บทที่ 144 แขวนแคร์รอต
กระบวนการเรียนรู้ดังกล่าวถูกจัดตั้งขึ้นในห้องโถงที่บ้านหลังใหม่ของตระกูลหลิว
เหยียนซี หลิวเหิง และหวังชีนั่งแยกกันอยู่บนโต๊ะทรงแปดเหลี่ยมตรงกลาง มีม้านั่งยาววางอยู่ข้างใต้ ชาวบ้านต่างมามุงดูด้วยความตื่นเต้น ไม่ได้ตระหนักถึงความเหน็บหนาว ยืนออกันอยู่บริเวณทางเข้าเรือนหลังใหญ่ เมื่อหัวหน้าตระกูลหลิวก้าวเข้ามา ก็ถูกเชิญให้มานั่งลงที่โต๊ะทรงแปดเหลี่ยม
เหยียนซีปรายตามมองดูผู้คนในห้องโถงหลัก มีบางคนเอ่ยถามคนอื่นอย่างตื่นตาตื่นใจว่าบนแผ่นกระดาษเขียนอันใดไว้ หรือกระทั่งบางคนไม่รู้ว่าต้องกลับหน้ากระดาษ เธอจึงกระแอมไอและลุกขึ้นกล่าวว่า
“ทุกท่านรู้สิ่งที่เขียนบนกระดาษหรือไม่?” เธอโบกสะบัดแผ่นกระดาษในมือ ฟังเสียงดังอึกทึกจากด้านล่าง
“ไม่รู้ขอรับ ‘เถ้าแก่เนี้ย’ ท่านช่วยบอกพวกข้าได้หรือไม่?” หลิวจิ้นเป่าเคยเด็กรับใช้อยู่ในที่ว่าการอำเภอ จึงไม่เรียกเธอว่าซีเอ๋อร์ แต่เรียกว่าเถ้าแก่เนี้ยแทน
หลิวจิ้นเป่าช่วยชี้แจงตัวตนให้เธอ ในขณะที่ทั้งสิบเอ็ดคนยังคงไม่รู้ว่าผู้ใดคือนายจ้าง
หลิวชุนหนิวปฏิบัติตาม “นายจ้าง พวกกระผมมีความรู้น้อยนัก ไม่เข้าใจแจ่มแจ้งนักขอรับ!”
“ใช่ขอรับ ท่านนายจ้าง ท่านช่วยบอกพวกข้าที!”
ไม่นานเสียงตะโกนของคนอื่น ๆ ก็ดังกึกก้อง
เหยียนซีพยักหน้า เธอยังเด็กเกินไป คนที่เด็กที่สุดของที่นี่ยังอายุมากกว่าเด็กหญิงถึงสองปี แม้ว่าเธอจะดูมีอายุและแต่งกายเกินวัย ทว่าก็ยังเป็นเด็กอยู่วันยังค่ำ
“ข้า ท่านพี่เอ้อร์หลางและท่านพี่หวังชีเป็นผู้เปิดโรงน้ำชานี้ด้วยกัน ตลอดสองวันที่ผ่านมาพวกท่านทุกคนคงได้ไปเยี่ยมชมโรงน้ำชากันแล้ว หากพวกข้าเปิดโรงน้ำชาในหมู่บ้านหยางซาน พวกข้าทั้งสี่คนคงจะยุ่งวุ่นวายกันน่าดู ทว่าพวกข้าต้องการขยายกิจการไปให้ถึงที่ว่าการอำเภอ ถึงตัวเมืองหลัก และบางทีอาจจะขับเคลื่อนไปถึงเมืองหลวง”
คำพูดดังกล่าวทำให้เกิดเสียงพึมพำตามมา
ในบรรดาคนกลุ่มนี้เคยออกเดินทางไปไกลสุดแค่อำเภอเมืองหมิงสุ่ย บางคนไม่เคยไปวัดชิงหลงด้วยซ้ำ ขณะที่หัวหน้าตระกูลหลิวเคยไปเมืองหลวงเพียงครั้งเดียวเท่านั้นตอนที่ยังเป็นเด็กน้อย นั่นทำให้ใบหน้าของเขาแสดงอาการตื่นเต้น ดวงตาเป็นประกายทันทีเมื่อได้ยินว่าเหยียนซีกำลังจะไปเปิดโรงน้ำชาในเมืองหลวง
“ขุนนางระดับสูงดื่มชากันถ้วยใหญ่หรือไม่ขอรับ?” ใครบางคนเอ่ยถามด้วยความลังเล
“พวกขุนนางไม่ดื่มกันหรอก มีเพียงชาวบ้านเช่นพวกเราเท่านั้นที่ดื่ม” เหยียนซียิ้มและพูด “โรงน้ำชาของพวกเราเป็นกิจการดั้งเดิมของผู้คนในหมู่บ้าน ทว่าเมืองหลวงก็ไม่ได้แตกต่างจากหมู่บ้านหยางซานของพวกเราหรอก มีทั้งข้าราชการ ชาวไร่ชาวนา และกิจการอื่น ๆ”
“แต่เมืองหลวงอยู่ไกลมากนัก” ใครบางคนรู้สึกว่าคำกล่าวอ้างของเหยียนซีฟังดูเกินจริง
“พวกท่านกำลังจะบอกว่าข้าลวงหลอกงั้นหรือ? ข้าจะบอกให้พวกท่านฟังว่า ยามนี้พวกข้ากำลังจะเปิดโรงน้ำชาที่หน่วยงานไปรษณีย์หลินสุ่ยที่อยู่ห่างจากเมืองถงอันไปเพียงไม่กี่ร้อยลี้ พวกท่านต้องเริ่มจากหน่วยงานไปรษณีย์หลินสุ่ย จากนั้นจึงจะไปที่เมืองถงอันต่อได้”
“เพราะฉะนั้นทุกท่านจงตั้งใจเรียนรู้และทำงานอย่างขยันขันแข็ง บางทีหลังจากนี้โรงน้ำชาอวี่เซิ่นของพวกเราอาจจะไปอยู่บนถนนในนครหลวงก็ได้ และผู้จัดการร้านคงจะเป็นใครสักคนในที่แห่งนี้”
เป็นผู้จัดการร้านในเมืองหลวงหรือ?
เมืองหลวง! สถานที่ที่จักรพรรดินั่งอยู่บนบัลลังก์ทองคำ อยู่ห่างไกลออกไปเป็นพันลี้ มันเป็นที่อยู่ของเหล่าขุนนางรระดับสูงเท่านั้น เป็นสถานที่ที่พวกเขาไม่กล้าคิดฝัน!
“เมืองหลวงไม่เหมือนกับหมู่บ้านของเรา บนถนนที่นั่นเต็มไปด้วยผู้คน มีร้านค้ามากมายที่พวกเราไม่เคยได้เห็นมาก่อน และบางทีที่นั่นพวกเราก็อาจจะเห็นองค์จักรพรรดิและเหล่าองค์ชายออกมาเดินเล่น หรือว่าสักวันหนึ่งพวกเขาก็อาจจะแวะมาเยี่ยมโรงน้ำชาของพวกเราก็เป็นได้? นอกจากนี้ข้ายังไม่ได้กล่าวถึงช่วงตรุษจีน ว่าสามารถเอากล่องของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ กลับบ้านไปได้ พวกท่านลองคิดดู ที่นั่นค่อนข้างกว้างขวาง ผู้คนมากมายเท่าใดบ้างจะแวะเวียนมาซื้อของในตัวเมืองหลวง?”
ไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงผู้อื่น แม้หัวหน้าตระกูลหลิวก็ยังขยับบั้นท้ายด้วยท่าทีตื่นเต้น หากเขาอายุน้อยกว่านี้สักสองสามปี ก็คงอยากจะลองดูด้วยเช่นกัน ผู้คนที่พบเห็นได้ตามบทละครงิ้ว จะมีโอกาสได้เห็นจริงหรือ?
“สาวน้อย… คุณหนู ชักจูงผู้คนเก่งยิ่งนัก” ผู้เฒ่าหวูโถวตระหนักได้ว่าพวกตนทั้งสี่ขายตัวให้กับบ้านตระกูลหลิวแล้ว จึงต้องเปลี่ยนคำเรียกตามด้วย พวกเขานั่งอยู่ในห้องด้านข้าง คอยฟังน้ำเสียงที่ดังก้องออกมาจากห้องโถง หลังจากได้ยินคำพูดของเหยียนซี คนที่ในอยู่ห้องด้านข้างก็หายใจถี่กระชั้นในทันที เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่สามารถระงับความตื่นเต้นและดีใจได้
คำพูดของเหยียนซีค่อนข้างตรงไปตรงมา ทว่าภาพเหตุการณ์ที่แสดงให้เห็นนั้นช่างน่าประทับใจยิ่งนัก
“บอกข้าทีสิ ทำไมพวกเขาจึงจะเปิดโรงชาน้ำเยอะแยะนัก?” เฉวียจือกระซิบถามผู้เฒ่าหวูโถว “ได้ยินมาว่าฆาตกรสังหารคนในบ้านหลังเก่าไปสิบกว่าคน จากนั้นก็จุดไฟเผาทิ้ง ฆาตกรถูกเหยียนเฟิงจับตัวไว้ได้ นายท่านหลิวจู่เหรินจึงนำตัวส่งศาลาว่าการตำบลด้วยตนเอง ทว่ายามบ่ายแก่ฆาตกรกลับบาดเจ็บสาหัสเจียนตาย ล้มอยู่ในห้องคุมขัง คนในหมู่บ้านต่างพากันบอกว่าฆาตกรเป็นอสูรร้าย และนั่นเป็นผลตอบแทนที่อสูรร้ายควรได้รับแล้ว …แต่พวกเหยียนเฟิงกลับโกรธจัดที่ทำพลาด”
เฉวียจือออกลาดตระเวนในกลางดึก ถึงแม้ว่าเขาจะมาเยือนบ้านตระกูลหลิวได้เพียงแค่ครึ่งวัน แต่กลับค้นพบเรื่องราวมากมาย แม้กระทั่งเรื่องราวในวัยเยาว์ของหลิวเหิง
บุรุษทั้งสี่คนล้วนเป็นผู้ฝึกฝนการต่อสู้ มีหน้าที่สอดแนมกองทัพของศัตรูในตอนนั้น และพวกเขาไม่เชื่อว่าเหยียนเฟิงจะทำพลาด
อาต้าเคยทดสอบทักษะฝีมือของเหยียนเฟิงไปสองกระบวนท่า “เจ้าเด็กเหยียนเฟิงนั่น ไม่รู้ว่ามันไปเรียนรู้ทักษะกระบวนท่ามาจากไหน แต่ละท่าแทบจะทำให้ถึงตาย ไม่มีช่วงให้เว้นหายใจ ต่อสู้ดั่งทหารที่อยู่ในสมรภูมิรบ”
“เกรงว่าศัตรูของนายท่านหลิวจู่เหรินจะมีกำลังไม่น้อยไปกว่าพวกเรา” ผู้เฒ่าหวูโถวถอนหายใจ “ในเมื่อมาแล้วก็จงสงบใจเถอะ ในเมื่อนายท่านเลือกพวกเรา ก็จงถือเสียว่านายท่านเป็นผู้มีพระคุณ เฝ้าดูพวกเขาอย่างนี้ต่อไปเรื่อย ๆ ก็พอ หากสามปีให้หลังนายท่านเร่งไปสอบที่เมืองหลวง เวลานั้นพวกเราค่อยจากไป” ในช่วงสามปีนี้ พวกเขาจะขยันขันแข็งทำงานเพื่ออีกฝ่ายอย่างสุดกำลัง หากมีศัตรูหน้าไหนโผล่มา พวกตนก็จะช่วยสังหารให้สิ้น
สามคนที่เหลือพยักหน้า ทั้งหมดล้วนตระหนักแบบเดียวกัน
การอธิบายของเหยียนซีในห้องโถงยังคงดำเนินต่อไป
“ในครั้งแรกนี้โรงน้ำชาอวี่เซิ่นของพวกเราคัดเลือกคนมาทั้งหมดสิบสองคน ทุกท่านล้วนเป็นคนในหมู่บ้าน และข้าไม่ได้ไปบีบบังคับพวกท่าน เนื่องจากพวกข้าคิดเอาไว้ว่าผู้จัดการร้านคนแรกควรจะเป็นคนในหมู่บ้านเรา เมื่อเป็นเช่นนั้นพวกข้าจึงจะวางใจได้”
วลีดังกล่าวทำให้ผู้ใหญ่ที่ยืนอยู่หน้าประตูพากันพยักหน้า ทันใดนั้นก็มีเสียงตะโกนเสียงหนึ่งดังแทรกขึ้นมา “เอ้อร์หลางกับซีเอ๋อร์คิดเพื่อหมู่บ้านพวกเราขนาดนี้ พวกเจ้าจงจดจำเอาไว้ให้ขึ้นใจว่าอย่าบังอาจทำให้หมู่บ้านของเราอับอาย!”
ทั้งสิบสองคนที่นั่งอยู่ด้านล่างผงกหัวตามคำกล่าว โดยเฉพาะผู้ที่ไม่รู้หนังสือต่างคิดว่าพวกเขาสามารถทำงานเสมียนและงานเบ็ดเตล็ดได้ แต่กลับคาดการณ์ไม่ถึงว่าจะมีโอกาสได้กลายเป็นผู้จัดการร้าน เป็นสิ่งที่เหนือจินตนาการพวกเขามาก
“แน่นอนว่าการเป็นผู้จัดการร้านไม่ใช่เรื่องง่าย ในขณะฐานะเจ้าของโรงน้ำชาในหมู่บ้านหยางซาน ข้าจะให้หลิวจิ้นเป่าเป็นผู้จัดการร้านก่อน จากนั้นเมื่อท่านพี่ชุนหนิวเรียนทำบัญชีเสร็จแล้ว ก็จะให้เป็นผู้จัดการร้านต่อ ส่วนคนอื่นที่คิดจะมาเป็นผู้จัดการร้าน พวกท่านจะต้องเรียนหัดเขียนหัดอ่านเสียก่อน”
“โรงน้ำชาของพวกเราค่อนข้างเรียบง่าย ทุกท่านไม่จำเป็นต้องมีความรู้เท่ากับพี่เอ้อร์หลางของข้า ตราบใดที่พวกท่านสามารถเรียนรู้อักขระสิบห้าตัวนี้ได้ พวกท่านจะได้เป็นผู้จัดการร้านแน่นอน ทว่าทุกท่านต้องทำงานหนัก ยิ่งฝึกเขียนมากเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้คำศัพท์มากขึ้นเท่านั้น หากอยากได้ตำแหน่งผู้จัดการร้านแต่ความรู้น้อย ก็ต้องรออยู่ข้างหลัง”
เหยียนซีหยิบแผ่นกระดาษที่มีคำเขียนสิบสองคำขึ้นมา ‘ซุปต้มกระดูกผัก น้ำชาถ้วยใหญ่ ข้าวต้มกุ๊ย และฟรี’ และอธิบายความหมายของแต่ละคำ หลังจากนั้นจึงอธิบายข้อกำหนดร้าน รางวัลและบทลงโทษต่าง ๆ ก่อนจะให้ทุกคนแยกย้ายกันกลับบ้าน
ในการเรียนรู้ครั้งแรก เด็กหญิงต้องการให้ทุกคนตั้งเป้าหมายไว้ในใจ ดังนั้นจึงแขวนแคร์รอตเป็นกำลังใจให้ทุกคนตรงหน้า ต่อไปเธอจะสอนบทเรียนครั้งที่สอง ครั้งที่สาม… ค่อย ๆ ปลูกฝังความรู้ให้แก่คนที่พวกตนไว้วางใจ
MANGA DISCUSSION