลิ่วเห็นว่าเหยียนซีกำลังตะลึง จึงรีบยื่นมือออกไปดึงนาง
เหยียนซีได้ยินเสียงร้อง “ฮี้!” จึงหันศีรษะกลับไปมอง และเห็นว่าหัวม้าเกือบจะสัมผัสเข้ากับใบหน้าของตน
MANGA DISCUSSION