บทที่ 147 ขุนนางเหออุทิศตน
ทุกคนต่างรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง เมื่อกระบวนการเรียนรู้คุณงามความดีครั้งที่สองจบลง
หากกล่าวถึงเรื่องความลับ ที่เห็นได้ชัดสุดคงเป็นท่านอาสามที่มาส่งเสบียงอาหารถึงหน้าเรือนอย่างกระตือรือร้น เขาเข้ามาพูดคุยกับเหยียนซี “ซีเอ๋อร์ จิ้นเป่าของเราไม่ได้กล่าวอะไรกับทางบ้านนักหรอก เพียงแต่ก่อนหน้านี้อาไปบอกกับพวกชาวบ้านว่าจิ้นเป่าจะได้เป็นผู้จัดการร้าน เงินเดือนไม่น้อย มันเป็นเพราะอาพูดไปเรื่อยเอง”
“วันนี้บ้านทางมารดาผ่านมาหมู่บ้านเรา ถามไถ่ถึงเรื่องโรงน้ำชา แต่อาไม่ได้กล่าวอันใดออกไป บอกพวกเขาให้ไปถามเจ้าของเอาเอง ตัวอาเองนั้นก็ไม่รู้อะไร”
“ข้ารู้เจ้าค่ะท่านอาสาม ท่านพี่จิ้นเป่าทำงานอย่างขยันขันแข็งและติดดินมาตลอด ข้ากับท่านพี่เอ้อร์หลางทราบดีเจ้าค่ะว่าเขาเป็นคนดี” เหยียนซีกล่าวปลอบ ก่อนที่ท่านอาสามจะยิ้มแย้มมีความสุข และกลับบ้านไป
หลังจากโรงน้ำชาแห่งแรกถูกมอบให้หลิวจิ้นเป่าดูแล โรงน้ำชาแห่งที่สองก็ถูกก่อตั้งขึ้นบนถนนของทางการระหว่างเมืองชิงหลงกับอำเภอหลินสุ่ย ครั้งเมื่อค้าขายเสื้อผ้าสำเร็จรูป เหยียนซีกับหวังชีต้องเดินเร่ร่อนไปทั่วอำเภอเมืองหลินสุ่ย จึงทราบดีถึงสถานการณ์ทั้งสองด้านของถนนทางการ
ระหว่างเมืองชิงหลงกับอำเภอหลินสุ่ยมีเนินเขาขนาดเล็กคั่นกลาง ซึ่งมันอยู่ใกล้กับถนนทางการ บริเวณด้านข้างเนินเขามีการสร้างบ้านมุงจากใบจาก ขณะที่อีกด้านหนึ่งของภูเขาเป็นผืนดินอุดมสมบูรณ์
หลิวเหิงกับหวังชีมาพบเจ้าของที่ดินของเนินเขารกร้าง แต่กลายเป็นว่าผืนดินแห่งนี้เป็นของขุนนางเหอ ตอนที่หลิวเหิงสอบได้ผ่านเป็นจู่เหริน ขุนนางเหอก็ได้มาแสดงความยินดีและมาเยี่ยมเยียนบ้านตระกูลหลิวเป็นการส่วนตัว นอกจากนี้ปีที่แล้วทั้งสองครัวเรือนยังมอบของขวัญช่วงตรุษจีนให้แก่กันและกัน และเมื่อนางหวังถึงแก่กรรม เขาก็ยังมาร่วมพิธีศพ
ดังนั้นเมื่อหวังชีมาปรากฏกายที่หน้าประตูบ้านและอ้างว่าบ้านตระกูลหลิวต้องการซื้อที่ดินรกร้างบนถนนทางการ สมาชิกบ้านตระกูลเหอจึงรีบจัดแจงยกที่ดินผืนนั้นให้บ้านตระกูลหลิวทันที “เนินเขาลูกนี้ปลูกไม้ได้ไม่งามนัก เป็นผืนดินลูกรังเปล่าประโยชน์ ไม่มีค่าอันใดเลย”
แม้ปฏิเสธที่จะรับเงิน ทว่าตามมารยาทหลิวเหิงจะต้องมากล่าวขอบคุณเป็นการส่วนตัว
เมื่อขุนนางเหอได้ยินว่าหลิวจู่เหรินกำลังจะแวะมาเยี่ยม จึงเดินออกมาทักทายที่หน้าประตูด้วยตนเอง
หลิวเหิงกล่าวว่าอย่างไรเสียที่ดินผืนนั้นก็จำต้องมีการแลกเปลี่ยนเป็นเงิน “ของอันใดที่อยู่บนร่างกาย อย่าได้ปล่อยทิ้งขวางนักเลยขอรับ ข้ารู้ว่าขุนนางเหอมีเจตนาดี ทว่าเนินเขาลูกนี้ก็ยังสามารถผลิตฟืนให้ครอบครัวหนึ่งได้ตลอดทั้งปี หากไม่แลกเปลี่ยนเป็นเงินกลับไป ข้าคงไม่อาจเอามาเป็นของตนเองได้ ดังนั้นแล้วข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเหนือจากกล่าวขอบคุณ และขุนนางเหอ โปรดรับเงินนี้ไว้เถิดขอรับ”
“หลิวจู่เหรินช่างทำตัวเกรงใจยิ่งนัก …อันที่จริงข้ามีคำขออยู่ข้อหนึ่ง เรือนข้าสะสมที่ดินสองผืนนี้มาหลายชั่วอายุคนแล้ว หากในภายหน้านายน้อยหลิวไม่ทอดทิ้ง ข้าก็ยินดีจะพาครอบครัวไปอยู่ใต้ปีก ต่อไปข้าจะได้ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับลูกหลานอีก”
กลายเป็นว่าขุนนางเหอต้องการยกที่ดินให้กับหลิวเหิง
หลังจากกลายมาเป็นจู่เหริน ก็จะสามารถได้รับการยกเว้นภาษีและการเกณฑ์แรงงาน ดังนั้นเมื่อจู่เหรินประสบความสำเร็จ ผู้ที่อยู่บริเวณใกล้เคียงจึงมักจะมาขอพึ่งพาอาศัย ทั้งขอยกเว้นภาษีและเกณฑ์แรงงานภายใต้อำนาจของจู่เหรินคนนั้น ๆ
หลิวเหิงคอยรักษาชื่อเสียงความกตัญญูที่มีต่อครอบครัว เพื่อหลีกเลี่ยงการหาผลประโยชน์จากคนนอกมาตลอด นอกเหนือจากคนในหมู่บ้านหยางซานแล้ว ชายหนุ่มไม่เคยยอมรับการติดตามจากบุคคลภายนอกมาก่อน
ดังนั้นหลิวเหิงจึงก้มหน้า พลางพิจารณาเมื่อได้ยินคำขอร้องของขุนนางเหอ
สมาชิกในบ้านตระกูลเหอเห็นว่าหลิวเหิงเงียบไป จึงกล่าวว่า “หากนายน้อยหลิวไม่ทอดทิ้งพวกข้า ข้าจะให้เงินสามส่วนจากค่าเช่าที่ดินของตระกูล”
เมื่อน้ำใสเกินไปก็ไร้ปลา การยอมอุทิศตนอยู่ภายใต้คนมีอำนาจเป็นสิ่งที่ควรทำในยามนี้ และมันยังเป็นหลักประกันให้คนธรรมดาได้ตั้งหลักได้
หลิวเหิงคิดพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มแย้มและกล่าวว่า “เหล่าเหอ การรักษาที่ดินพวกนี้เอาไว้ในตระกูลมันไม่ง่ายดายเลย เอาอย่างนี้เถอะขอรับ ข้าจะขอเนินเขารกร้างและที่ดินเปล่าประโยชน์รอบข้าง และหนึ่งส่วนของค่าเช่าที่จะเป็นค่าเล่าเรียนของบ้านตระกูลหลิว หากตระกูลหลิวเปิดสอนเมื่อใด แล้วเด็กจากบ้านท่านต้องการเข้ามาเรียน ก็ให้มานั่งเรียนด้วยกันได้เลยขอรับ ส่วนอีกหนึ่งส่วน ทางโรงน้ำชาของข้าจะใช้ในการแจกจ่ายข้าวต้มกุ๊ยในทุกวันที่หนึ่งและวันที่สิบห้าของเดือน ข้าจะทำการแจกจ่ายข้าวต้มกุ๊ยให้เป็นเวลาหนึ่งปี หากพวกท่านต้องการปรับเปลี่ยน ข้าจะมาหารือกับเหล่าเหออีกครั้งนะขอรับ”
จากการคำนวณดังกล่าว หลิวเหิงจะได้รับสองส่วนจากค่าเช่าที่ ทว่าสองส่วนดังกล่าวกลับไม่ได้อยู่ในกำมือของเขา ชายหนุ่มใช้การแลกเปลี่ยนพึ่งพาและการนำเงินไปทำความดีมาทดแทน
ขุนนางเหอพยักหน้าครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยความยินดี รีบไปดำเนินการเรื่องที่ดินที่ศาลาว่าการตำบลจนเสร็จสิ้น เขารอจนรุ่งสางไม่ไหว และรีบไปที่บ้านตระกูลหลิวภายในคืนนั้น
หลิวเหิงออกมารับโฉนดที่ดิน ขณะที่เหยียนซีรีบทำอาหารและนำสุราเหล้าออกมาต้อนรับ กว่าจะส่งขุนนางเหอกลับได้ ตะวันก็โผล่ขึ้นฟ้าแล้ว
หลิวเหิงออกมาส่งขุนนางเหอ และกลับเข้าไปในห้องโถงหลัก ชายหนุ่มเห็นเหยียนซีกับเหยียนหลิ่วกำลังยุ่งอยู่กับการเก็บจาน “ซีเอ๋อร์ เจ้าช่วยข้าเก็บโฉนดที่ดินหน่อยได้หรือไม่” เขากล่าวพร้อมกับยื่นโฉนดที่ดินในมือให้
เหยียนซีเห็นว่าเป็นโฉนดที่ดินจำนวนมาก จึงคิดปฏิเสธ “พี่เอ้อร์หลางเก็บไว้กับตัวสิเจ้าคะ”
“ท่านแม่ข้าเก็บสิ่งของพวกนี้เอาไว้ให้เสมอ ตอนนี้นางจากไปแล้ว ข้าจึงขอฝากสิ่งนี้ไว้กับเจ้าแทน” หลิวเหิงปฏิเสธที่จะนำกลับมา
หลังจากมารดาจากไป การที่ภายในเรือนหลังนี้ยังมีซีเอ๋อร์อยู่ด้วย มันทำให้เขารู้สึกว่าพวกเรายังเป็นครอบครัวเดียวกัน
ยามที่เขารู้สึกตื่นตระหนก ตราบใดที่เขามองเห็นร่างที่กำลังขยับทำบางอย่างของเหยียนซี ทานอาหารที่นางลงมือทำด้วยตนเอง และมองดูนางที่กำลังยุ่งวุ่นวายอยู่กับหวังชี เขาก็จะรู้สึกสงบขึ้นมา
แม้ว่าหวังชีจะเป็นดั่งลูกพี่ลูกน้องในสายเลือดเดียวกัน แต่ในใจชายหนุ่มกลับรู้สึกราวกับว่าเหยียนซีเป็นญาติเพียงคนเดียวที่วนเวียนอยู่รอบกายเขา เมื่อมีนางอยู่ที่นี่ เขาสามารถตั้งใจศึกษาเล่าเรียน สามารถเอาตัวรอดจากความเกลียดชังได้ในทุกวัน และไม่ปล่อยให้ความเกลียดชังเข้ามาครอบงำจิตใจของเขา
ครั้งเมื่อเหยียนซีได้ยินเขาพูดถึงนางหวัง เธอก็มักจะรู้สึกโศกเศร้าอยู่ในใจ จึงไม่กล่าวปฏิเสธ และหยิบโฉนดที่ดินไป เมื่อมองดูวันที่จารึกลงบนนั้น และเธอก็กล่าวขึ้นว่า “ใกล้จะวันเพ็ญที่สิบห้า เดือนสิบสองแล้วสินะเจ้าคะ”
โฉนดที่ดินที่สมาชิกบ้านตระกูลเหอเอามาส่งให้ เดิมทีถูกใช้เป็นโกดังเก็บรักษาอาหาร และเนื่องจากเป็นพื้นที่เก็บรักษาอาหาร ผนังของบ้านหลังนี้จึงถูกสร้างขึ้นด้วยดินอัด ค่อนข้างแข็งแกร่ง และหลังคาก็ถูกเปลี่ยนใหม่ในปีนี้ เหยียนซีต้องการเร่งเปิด จึงปรับมันให้เข้ากับสภาพท้องถิ่นและขยายด้านข้างออก มีการตั้งเตาไฟทางหน้าบ้าน หลังจากขนโต๊ะและเก้าอี้มาตั้งไว้จนเสร็จสรรพ โรงน้ำชาแห่งที่สองก็เปิดทำการ
สำหรับโรงน้ำชาลำดับที่สาม ผู้เฒ่าหวูโถวพาคนงานไปตรวจสอบถึงที่หน่วยงานไปรษณีย์หลินสุ่ย ทว่ามันกลับสายเกินกว่าจะสร้างตัวเรือนขึ้นมา เนื่องจากไม่มีทางเลือกอื่น จึงเลือกแผนการดั้งเดิม ยืมตัวหอด้านข้างไปรษณีย์หลินสุ่ยมาทำความสะอาด
และโรงน้ำชาจากจรดใต้สู่เหนือ หมู่บ้านหยางซานจะกลายเป็นโรงน้ำชาแห่งแรก ขณะที่ถนนตัดผ่านตำบลชิงหลงเข้าสู่อำเภอหลินสุ่ยจะเป็นโรงน้ำชาแห่งที่สอง และจากที่หน่วยงานไปรษณีย์หลินสุ่ยสู่อำเภอหมิงสุ่ยจะเป็นโรงน้ำชาแห่งที่สาม
โรงน้ำชาทั้งสามแห่งนี้ตั้งห่างจากกันเพียงแค่หนึ่งร้อยถึงสองรอยลี้ และทั้งหมดตั้งอยู่ในสถานที่สำคัญสำหรับการสัญจรไปตามถนนทางการ
หลังจากเปิดโรงน้ำชาครบสามแห่ง หลิวชุนหนิวจึงเข้ามาเป็นผู้จัดการโรงน้ำชาอวี่เซิ่นที่หยางซาน ขณะที่หลิวจิ้นเป่ากลายมาเป็นผู้จัดการโรงน้ำชาในตำบลชิงหลง และเฉวียจือขออาสาเป็นผู้จัดการโรงน้ำชาที่หน่วยงานไปรษณีย์หลินสุ่ย
เขาเป็นคนประเภทเดียวกับหลิวจิ้นเป่า เริ่มทำงานเบ็ดเตล็ดอยู่ในร้าน และหลังจากทำงานบริการกับทำหน้าที่ในห้องครัวแล้ว เขาพบว่าตนเองแก่เกินไป หนำซ้ำยังพิการ จึงถูกโน้มน้าวให้มาทำงานเป็นผู้จัดการร้าน
ถึงแม้ว่าเฉวียจือจะพิการ แต่เขาสามารถมาส่งอาหารที่รับรองได้อย่างว่องไว และไม่เคยผิดพลาด
นอกจากนี้ ทุกคนต่างประหลาดใจมากที่หลังจากเปิดร้านแล้ว เฉวียจือสามารถระบุจำนวนแขกที่เข้ามาใช้บริการได้อย่างถูกต้อง สามารถบอกได้ว่าแขกที่ดื่มชาถ้วยใหญ่มีกี่คน คนที่กินซุปกระดูกผักมีกี่คน และคนที่ดื่มข้าวต้มกุ๊ยมีกี่คน ในบรรดาคนเหล่านี้ยังสามารถระบุได้อย่างชัดเจนว่าลูกค้าแต่ละคนมีลักษณะอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นสำเนียงท้องถิ่นหรือสำเนียงต่างถิ่น เสื้อผ้าที่สวมใส่ กระเป๋าเดินทางที่ถือเข้ามา และแม้แต่รองเท้าทำจากหนังหรือรองเท้าทำจากผ้าก็ตาม
คนหนุ่มสาวในหมู่บ้านหยางซานคะยั้นคะยอให้หลิวจิ้นเป่าแข่งขันกับเฉวียจือ ทั้งหลิวจิ้นเป่าผู้มีความจำเป็นเลิศเองก็รู้สึกได้ว่าตนมีความจำดีพอที่จะเปรียบเทียบกับเฉวียจือได้
ทว่าเฉวียจือก็มั่นใจว่าตนจะคว้าชัยชนะมาได้เช่นกัน และในที่สุดเขาก็กลายมาเป็นผู้จัดการโรงน้ำชาที่หน่วยงานไปรษณีย์หลินสุ่ย
MANGA DISCUSSION