บทที่ 158 แขกมากหน้าหลายตา
นายอำเภอจงเผลอทำพลาด ไม่ทันได้สังเกตเห็นว่าทั้งสี่ยังมีผ้ายัดปากอยู่ จึงขอให้นักการศาลเอาผ้าออก
เมื่อทั้งสี่บุรุษเห็นว่ากำลังจะถูกดึงผ้าออก จึงพยายามหลีกเลี่ยงมือคู่นั้นของนักการศาลอย่างยิ่งยวด
“จับพวกมันเอาไว้!” นายอำเภอจงร้องตะโกนด้วยความเกรี้ยวโกรธ เมื่อเห็นทั้งสี่บุรุษส่ายหน้าลุกลี้ลุกลน ไม่ยอมให้นักการศาลดึงเศษผ้าออก
เฉวียจือเข้ามาจับบุรุษคนหนึ่ง และกล่าวถามว่า “ใต้เท้า ขอเรียนถามอะไรสักหน่อยได้หรือไม่ขอรับ พวกเจ้าเป็นคนจากจวนตระกูลสวีแห่งฝูโจวใช่หรือไม่?”
บุรุษผู้นั้นพยักหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า ส่งสายตาวิงวอน
“ใต้เท้าถามเจ้า และเมื่อคืนยามเจ้ากล่าวสารภาพ บอกว่าจะถามนายเจ้าอีกครั้ง” เฉวียจือกล่าว
หลังจากหยุดนิ่ง นักการศาลรีบยื่นมือออกมาคว้าเศษผ้าออกจากปากของทั้งสี่บุรุษ เฉวียจือจึงใช้โอกาสฉกฉวยสถานการณ์ในตอนนี้ผละมือออก
“ข้าเป็น…” บุรุษคนหนึ่งกล่าวออกมาได้สองคำ ไม่นานแขนขาก็กระตุกอย่างรุนแรงและล้มลงกับพื้นด้วยความเจ็บปวด
หลังจากนั้นทั้งสามบุรุษที่เหลือก็กระตุกสองสามครั้ง และแน่นิ่งไป
“อ๊ะ ตายแล้ว!” คนข้างนอกร้องตะโกนเมื่อเห็นเลือดกองอยู่บนพื้น
“ใต้เท้า ชาย… เหล่านี้สิ้นใจแล้วขอรับ!” นักการศาลก้าวเข้าไปข้างหน้า มองดูเลือดที่ไหลออกมาจากจมูกและปาก เป็นเช่นนี้จะต้องสิ้นลมหายใจแล้วเป็นแน่!
“นี่มัน… ใต้เท้า ถูกวางยาพิษขอรับ!” นักการศาลมองสายเลือดบนพื้น และกล่าวรายงาน
นายอำเภอจงตกตะลึง เหตุใดทั้งสี่บุรุษจึงถูกวางยาพิษจนสิ้นใจตายคาที่ได้? เขาเหลือบมองเฉวียจือ และตั้งข้อสังเกตถึงการเคลื่อนไหวของเขา ทว่าเขากลับไม่ได้ลงมือใด ๆ นอกจากกดชายทั้งสี่คน ยิ่งไปกว่านั้นเขาสัมผัสชายเพียงแค่คนเดียว แล้วเช่นนั้นทั้งสี่คนจะสิ้นใจตายพร้อมกันได้อย่างไร?
“ท่านใต้เท้า ทั้งสี่กัดลิ้นตนเองขอรับ ตามซอกฟันมีถุงยาพิษซ่อนไว้อยู่ หลังจากดึงเศษผ้าออกแล้ว คาดว่าพวกเขาน่าจะกัดถุงยาพิษเพื่อปลิดชีพตนเองขอรับ”
และแล้วบุรุษทั้งสี่ก็สิ้นใจลง
“ซ่อนยาพิษไว้ในปากอย่างนั้นหรือ?” ใครบางคนร้องอุทาน
นายอำเภอจงยังคงตั้งข้อสันนิษฐานว่าการเสียชีวิตของทั้งสี่คนเกี่ยวข้องกับเฉวียจือ ทว่าเขากลับคาดไม่ถึงว่าใต้เท้าสวีจะต้องการสูตรลับของบ้านตระกูลหลิว และไม่ว่าทั้งสี่จะสิ้นลมหายใจอย่างไร แต่พวกเขาล้วนมีเหรียญตราและคำแนะนำที่พิสูจน์ได้ว่ามาจากฝูโจวจริง ๆ
“ข้าจะรายงานคดีความดังกล่าวต่อเบื้องบนตามข้อเท็จจริง” ทุกคนสิ้นใจลงแล้ว เขาก็ไม่อาจพิพากษาต่อไปได้ ตอนนี้เรื่องด่วนที่สุดคือการรายงานคดีความดังกล่าวไปยังเบื้องบน และส่งเรื่องนี้ไปให้ท่านเจ้าเมือง
นายอำเภอจงรับสั่งให้นักการศาลรายงานคดีความดังกล่าวไปยังศาลาว่าการ
จวนตระกูลสวีละโมบโลภมากต่อสูตรลับของโรงน้ำชาบ้านตระกูลหลิว พวกเขาจึงส่งคนออกมานับพันลี้เพื่อขโมยสูตรลับดังกล่าว จวนตระกูลสวีที่อยู่ภายใต้อำนาจของใต้เท้าสวีส่งคนออกมาสังหารและขโมยเงินตรา… เมื่อข่าวคราวแพร่กระจายเร็วขึ้นมากเท่าไหร่ เนื้อหาก็ยิ่งบิดเบือนมากขึ้นเรื่อย ๆ เท่านั้น
ข่าวลือมีเนื้อหาจินตนาการที่ไร้ขอบจำกัด รวดเร็วกว่าขาทั้งสองข้างของมนุษย์ และในไม่ช้าข่าวลือก็จะแพร่สะพัดไปถึงเมืองถงอัน เหยียนซีพาผู้เฒ่าหวูโถวกับเหยียนหลิ่วออกไปเดินเล่น จนได้ยินข่าวลือที่มีหลากหลายแขนง
ข่าวลือที่สมจริงที่สุดคงจะเป็นหยางเสวี้ยเจิ้งกล่าวสรรเสริญหลิวจู่เหริน และกระจายข่าวว่าหลิวจู่เหรินมีสูตรลับ นายท่านคนรองจากบ้านตระกูลสวีมาได้ยินเข้า จึงส่งคนเข้ามาหมายยึดครอง แต่หลังจากคนที่ส่งมาถูกจับกุมตัว กลับหวาดกลัวความผิดจนปลิดชีพตนเอง
หากเป็นแหล่งข่าวที่พูดเกินจริง คงจะเป็นหลิวจู่เหรินทำความดีจนพระโพธิสัตว์เข้าฝันมาให้สูตรลับให้แก่โรงน้ำชาบ้านตระกูลหลิว ไม่เพียงแต่จะอร่อยเท่านั้นแต่ยังช่วยให้มีชีวิตยืนยาว ใต้เท้าสวีต้องการไม่แก่ไม่ตาย จึงสั่งให้บ้านตระกูลหลิวมอบให้ ทว่าหลิวจู่เหรินสาบานว่าถึงตายก็ไม่มอบให้ ใต้เท้าสวีจึงส่งคนมาสังหารและขโมยสูตรลับ
หลังจากเหยียนซีฟังข่าวคราวตามท้องถนนและตรอกซอกซอย ก็ตระหนักได้ว่าไข่ใบชาของพวกตนนั้นดีเยี่ยม แม้แต่ใต้เท้าสวียังต้องการครอบครอง แม้ว่าเธอจะไม่ได้รับจดหมายจากหลิวเหิง ทว่าเหยียนซีก็รู้ว่าจวนตระกูลสวีต้องส่งคนมาอีกครั้งเป็นแน่ และเด็กหญิงก็ดีใจมากที่ครั้งนี้ทุกอย่างไม่เป็นตามที่คนเหล่านั้นต้องการ
หลิวเหิงคิดแล้วว่าตนไม่ต้องการให้ความขุ่นเคืองดังกล่าวส่งผลกระทบต่อนางหวัง หากเขาเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับเว่ยหวน มันจะส่งผลกระทบต่อมารดาและทำให้นางต้องตกเป็นเป้านินทาว่าร้ายจากผู้อื่นเป็นแน่ อีกทั้งเขายังต้องการใช้ประโยชน์จากความสนใจของชาวบ้านที่มีต่อโรงน้ำชาอวี่เซิ่น ดึงเอาจวนตระกูลสวีออกมา
ใต้เท้าสวีอยู่ห่างไกล ทว่าตระกูลสวีในฝูโจวกลับก่อปัญหามากมาย จึงเป็นเรื่องน่าแปลกใจที่จวนตระกูลสวีถูกนินทาออกเป็นวงกว้าง
นอกจากนี้จวนตระกูลสวียังส่งคนไปโจมตีหลิวจู่เหริน เมื่อแหล่งข่าวแพร่สะพัดออกไปแล้ว จวนตระกูลสวีก็จำต้องกล่าวอธิบายว่าเหตุใดจึงส่งชายทั้งสี่คนไปยังหมู่บ้านหยางซานในอำเภอหมิงสุ่ย และเหตุใดจึงแอบเข้าไปในเรือนตระกูลหลิว
ทว่ากลับคาดไม่ถึงว่าเพียงแค่พวกเขาส่งคนออกมากล่าวอธิบายสองสามคำ ข่าวคราวเรื่องการลงมือสังหารและยึดทรัพย์สมบัติต่าง ๆ จะถูกหยิบยกขึ้นพูดถึง
แน่นอนว่าเหยียนซีไม่พลาดโอกาสการตลาดที่ดีแบบนี้เช่นกัน
ไข่ใบชากับอาหารเสียบไม้ต้มที่แม้แต่ใต้เท้าสวียังอยากครอบครองนั้นอร่อยเพียงใด?
ชาวบ้านทั่วไปรู้สึกว่าเรื่องดังกล่าวไม่ยุติธรรมต่อหลิวจู่เหริน และอยากรู้เกี่ยวกับอาหารจานนั้นมากขึ้น ภายในเมืองถงอันไม่มีขาย ชาวบ้านจึงไม่ลังเล รีบเร่งฝีเท้าไปยังโรงน้ำชาอวี่เซิ่นสาขาหน่วยงานไปรษณีย์หวังอัน ซึ่งอยู่ห่างออกไปสองร้อยลี้ เพื่อลิ้มรสอาหารอันโอชะดังกล่าว
หลังจากเดินทางมาไกลจนถึงหน่วยงานไปรษณีย์หวังอันก็เริ่มหิวโหยกันมากแล้ว ส่งผลให้รสชาติดั้งเดิมที่อร่อยเพียงแค่เจ็ดเท่า อร่อยมากถึงสิบสองเท่า
หนึ่งคนเล่าเท่ากับสิบ สิบคนเล่าเท่ากับร้อย ขณะนี้อาหารในโรงน้ำชากำลังขาดตลาด คาราวานบางส่วนแวะมาซื้ออาหารและนำกลับไปแจกจ่ายเป็นของฝาก หากไม่ต้องคำนึงถึงระยะทางที่ยาวไกลและการเก็บรักษา พวกพ่อค้าต่างถิ่นคงต้องการค้าขายเช่นกัน
แขกทั้งหลายนั่งอยู่ในโรงน้ำชา ด้านหน้ามีถ้วยใบเล็กสำหรับใส่ไข่ไก่ และมีถ้วยทรงกลมสำหรับอาหารไม้เสียบต้ม ทุกคนกินอย่างพึงพอใจ อีกทั้งต่างพากันกล่าวถึงความอร่อยของสูตรลับที่ทำให้ขุนนางท่านนั้นละโมบโลภถึง
ใครบางคนเดินผ่านไปมาด้วยความไม่รู้ เพียงได้กลิ่นหอมโชยมา จึงถามผู้คนว่ารสชาติอร่อยหรือไม่?
พวกเขาจ้องมองกลับมาด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยาม “สูตรลับที่ใต้เท้าสวีต้องการครอบครอง เจ้าคิดว่ามันจะอร่อยหรือไม่เล่า?”
ใต้เท้าสวีผู้อยู่เบื้องบน ตอนนี้กลับต้องเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับไข่ใบชาและอาหารเสียบไม้ต้ม
เมื่อข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่วทิศเหนือ กิจการโรงน้ำชาอวี่เซิ่นที่เพิ่งเปิดใหม่ก็เต็มไปด้วยแขกมากหน้าหลายตา
หลังจากนั้นไม่นานหวังชีก็ซื้อที่ดินผืนที่เจ็ด และเริ่มทำกิจการ
“เจ้านาย มีเรื่องอันใดหรือขอรับ?” หลิวจิ้นเป่ากล่าวถามเมื่อเห็นว่าผู้จัดการหลิวชุนหนิวดูเป็นกังวล
เหยียนซีส่ายหน้า กล่าวว่าไม่ต้องกังวล
เพราะอีกไม่นานทุกคนจะรู้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องไร้สาระ
หลิวเหิง จู่เหรินในอำเภอหมิงสุ่ยพันมือที่บาดเจ็บสาหัส ออกมาร้องทุกข์ ฟ้องร้องตระกูลสวีแห่งฝูโจวในข้อหาฆาตกรรม ลักทรัพย์ และทำร้ายผู้อื่นโดยเจตนา
หลักฐานที่เป็นสิ่งของที่อยู่เบื้องหลังคำร้องเรียนคือตราสัญลักษณ์ของจวนตระกูลสวีและเอกสารของทั้งสี่คน ซึ่งพิสูจน์ได้ว่าพวกเขามาจากตระกูลสวีแห่งฝูโจว นอกจากนี้ยังมีพยานพบเห็นเหตุการณ์อีกมากมาย ชาวบ้านที่เฝ้าดูอยู่ในหมู่บ้านหยางซานและที่ว่าการอำเภอหมิงสุ่ยสามารถเป็นพยานได้ว่าชายทั้งสี่คนนั้นเป็นพรรคพวกของใต้เท้าสวี และยังพยักหน้าให้การเป็นพยานในที่ว่าการอำเภอ
กระดาษคำร้องถูกส่งไปยังที่ว่าการอำเภอหมิงสุ่ย นายอำเภอจงรับคำร้องมาด้วยสีหน้าขมขื่น จากนั้นจึงส่งคำร้องดังกล่าวไปยังเมืองถงอัน
เขามีหน้าที่ดูแลชาวบ้านในอำเภอ ไม่อาจข้ามไปยังฝูโจวได้
เจ้าเมืองถงอันได้รับคำร้องดังกล่าวและรีบเร่งฝีเท้าไปยังเรือนตระกูลเฉินภายในชั่วค่ำคืน นายท่านเฉินได้ยินข่าวลือดังกล่าวและได้ฟังเรื่องตลกขบขันนั้นมาแล้ว ทว่าเขากลับขมวดคิ้วเมื่อเห็นกระดาษแผ่นนี้ “เจ้าคิดว่าจะตัดสินอย่างไร?”
จวนตระกูลเฉินกับจวนตระกูลสวีเป็นขุนนางอยู่ใต้ราชวงศ์เดียวกัน พวกเขาจึงไม่ต้องการที่จะเผชิญหน้ากับใต้เท้าสวี
“จำเลยต้องถูกนำตัวมาพิจารณาคดีในศาลขอรับ” เจ้าเมืองรู้สึกกังวล “คดีความนี้มีข่าวลือมากมาย มิใช่เรื่องเล็กน้อย ไม่เพียงแค่เป็นที่กล่าวถึงในถงอัน แม้แต่หย่งโจวเองก็ด้วยขอรับ”
นายท่านเฉินตระหนักได้ว่าหากเจ้าเมืองไม่พิจารณาคดีความดังกล่าว ก็จะต้องถูกสงสัยว่ามีส่วนช่วยปกปิด และการถูกยื่นเรื่องร้องเรียนมิใช่เรื่องเล็กน้อยเลย
MANGA DISCUSSION