บทที่ 159 แรงผลักดันของเว่ยเฉิง
เมืองถงอันไม่ต้องการยอมจำนน คิดเลื่อนเวลาออกไปสองวัน ทว่ากลับได้รับข่าวคราวจากเฉินเก๋อเหล่ากล่าวว่าให้เมืองถงอันพิจารณาคดีความอย่างยุติธรรม
เมื่อเจ้าเมืองถงอันได้รับข่าวคราว ก็แอบคาดการณ์ในใจว่าจวนตระกูลสวีคงกำลังตกที่นั่งลำบาก ใต้เท้าสวีดำรงตำแหน่งหัวหน้าขุนนางมาอย่างมั่นคง เฉินเก๋อเหล่าเองก็พยายามหลีกเลี่ยงไม่ไปข้องเกี่ยวมานานหลายปี ทว่ายามนี้กลับไม่หลบหนี และปล่อยให้เมืองถงอันเข้ามาพิจารณาคดีความ ดูเหมือนว่าราชสำนักในเมืองหลวงจะเกิดการเปลี่ยนแปลงเข้าเสียแล้ว
ปรากฏว่าข่าวลือแพร่สะพัดไปถึงเมืองหลวง
เนื่องจากโรงน้ำชาอวี่เซิ่นอยู่ติดกับถนนสายทางการ ทำให้ข่าวสารจากพ่อค้าต่างถิ่นมิได้ล่าช้าไปกว่าราชสำนักมากนัก
เหล่าขุนนางมากอำนาจหวาดกลัวอันใดมากที่สุด? หากจะกล่าวถึงละครน้ำเน่าในยุคต่อมา เหยียนซีรู้สึกว่าขุนนางมากอำนาจล้วนเป็นสนมคนโปรด สิ่งที่หวาดกลัวมากที่สุดก็คือการไม่ได้รับความโปรดปราน
อำนาจของใต้เท้าสวีล้วนมาจากความไว้วางใจของจักรพรรดิเทียนฉี
ที่สำคัญไปกว่านั้น ตอนที่เหยียนซีอ่านตำราตี่เป้า เธอเห็นว่าฝ่ายตรวจการหลวงเข้ามาเปิดโปงจวนตระกูลสวี ทว่ากลับไม่ได้เปิดโปงเรื่องสำคัญอันใด และถึงแม้ว่าจวนตระกูลสวีจะขูดรีดเอาเปรียบชาวบ้าน แต่กลับไร้ซึ่งหลักฐาน ดังนั้นจวนตระกูลสวีจึงรีบกล่าวปฏิเสธข้อหาเหลวไหลจากฝ่ายตรวจการ
ตอนนี้เองเหยียนซีจึงตัดสินใจส่งหลักฐานบางอย่างไปให้ฝ่ายตรวจการ
เธอจัดการส่งสหายเข้าไปแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างลับ ๆ และป่าวประกาศเนื้อหาคำร้องของหลิวเหิง ทั้งกล่าวว่าจวนตระกูลสวีมีอำนาจเหนือคนทั้งปวง ที่ดินในฝูโจวล้วนถูกจวนตระกูลสวีครอบครองไว้จนหมดสิ้น ยิ่งไปกว่านั้นใต้เท้าสวีมีอำนาจมาก ชาวบ้านในฝูโจวต่างรู้จักจวนตระกูลสวีเป็นอย่างดี แต่ไม่รู้จักจักรพรรดิ แล้วเช่นนี้จะรู้กฎหมายได้อย่างไร
คำกล่าวอ้างล้วนเป็นการติฉินนินทาในที่ลับ ทว่าคนที่รู้ความกลับแพร่กระจายออกไป เหยียนซีใช้เงินกว้านซื้อคนไร้งาน จนข่าวลือแพร่สะพัดไปถึงเมืองหลวง
ข่าวลือนั้นทำให้เกิดการคาดการณ์เกี่ยวกับเรื่องของหลิวเหิงตามมา เช่นว่าจวนตระกูลสวีจะปล่อยพวกเขาไปหรือไม่? และผลจากการคาดเดานั้นกล่าวสรุปได้ดังนี้ หลิวเหิงฟ้องร้องจวนตระกูลสวีด้วยความโกรธเคือง และใต้เท้าสวีจะลงมือสังหารเขาอย่างแน่นอน
ภายในราชสำนักแคว้นเว่ย จักรพรรดิเทียนฉีทรงเสวยพระกระยาหารค่ำเสร็จเป็นที่เรียบร้อย ไม่นานก็มีคนมาทูลว่าองค์ชายมาขอเข้าเฝ้า
เว่ยเฉิงเป็นบุตรชายของผิงอ๋อง หากเหยียนซีมาเห็นเข้า จะต้องจดจำได้ทันทีว่านี่คือเด็กชายที่เธอช่วยชีวิตเอาไว้
แน่นอนว่าบัดนี้เว่ยเฉิงไม่ได้เป็นเหมือนในอดีตอีกต่อไปแล้ว เขาอยู่ในชุดคอกลมสีเงิน มีหยกขาวประดับอยู่บริเวณผ้าคาดศีรษะ เผยใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่ม
หลังจากกลับออกมาจากหมู่บ้านหยางซาน เขาไม่ได้กลับไปต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับผู้เป็นมารดา แต่กลับตรงไปร้องขอความช่วยเหลือจากจักรพรรดิเทียนฉี ผู้ซึ่งมีศักดิ์เป็นลุงในเมืองหลวง และทวงถามตำแหน่งรัชทายาทอย่างตรงไปตรงมา จนท่านพ่อมิอาจทนการรบเร้าได้อีก จึงขอร้องเสด็จลุงของเขาให้ส่งตัวเขาไปที่ชายแดน ทั้งยังกล่าวว่าแม้เขาจะต้องสู้รบจนตัวตายในสมรภูมิรบก็จะไม่กล่าวตำหนิ
หย่งโจวอยู่ห่างไกลจากเมืองหลวง จักรพรรดิเทียนฉีเห็นเว่ยเฉิงเติบโตมาตั้งแต่ยังเล็ก เมื่อเติบใหญ่ขึ้นมาก็ไม่เคยเดินทางเข้ามาเมืองหลวง ทว่ายามนี้กลับวิ่งมาร้องขอความช่วยเหลือ จักรพรรดิเทียนฉีเห็นแก่คำกล่าวที่จริงใจ ทั้งยังเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและขุ่นเคือง จึงรู้สึกเห็นอกเห็นใจ
ย้อนกลับไปตอนนั้นจักรพรรดิเทียนฉีก็เป็นองค์ชายที่ไม่ได้รับการโปรดปรานเช่นกัน เมื่อจักรพรรดิองค์ก่อนถูกสังหาร สนมที่ก่อการร้ายถูกจับกุมตัว โอรสทั้งหลายและอันอ๋องถูกขับไล่ออกจากเมืองหลวงไป จนกระทั่งสิบปีต่อมา อันอ๋องถูกกุมขังและไม่มีอันตรายใด ๆ แอบแฝงอยู่
เมื่อเห็นเว่ยเฉิงมาขอความช่วยเหลือ เขาคล้ายจะมองเห็นตนเองเมื่อตอนอยู่ในตำหนักบูรพา หลังจากกล่าวปลอบสองสามคำ ก็ขอให้เว่ยเฉิงพักอยู่ที่เมืองหลวงชั่วคราว
หลังจากเว่ยเฉิงเข้ามาอยู่ในเมืองหลวง เขาก็มักจะวิ่งเข้ามาขอเข้าเฝ้าทุกเช้าเย็น คอยศึกษาตำราอยู่หลังประตูเมื่อมีเวลาว่าง
จักรพรรดิเทียนฉีทรงเลือกลูกหลานจากตระกูลของตนให้มาที่เมืองหลวงสองคน เจตนาจะเลี้ยงดูพวกเขาตั้งแต่อายุยังน้อย ทว่าเขากลับมีอายุเกินห้าสิบปีแล้ว ต้องอยู่ต่ออีกกี่ปีกันถึงจะเลี้ยงดูลูกหลานจนเติบใหญ่? หากส่งต่อบัลลังก์ให้จักรพรรดิวัยเยาว์ เกรงว่านั่นจะเป็นการสร้างความวุ่นวายให้บ้านเมือง
จักรพรรดิเทียนฉีแลกเปลี่ยนบทสนทนากับเว่ยเฉิง และพบว่าเขานั้นเชี่ยวชาญทั้งวรรณกรรมและศิลปะการต่อสู้ มีความสามารถหลากหลาย และความคิดเห็นต่าง ๆ ล้วนก็สอดคล้องกับความคิดเห็นของตน
จึงอดไม่ได้ที่จะเปลี่ยนแปลงความคิด
ในแง่ของความสัมพันธ์ทางสายเลือด เว่ยเฉิงเป็นหลานชายของเขา
ในแง่ของความใกล้ชิดสนิทสนม เว่ยเฉิงเป็นปรปักษ์กับผิงอ๋อง และคลางแคลงใจว่าการสิ้นพระชนของพระชายาเอกในผิงอ๋องเกี่ยวข้องกับผิงอ๋องและอนุคนสนิทหรือไม่
ในแง่ของความสามารถ เว่ยเฉิงอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของผิงอ๋องมาตั้งแต่ยังน้อย ถูกเหล่าอาจารย์ยกย่องว่าเป็นผู้มีปัญญาความสามารถ และยังได้เรียนรู้ศิลปะการต่อสู้จากปรมาจารย์
ดังนั้นการมาขอเข้าเฝ้าชั่วคราวจึงกลายเป็นการเรียกเว่ยเฉิงให้มาเข้าเฝ้าเป็นครั้งคราว
เว่ยเฉิงจะมาเข้าเฝ้าในวังหลวงทุกวัน และแลกเปลี่ยนบทสนทนากับจักรพรรดิเทียนฉี
หลังจากเข้าเฝ้า เว่ยเฉิงสังเกตเห็นว่าความอยากอาหารของจักรพรรดิเทียนฉีลดน้อยลง จึงกล่าวแนะนำให้เสวยอาหารว่าง และแลกเปลี่ยนบทสนทนาเกี่ยวกับขนมจากที่ต่าง ๆ
จักรพรรดิเทียนฉีเติบโตขึ้นมาในเมืองหลวง ประทับอยู่ในวังหลวง และทรงเสวยอาหารที่ปรุงสุกจากพ่อครัวหลวงเท่านั้น
เว่ยเฉิงกล่าวถึงรสชาติทุกประเภท จนกระตุ้นความสนใจในบทสนทนาได้มากโข
“เสด็จลุงฮวง หากกล่าวถึงว่าความอร่อย หลานเพิ่งได้ลิ้มลองไข่ใบชาในข่าวลือมาพ่ะย่ะค่ะ อร่อยสมคำล่ำลือจริง ๆ”
“ไข่ใบชา? นำไข่ไก่ไปต้มในใบชาหรือ?” จักรพรรดิเทียนฉียังไม่เคยได้ยินเรื่องดังกล่าว
“คงจะใส่เครื่องปรุงรสเพิ่มด้วยพ่ะย่ะค่ะ มีรสชาติออกเค็มแต่อร่อย กล่าวกันว่าเป็นสูตรลับพิเศษ หลานได้ยินมาว่าแม้แต่ใต้เท้าสวียังถูกสูตรลับนี้ล่อลวง บัดนี้ทุกคนกล่าวกันว่าไข่ใบชาช่วยให้ร่างกายแข็งแรง ทว่าหลานกลับคิดว่ามันเหลวไหล ใต้เท้าสวีไม่เคยแลของดี ๆ แล้วเหตุใดจึงใฝ่หาของเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นนี้จนคิดสังหารเอาชีวิต” เว่ยเฉิงส่ายหน้า “แต่ไข่ใบชานั้นอร่อยจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ”
“สังหารเอาชีวิตหรือ?” จักรพรรดิเทียนฉีมองดูเว่ยเฉิงด้วยความคลางแคลงใจ “สวีถิงจือสังหารคนเพราะไข่ใบชาอย่างนั้นหรือ?”
“ไม่ใช่ขุนนางสวีหรอกพ่ะย่ะค่ะ หลานได้ยินว่าเป็นคนจากตระกูลสวี ทว่าพระองค์เองก็รู้ว่าชาวบ้านทั่วไปชอบแพร่กระจายข่าวลือ หัวหน้าตระกูลสวีมีชื่อเสียงกว้างไกล ตราบใดที่ตระกูลสวีเป็นผู้ลงมือกระทำ อย่างไรเสียเรื่องก็เกี่ยวข้องกับขุนนางสวีอยู่ดีพ่ะย่ะค่ะ” เว่ยเฉิงกล่าวไปเรื่อยเปื่อย และกล่าวถึงขนมอื่น ๆ ในเมืองหย่งโจวต่อ
ทั้งสองแลกเปลี่ยนบทสนทนาอยู่สักครู่หนึ่ง ก่อนที่เว่ยเฉิงจะพาจักรพรรดิเทียนฉีออกไปเดินย่อยอาหารยังตำหนักศึกษา และออกประตูหน้าพระราชวังไปหลังจากพระอาทิตย์ตกดิน
โจวหงยืนรออยู่หน้าประตูพระราชวัง รีบก้าวเท้ามาข้างหน้าทันทีเมื่อเห็นเว่ยเฉิงเดินออกมา ประคองเขาขึ้นบนรถม้า และมุ่งหน้าไปยังวังที่จักรพรรดิเทียนฉีมอบให้เว่ยเฉิง พร้อมกับเสียงรถม้าดังกึกก้อง
“องค์ชาย ใต้เท้าหลินพูดถึงเรื่องนี้แล้วพ่ะย่ะค่ะ เขากล่าวว่าท่านควรซ่อนเรี่ยวแรงและรอเวลา ไม่จำเป็นต้องกังวลอันใด” โจวหงกล่าวพึมพำว่าใต้เท้าหลินเป็นหัวหน้าที่ปรึกษา ต้องการช่วยเหลือเว่ยเฉิงเพื่อชิงบัลลังก์เท่านั้น
“เจ้าคิดว่าอย่างไร?” เว่ยเฉิงยิ้มและกล่าวถาม
“กระหม่อมคิดว่าแม่นางน้อยเหยียนช่วยชีวิตพวกเราไว้ และนางหวังเองก็เป็นหญิงใจดีที่น่าสงสาร ลูกผู้ชายควรรู้จักแยกแยะความคับข้องใจและขุ่นเคือง หากมิใช่ว่ากระหม่อมต้องรับใช้พระองค์ บัดนี้กระหม่อมคงจะมุ่งหน้าไปหย่งโจว แล้วถามว่ามีเรื่องอะไรที่พอจะช่วยเหลือได้บ้างหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” โจวหงกล่าวอย่างไม่ใส่ใจนัก และกล่าวต่อว่า “ใต้เท้าหลินเป็นคนฉลาดหลักแหลม แต่กลับชอบนึกถึงผลประโยชน์ของตนเสียเป็นส่วนใหญ่”
เว่ยเฉิงยิ้ม บัดนี้เขากำลังได้รับความโปรดปรานจากจักรพรรดิเทียนฉี จึงต้องการทำตัวเงียบเฉียบ ไม่กล่าวถามถึงขุนนางเพื่อหลีกเลี่ยงความคลางแคลงใจ
ทว่าการเก็บตัวเงียบจะมีประโยชน์อันใดหากสุดท้ายแล้วกำลังบ่มเพาะบุคคลที่ไร้ประโยชน์?
ถึงแม้ว่าใต้เท้าสวีจะไม่ได้แสดงท่าทีสนับสนุนอย่างชัดเจน ทว่าเขากลับร้องขอให้ฝ่าบาทฝึกสอนองค์ชายตั้งแต่อายุยังน้อย เห็นได้ชัดว่าเป็นการกีดกันตน ดังนั้นบุคคลที่ไม่เห็นคุณค่าของตน ยิ่งล้มลงเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี
โจวหงที่คอยปรนนิบัติรับใช้เขามาตั้งแต่ยังเด็ก จนสามารถรู้ได้ว่าควรจะทำตนเช่นไรต่อหน้าเขา เมื่ออีกฝ่ายได้ยินข่าวจากเมืองถงอันในวันนี้ ก็ทำตัวคล้ายเแมลงวันบินว่อนอยู่ข้างหู คอยกระซิบอยู่ใกล้ ๆ ไม่หยุดหย่อน หากรู้แล้วไม่ตอบแทนความใจดีมีน้ำใจ หัวใจของคนเหล่านั้นจะไม่เจ็บปวดเอาหรือ?
ในเมื่อเหยียนซีกับหลิวเหิงกำลังเผชิญหน้ากับใต้เท้าสวี ดังนั้นเขาจึงต้องให้ความช่วยเหลือแก่พวกเขา
เว่ยเฉิงแหงนหน้ามองหมู่ดาวบนท้องฟ้า หวนนึกถึงเด็กหญิงตัวน้อยแปลกประหลาดกับนางหวังในหมู่บ้านหยางซาน ในครั้งแรกที่เจอกันสตรีผู้นั้นดูอ่อนโยนมาก และเกรงว่าจะมีเงื่อนงำอะไรบางอย่างเกี่ยวข้องกับการตายของนางหวัง สำหรับเหยียนซีก็เป็นเด็กหญิงพิลึกที่ผู้คนหลงลืมอายุของนาง
ข่าวลือเกี่ยวกับจวนตระกูลสวีในเมืองหลวงตลอดสองวันที่ผ่านมาเป็นความคิดของนางหรือไม่? และโรงน้ำชาอวี่เซิ่นเป็นความคิดที่ยอดเยี่ยมทีเดียว
MANGA DISCUSSION